Chapter 3
สิ้นคำของผู้พันยอนแฮจุนก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา ซึ่งคงคาวินจำได้ว่านี่คือ "โยเซฟ" บรรณาธิการสำนักข่าวแรดเดอร์ ในอดีตเคยเป็นนักข่าวที่ตามติดสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดก็วางมือมาทำงานบนโต๊ะเพื่อเปิดโอกาสให้นักข่าวรุ่นใหม่ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่นักข่าวสายทหารชื่อดัง จะมาขอใช้บริการจากหน่วยรบ SAS แบบนี้แสดงว่าภารกิจนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โยเซฟกล่าวแนะนำตัวและขอจับมือกับพวกเขา ทว่าในเวลางานพวกคงคาวินเลือกที่จะขอคุยงานมากกว่า
เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วโยเซฟทำการฉายภาพชายคนหนึ่ง ที่กำลังยืนถ่ายภาพบางอย่างอยู่ซึ่งชายคนนั่นคือ ชลชาติ นักข่าวอิสระที่น่าจะยังติดอยู่ในเปรเซียร์ ซึ่งโยเซฟอธิบายว่าชลชาติเป็นนักข่าวที่กำลังทำข่าวเรื่องอื้อฉาว ของเชื้อราชวงศ์ฟอสเบิร์กที่ปกปิดเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่จักรพรรดิ์เคลมองต์สมัยที่ยังเป็นเจ้าชายทรงทำไว้ ทว่าลอร์ดยอร์ดานก็มักพยายามปิดข่าวให้เสมอ ข้อมูลที่จะหามาจึงค่อนข้างยากลำบากมาก เพราะคนภายในไม่กล้าที่จะพูด
ในตอนแรกโยเซฟตั้งใจจะไม่ทำโปรเจ็คนี้ต่อ ทว่าชลชาติได้บอกว่ามีคนพร้อมจะให้ข้อมูลสำคัญ โดยชลชาติอาสาจะเดินทางไปที่เปรเซียร์ด้วยตนเอง ซึ่งโยเซฟสั่งห้ามเพราะสถานการณ์ภายในไม่สู้ดีนัก แต่สุดท้ายชลชาติก็เดินทางไปจนได้และโยเซฟไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งคลิปที่ชลชาติปล่อยออกมาจึงทำให้โยเซฟ เริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของนักข่าวอิสระคนนี้ จึงได้ตัดสินใจติดต่อมาทางกองทัพรัฐบาล เพื่อที่จะทำการว่าจ้างให้ไปนำตัวชลชาติกลับมา
ส่วนที่มาของฉายาก็เพราะนานาประเทศที่เข้ามาทำการทูต เพื่อเจริญสัมพันธ์ไมตรีแต่สำหรับประเทศนี้คือการทำสัญญาว่าจ้าง เรื่องทางการทหารมากกว่าซึ่งคงคาวินและคนอื่นๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารายได้หลักของประเทศ มาจากการทำสงครามที่ประเทศต่างๆจ้างมา ซึ่งมีตั้งแต่สงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ หรือแม้แต่สู้กับพวกผู้ก่อการร้าย แต่ผลกำไรที่ได้กลับมาเป็นจำนวนมหาศาลประเมินไม่ได้ และยิ่งกับหน่วยรบ SAS ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหน่วยทหารระดับแนวหน้า ค่าจ้างย่อมต้องแพงเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่โยเซฟจ่ายกลับไม่ใช่ค่าจ้างแต่อย่างใด ทว่ามันก็มีค่าเสียยิ่งกว่าค่าจ้างเพราะหากพวกเขา สามารถไปพาตัวชลชาติกลับมาแบบมีลมหายใจ ข้อมูลทุกอย่างที่มีเกี่ยวกับจักรวรรดิทั้งหมด ที่สำคัญประโยคสุดท้ายของนักข่าวอิสระพูดกับโยเซฟ ก่อนที่จะขาดการติดต่อก็คือ หากข้อมูลนี้รั่วไหลไปถึงราชวงศ์ยาร์ชไตน์แห่งชเวรีน พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้อย่างแน่นอน ผู้พันยอนแฮจุนจึงถามต่อว่าเป็นข้อมูลแบบไหน ซึ่งโยเซฟตอบว่าไม่รู้แต่ที่แน่ๆว่ามันเป็นเรื่องที่ตัวจักรพรรดิ์ปกปิดมานานมาก สิ่งเดียวที่ชลชาติส่งมอบให้คือคลิปเสียงที่ได้สัมภาษณ์ชายคนหนึ่ง ที่กล่าวอ้างว่าเคยทำงานในราชวังมาก่อน
"ด้วยความเคารพนะคุณโยเซฟ คลิปเสียงที่ว่านั้นมันอยู่ที่ไหน" ผู้พันยอนแฮจุนถาม
"ผมจะส่งให้พร้อมกับข้อมูลที่อยู่กับชลชาติ ถ้าพวกคุณพาเขากลับมาได้" โยเซฟตอบ
"ผู้พันครับผมขอแสดงความคิดเห็นได้ไหมครับ" "จรัสพัฒน์" หรือ "โจ" กล่าวขึ้นจากด้านหลังของคงคาวิน
"อนุญาต" ผู้พันยอนแฮจุนกล่าว
"ผมว่าภารกิจนี้แทบจะเป็นไปได้ยากมาก เพราะถ้านักข่าวคนนี้ยังอยู่ที่เปรเซียร์อยู่ โอกาสที่จะพาเขาออกมาได้มันยากมาก เว้นแต่ว่าเขาจะหาทางหนีให้ตัวเองก่อนที่จะปล่อยคลิป" เมื่อจรัสพัฒน์กล่าวจบ ผู้พันยอนแฮจุนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
"วิเคราะห์ได้ดีสิบตรี ถูกต้องล่าสุดก่อนที่จะขาดการติดต่อ นักข่าวชลชาติได้หลบหนีออกมาจากเปรเซียร์แล้ว กำลังหาทางออกนอกเขตชายแดนของประเทศโซเฟีย ถ้าเขาข้ามมายังสหราชอาณาจักรอิไพรัสมาได้ พวกที่ตามล่าเขาก็หมดสิทธิ์"
แต่ปัญหาก็คือพวกที่กำลังตามล่าชลชาติไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นหน่วยรบยูลีอุสที่จักรพรรดิก่อตั้งขึ้น เป็นเหมือนตำรวจลับที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี โหดเหี้ยมอำมหิตไม่เลือกวิธีการในการกำจัดผู้ที่เป็นอริกับราชวงศ์ และลงมือสังหารอย่างไม่ลังเลแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเด็กแรกเกิดก็ตาม เบาะแสล่าสุดคือจักรพรรดิเคลมองต์มอบหมายให้ตำรวจลับพวกนี้ ตามล่าเอาตัวชลชาติมาสำเร็จโทษให้ได้ ด้วยการประหารชีวิตกลางสาธารณะที่ว่าการเมือง เพราะฉะนั้นเวลาของนักข่าวคนนี้คงมีไม่มาก
เพราะฉะนั้นคงคาวินและคนอื่นๆมีเวลาเตรียมตัวแค่เพียง 20 นาที แล้วให้ไปรายงานตัวกับ "ร้อยโทกรานิต" ซึ่งจะเป็นหัวหน้าคุมภารกิจครั้งนี้และทีมชุดปฏิบัติการ จะใช้ชื่อว่า "ทีมอัลฟ่า" รายละเอียดที่เหลือหมวดกรานิตจะเป็นคนชี้แจงเอง ว่าแล้วคงคาวินขอตัวที่จะไปคุยโทรศัพท์กับทางบ้าน ซึ่งผู้พันยอนแฮจุนก็อนุญาตชายหนุ่มจึงแยกตัวมาที่โทรศัพท์ในอาคาร และทำการกดโทรหาทันทีผ่านไปประมาณ 9 นาที ก็มีคนรับสายนั่นคือ วาสิตรา แน่นอนว่าคำถามแรกที่เขาเจอคือเมื่อไหร่จะกลับมาบ้าน เพราะมื้อค่ำนี้วาสิตราตั้งใจจะพาทุกคนไปกินข้าวข้างนอก เพื่อฉลองวันเรียนจบของเศวตโชติ
"พี่จ้าวจอม ผมฝากแสดงความยินดีให้พี่จอมราชด้วยนะครับ" คงคาวินกล่าว ซึ่งวาสิตรารับรู้ได้ในทันทีว่าน้องชายคนนี้จะไม่ได้อยู่ร่วมฉลองครั้งนี้ แต่เธอก็เข้าใจดี
"เข้าใจแล้วพี่จะบอกจอมราชให้นะ แล้วระวังตัวด้วย" วาสิตราตอบในสายโทรศัพท์
"ขอบคุณครับพี่" แล้วสายก็ถูกตัดไป
และแล้วสมาชิกทีมอัลฟ่าซึ่งนอกจากคงคาวินกับบุญส่งแล้ว ก็จะประกอบด้วยจรัสพัฒน์จากทีมเดวิลแบ๊ทส์ มีอาวุธประจำกายเป็นกงจักรคู่ขนาดเท่าฝ่ามือ แต่หลายคนชอบเรียกมันว่า "ดาวกระจาย" คนต่อมา "จอร์ติน่า" สังกัดทีมเดียวกับจรัสพัฒน์ใช้ดาบกับโล่เป็นอาวุธประจำกาย ส่วนคนที่กำลังเดินขึ้นเฮลิคอปเตอร์คือ "ไคล์" ทีมเดวิลแบ๊ทส์เช่นกัน แต่อยู่รุ่นที่สองอาวุธประจำกายคือหอกสามง่ามกับโล่ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับโล่ของจอร์ติน่า บุญส่งกระซิบข้างหูคงคาวินว่าพวกตำรวจลับยูลีอุส ได้ขวัญหนีดีฝ่อแน่นอนถ้าต้องรับมือกับไคล์
อีกคนเป็นครั้งแรกที่คงคาวินได้ร่วมงานด้วยคือ "เทเลอร์" จากทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม ยังไม่เคยเห็นฝีมือการรบมาก่อนแต่ผลงานรอบที่แล้วทำให้เทเลอร์ ได้รับการเลื่อนยศมาเป็นสิบโทก่อนเพื่อน ส่วนสองคนสุดท้ายที่คงคาวินหน้าไม่คุ้นเพราะทั้งคู่ เป็นสมาชิกรุ่นหกที่พึ่งได้เข้าบรรจุทีมอีวิลลอร์ดฯไม่นาน ซึ่งมี "ยูจิ" จากตระกูลเร็นโกคุมีชื่อเสียงในกองทัพพอสมควร อาวุธประจำกายคือคีย์เบลดซึ่งเป็นอาวุธที่หายากมาก มีไม่กี่คนที่จะได้ครอบครองอาวุธประเภทนี้ ทำให้คงคาวินรู้สึกอยากเห็นฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่ายเหมือนกัน และคนสุดท้ายชื่อ "ปกป้อง" หรือ "สุดขีด" อยู่รุ่นเดียวกับยูจิใช้ดาบเป็นอาวุธ
แผนของการปฏิบัติการครั้งนี้คือทีมอัลฟ่าจะถูกปล่อยตัว ลงที่ชายแดนระหว่างโซเฟียกับอิไพรัสในจุดที่ใกล้สุด เพื่อความสะดวกในการลอบเข้าไป และคนที่จะพาเข้าไปมีชื่อว่า มิคเกล สมาชิกกลุ่มต่อต้านกองทัพฝ่ายเปรเซียร์ ซึ่งจะคอยติดต่อส่งข่าวสารมาให้กับหมวดกรานิตเสมอ ข่าวล่าสุดที่ได้มาคือตอนนี้ชลชาติได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้าน และพยายามจะพานักข่าวผู้นี้ข้ามชายแดนมาให้ได้ ทว่าปัญหาคือหมู่บ้านดังกล่าวถูกคุมเข้มโดยทหารจักรวรรดิ แถมมีจำนวนมากกว่ากลุ่มต่อต้านจึงเป็นเหตุให้ไปรับตัวไม่ได้
"ทีมอัลฟ่าเตรียมตัวโรยตัวลงพื้นที่ ปฏิบัติ !" เสียงของหมวดกรานิตดังจากด้านซ้ายมือของคงคาวิน แล้วนาทีต่อมาทุกคนต่างก็โรยตัวลงมายังเบื้องล่างซึ่งมีทหารของอิไพรัส ยืนรอรับอยู่ทันทีที่หัวหน้าทีมอัลฟ่าลงพื้นคนสุดท้าย ก็ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นมิตรจาก ร้อยโทอันเดรส มีหน้าที่คุมเชิงตรงชายแดน
"ยินดีต้อนรับสู่ชายแดนนะหมวด ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้" หมวดอันเดรสพูดขึ้นราวกับว่ารู้จักหมวดกรานิตมานาน
"พอนำทางเข้าไปได้ไหม" หมวดกรานิตถาม
"มันก็ได้อยู่แต่ฉันพานายกับทีมเข้าไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น ทีเหลือพวกนายต้องไปต่อกันเองแต่ให้ระวังกับระเบิดด้วย" หมวดอันเดรสตอบและชี้เส้นทางให้ดู
"ไม่เปนไรแค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว ทีมอัลฟ่าเตรียมเคลื่อนพล"