Chapter 2
"คงคาวิน" หรือ "เจ" นั่งดูข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์รัฐประหารที่นำโดย "จักรพรรดิ์เคลมองต์" ยึดอำนาจจากพระเจ้าโอลาฟ พระราชบิดาได้สำเร็จซึ่งกลายเป็นความวุ่นวายภายในประเทศ เป็นเรื่องยากที่จะให้คนนอกรับรู้ข่าวคราวภายในได้ แต่ก็ดังคำโบราณที่ว่า "หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง" สุดท้ายก็มีคลิปวีดีโอที่ถ่ายในเหตุการณ์นองเลือดภายในประเทศ นำมาเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกจนได้ โดยภายหลังคนที่ปล่อยคลิปวีดีโอคือ "ชลชาติ" นักข่าวอิสระที่ตั้งใจจะเข้าไปทำข่าวเกี่ยวกับวิถีชีวิตชนเผ่า ที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่
แน่นอนว่าพอคลิปดังกล่าวหลุดออกมา ก็ไม่มีใครทราบชะตากรรมของชลชาตินักข่าวคนนี้อีกเลย จนมีข่าวลือไปทั่วว่าเขาอาจจะตายเพราะถูกลูกหลง จากการสู้รบระหว่างทหารของฝ่ายจักรพรรดิ์เคลมองต์กับทหารราชสำนัก แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือไม่มีใครรู้ได้แต่ที่แน่ยิ่งกว่าข่าวลือก็คือ เมื่อยึดอำนาจทุกอย่างมาไว้ในกำมือได้แล้วองค์จักรพรรดิ์เคลมองต์ ก็ได้เรียกขานประเทศใหม่ว่าจักรวรรดิ พร้อมกับประกาศทำสงครามกับสหรัฐแพนธีออนทันที
ชายหนุ่มหันไปมองตรายศที่ประดับที่ปกเสื้อ ซึ่ง "จอมขวัญ" มารดาของเขาแขวนเอาไว้ให้ น่าขันนักเขาพึ่งจะพ้นสภาพยุวชนทหารเลื่อนมาเป็นสิบตรีไม่นาน ก็ต้องไปรบชะแล้วยังไม่ทันที่ตรายศจะขึ้นสนิมเสียด้วยซ้ำ ระหว่างที่คิดสายตาของคงคาวินก็จับจ้องภาพบนโต๊ะอีกครั้ง เขาเป็นสมาชิกรุ่นที่หนึ่งของทีมดาร์คเนสวอริเออร์ จึงมีหน้าที่คัดสมาชิกรุ่นหกซึ่งสมัครเข้ามาคัดเลือก รอบนี้เขาเลือกมาประมาณ 23 เย็นวันนี้เจ้าพวกรุ่นที่หกต้องมารายงานตัวกับพวกเขา
"ปิดทีวีเถอะ ถ้าแม่กลับมาได้ยินเข้า อาจจะทำให้กังวลเปล่าๆ" เสียงทักจากด้านหลังของคงคาวินดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่า "วาสิตรา" หรือ "จ้าวจอม" กลับมาบ้านแล้ว
"ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง" คงคาวินถามหลังจากที่ปิดโทรทัศน์แล้ว วาสิตรายักไหล่เล็กน้อย
"ผู้จัดการอิมนะสิ เธอรู้ว่าสามีต้องไปรบที่แพนธีออนในอาทิตย์หน้าแล้ว เลยสั่งหยุดกะทันหัน" วาสิตราตอบ
คงคาวินเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อจึงหันมาทำการส่งรายชื่อ สมาชิกรุ่นหกซึ่งเขาคัดมาแล้วส่งผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไป พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้
เพื่อทำการบิดขี้เกียจ ตรงจังหวะที่พอดีกับเสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าจอมขวัญและ "เศวตโชติ" หรือ "จอมราช" พี่ชายกลับมาแล้ว เขาจึงเปิดประตูออกมาต้อนรับทั้งสองทันที พร้อมพบว่ามารดาซื้อของมาเยอะกว่าทุกวัน จึงต้องเข้าไปช่วยเศวตโชติขนของเข้ามา
"อ้าวลูก วันนี้เลิกงานแล้วเหรอ" จอมขวัญถามด้วยความแปลกใจ เพราะเธอจำได้ว่ากว่าวาสิตราจะเลิกงานค่อนข้างดึกมาก
"ผู้จัดการอิมให้หยุดคะแม่" วาสิตราตอบขณะที่กำลังวางเอกสารลงที่โซฟา และเอาเสื้อคลุมไปแขวน
"จริงสินะ สามีของเธอเป็นทหารนี่" จอมขวัญพูดเสียงเบาก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหาร
คงคาวินรับรู้ว่าได้มารดาพยายามหาอะไรทำเพื่อที่จะไม่กังวล เรื่องของเขาเพราะยังไงเสียเขาก็ต้องโดนส่งไปรบ เหมือนกับสามีของ อิมโบยอง หัวหน้าสายงานของวาสิตรา เศวตโชติเดินมาตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ พลางบอกว่าจอมขวัญเป็นคนกังวลและคิดมากอยู่แล้ว ให้เวลากับเธอบ้างถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาของคงคาวินก็ตาม ซึ่งเขาเห็นด้วยกับพี่ชายจึงขอตัวขึ้นไปหาของที่ห้องของเขาก่อน
เขาขึ้นมาที่ห้องเลยทำการเปิดประตูเข้าไปพบว่า สภาพในห้องยังคงเหมือนเดิมราวกับว่าตัวเขายังอยู่ที่นี่ ทั้งที่ความจริงคงคาวินไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี ล่าสุดก็คือตอนที่เขาได้รับอนุญาตกลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีประดับยศแล้วก็ไปประจำการรบตามเดิม คงคาวินถอนหายใจเล็กน้อยและหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ซึ่งเขาจำได้ว่าเก็บเอาไว้ใต้เตียงขึ้นมาและเปิดออกมา ของในกล่องส่วนมากที่เขาเก็บไว้ จะเป็นภาพถ่ายสมัยเด็กมากกว่าและมีภาพใบหนึ่งที่สะดุดตาชายหนุ่มมาก
มันคือภาพตอนที่จอมขวัญรับเขาจากบ้านเด็กกำพร้า มาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวซึ่งเดิมที มารดาของเขาก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่วาดฝันว่าจะมีครอบครัวอบอุ่นและเปิดร้านอาหารตามฝัน ทว่าโชคชะตาช่างใจร้ายนักเมื่อจอมขวัญพบว่า "สุกรม" สามีที่ภายนอกหล่อเหลาและดูดีมีชาติตระกูล แต่ความจริงคือชายผู้ที่เสพติดกามารมณ์และบ้าอำนาจ ด้วยความที่ตระกูลฝ่ายสามีเป็นคนใหญ่คนโต มีอิทธิพลกว้างใหญ่มากทำให้จอมขวัญในตอนนั้นแทบไร้หนทางที่จะได้รับความช่วยเหลือ
ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือสุกรมกดดันและบีบบังคับที่จะให้เธอ มีทายาทเป็นผู้ชายเพื่อสืบสกุลต่อแต่กลายเป็นว่า จอมขวัญให้กำเนิดบุตรีซึ่งก็คือวาสิตรา เมื่อทางครอบครัวสามีไม่ได้ผู้ชายตามที่ต้องการ ต่างก็พากันด่าทอสารพัดมากมายด้วยความดูถูก จึงเป็นสุกรมหันมีเมียน้อยเพื่อผลิตทายาท และไม่เคยใส่ใจจอมขวัญกับวาสิตราอีกเลย สุดท้ายความอดทนก็หมดลงโดยเธอคิดว่าสามีไม่ได้ต้องการสองแม่ลูกอีกแล้ว จึงได้ขอหย่ากับสุกรมแลกกับอิสรภาพ
ผลคือจอมขวัญถูกสุกรมข่มเหงน้ำใจเพราะไม่ต้องการหย่า จนในที่สุดเธอก็ตั้งท้องแต่เลือกที่จะไม่บอกใคร ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งพิงใคร จึงตัดสินใจจะจบชีวิตทั้งแม่และลูกทว่าก็ได้รับความช่วยเหลือจาก "สมาน" น้องชายของสุกรมมาช่วยเอาไว้เพราะเริ่มสงสารในชะตาชีวิตของหญิงสาว จึงยอมให้ความช่วยเหลือแลกกับเธอต้องหนีออกนอกประเทศ และอย่าได้กลับมาที่นี่อีก แม้ใจจะไม่ได้อยากจากที่นี่ไปแต่ก็เพื่อชีวิตที่ดีของวาสิตราและลูกที่อยู่ในท้อง จอมขวัญจึงขอไปอำลาครอบครัวก่อนที่จะไม่ได้พบกันอีก
นั้นคือเรื่องราวที่คงคาวินรู้มาและเขาเคยสาบานว่า สักวันหนึ่งเขานี่แหละที่จะพามารดากลับไปยังบ้านเกิด โดยที่ไม่ต้องกลัวอันตรายอีกต่อไป สักพักเสียงเรียกของวาสิตราดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มกลับมาโฟกัสที่ปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งก่อนจะลงไปด้านล่างเขาได้คว้าภาพถ่ายครอบครัวใส่กระเป๋าเสื้อ เพื่อนำไปด้วยตอนที่เขาจะต้องไปรบแต่พอคงคาวินเดินลงมา ก็ต้องมีสีหน้าที่ประหลาดใจอย่างมาก เมื่อพบว่ามีแขกมาเยือน
"ว่าไงเจ พอมีเวลาว่างไหม" "บุญส่ง" หรือ "โฟร์" โบกมือและส่งยิ้มให้
"ได้สิ.... แม่ครับ ผมคงไม่ได้อยู่ทานข้าวที่บ้านนะครับ" คงคาวินหันมากล่าวกับจอมขวัญแม้ว่าใจลึกๆเขาจะอยากกินข้าวกับครอบครัวมากกว่า
"อ้าว ทำไมอ่ะ แม่เขาอุตส่าห์...." เศวตโชติพูดไม่ทันจบก็ถูกวาสิตรากระทุ้งศอกทันที และดึงหูน้องชายเข้าไปในครัว ส่วนด้านจอมขวัญก็เข้าใจถึงเหตุผลของบุตรชายดี
"ไม่เป็นไรจ๊ะลูก ไว้ตอนเย็นๆก็ได้" จอมขวัญกล่าวและส่งยิ้มให้คงคาวินอย่างอ่อนโยน
คงคาวินยิ้มให้มารดาตอบก่อนจะเดินตามหลังบุญส่ง ออกจากบ้านตรงมาที่รถซึ่งจอดรออยู่ข้างประตูบ้าน บุญส่งหันมาทางอีกฝ่ายพร้อมขอโทษ ที่มาทำลายบรรยากาศการกินข้าวกับครอบครัว แต่นี่คือเรื่องด่วนจำเป็นต้องพาคงคาวินตามไปด้วย ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจและทั้งสองต่างก็ขึ้นรถ แล้วแล่นเข้าสู่เส้นทางไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของหน่วยรบ SAS ระหว่างทางคงคาวินหันมาถามบุญส่งว่า นอกจากทั้งคู่แล้วยังมีใครถูกเรียกมาบ้าง คำตอบก็คือมีคนโดนเรียกแล้วอีก 6 คน ร่วมคงคาวินกับบุญส่งแล้วก็เป็น 8 คนพอดี
ส่วนในเรื่องเนื้อหาของภารกิจนั้น บุญส่งก็ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะเขาเองได้รับคำสั่งไปตามรายชื่อที่ได้มา ให้มาที่ศูนย์บัญชาการเท่านั้น ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในที่สุดสองหนุ่มก็มาถึงศูนย์บัญชาการ บุญส่งเดินนำทางคงคาวินมายังห้องประชุมตรงชั้นสาม และเมื่อเดินเข้ามาแล้วคงคาวินพบว่ามีคนอยู่ในห้อง 6 คน นั่งรอผู้บังคับบัญชามาชี้แจ้งเรื่องภารกิจ ชายหนุ่มรู้จักสี่คนในขณะที่อีกสองคนเขาไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่นัก
ไม่นานในที่สุดผู้บังคับบัญชาก็เดินเข้ามา คงคาวินและคนอื่นๆต่างรีบทำความเคารพ พันตรียอนแฮจุน ซึ่งอีกฝ่ายบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย โดยต่อมาผู้พันยอนแฮจุนกล่าวขอโทษที่ต้องเรียกมาในเวลานี้ พร้อมทั้งขอบคุณที่ยอมสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาประชุม นั้นเลยทำให้คงคาวินพึ่งสังเกตว่าพวกเขาไม่มีใครใส่เครื่องแบบทหารเลย บ่งบอกว่าถูกเรียกตัวมากะทันหันมาก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาก ทหารยศนายพันก็เกริ่นเข้าเรื่องด้วยการถามทุกคนในห้อง ว่าวันนี้มีใครได้ดูคลิปวีดีโอที่เกิดขึ้นในเปรเซียร์บ้าง
"มันเกี่ยวกับภารกิจครั้งนี้หรือครับ" คงคาวินถาม
"ใช่ ซึ่งฉันอยากแนะนำให้รู้จักผู้ว่าจ้างเสียหน่อย"