Chapter 1
ในเช้าวันต่อมา "อาคัส" พบว่าหลังจากที่ได้พบกับนายพลหยางเจี้ยนหลง เขาแทบไม่อยากกลับไปนอนเลยเพราะมิอาจข่มตาหลับได้ ร่วมทั้งมาคัสกับริชาร์ดแฝดพี่ของเขาด้วย น่าแปลกทั้งที่พวกเขาทั้งสามเป็นฝาแฝดกันแท้ๆ แต่กลับมีนิสัยกับบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง "ริชาร์ด" แฝดพี่คนโตเป็นคนนิ่งๆไม่ค่อยพูด ขรึม สุขุมและรอบคอบ มีความเป็นผู้นำสูง ทว่าก็มีความบ้าดีเดือดระห่ำซุกซ่อนอยู่ในตัว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แฝดพี่คนนี้ได้รับตำแหน่งหัวหน้าทีม และทุกคนพร้อมใจจะติดตาม
แฝดพี่รอง "มาคัส" มีลักษณะนิสัยที่เด่นกว่าในแฝดสามที่สุด เป็นคนเลือดร้อนและบ้าระห่ำแต่ในขณะเดียวกัน อาคัสปฏิเสธไม่ได้ว่ามาคัสสามารถถ่ายทอดคำสั่งการ ให้กับลูกทีมได้อย่างดีไม่แพ้ริชาร์ดเลยเรียกได้ว่า มาคัสเปรียบได้เหมือนมือขวาของริชาร์ด ส่วนอาคัสเขาคิดว่าตัวเองไม่ค่อยจะมีความบ้าระห่ำหรือเลือดร้อน เหมือนกับแฝดพี่ทั้งสองเท่าไหร่เพราะนิสัยโดยส่วนตัวแล้ว เขาชอบที่จะค่อยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า
ตอนนี้ทั้งสามคนได้มาที่ห้องประชุมของหน่วยรบ SAS ซึ่งจะเป็นที่ร่วมตัวของหัวหน้าทีมและรองหัวหน้า จากทั้งสามทีมที่สังกัดในหน่วยรบ SAS แน่นอนว่าเนื้อหาก็คงไม่พ้นการสอบคัดเลือกสมาชิกรุ่นใหม่ โดยในขณะนี้มาคัสได้รวบร่วมรายชื่อของคนที่เข้ามาทดสอบมาไว้ที่โต๊ะ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือโต๊ะผสมคอมพิวเตอร์สี่มิติ ดูเหมือนว่ารุ่นที่ 6 จะมีคนสมัครเข้ามาเยอะพอสมควร ริชาร์ดจึงมอบหมายให้รองหัวหน้าในสังกัด ไปบอกให้สมาชิกตั้งแต่รุ่นใหญ่ถึงรุ่นที่สี่ตัดสินใจว่าจะรับใครเข้ามาบ้าง
หน่วยรบ SAS จัดอยู่ในสังกัดของกองกำลังพิเศษ ซึ่งเป็นกองทัพของนักรบฟินิกซ์โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นเด็กที่ผ่านพิธีคัดเลือกจากลูกแก้วฟินิกซ์ที่จัดเก็บอยู่ในวิหารนกฟินิกซ์ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวฟรอนร์เทียร์ให้ความเคารพนับถือ ลูกแก้วทั้งหมดมี 13 ลูกอันได้แก่สีน้ำเงิน สีแดง สีดำ สีเทา สีทอง สีเขียวมรกต สีฟ้า สีม่วง สีแสด สีเงิน และอีกสามลูกที่มีความพิเศษมากกว่าลูกอื่นๆ คือ ลูกแก้วมนตรา ลูกแก้วสุริยะ และลูกแก้วจันทรา
เงื่อนไขของการพิธีกรรมในวิหารนกฟินิกซ์คือ คนๆนั่นต้องมีจิตใจที่มีคุณธรรมและศีลธรรมเท่านั้น คุณสมบัติของนักรบฟินิกซ์ก็คือพวกเขาจะมีพลังเยียวยาบาดแผล และหายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นานกับมีโทรจิต เชื่อมต่อกันเพื่อสื่อสารกันและกัน ที่สำคัญพวกเขาสามารถรู้ชื่อกันเองได้ผ่านโทรจิต โดยที่ไม่ต้องถามชื่อเลยและด้วยความพิเศษนี้ เลยทำให้เวลาลงสู่สนามรบพวกเขาจะโดนส่งไปรบแนวหน้าเสมอ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการฝึกพวกเขาถึงหนักหน่วงและสาหัส
สำหรับในหน่วยรบ SAS จะมีสามทีมพระกาฬสังกัดอยู่ ได้แก่ ทีมดาร์คเนสวอริเออร์ ซึ่งเป็นทีมที่แฝดสามก่อตั้งขึ้น ทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม ก่อตั้งโดย "ฟรานชิส" เป็นหัวหน้าร่วมกับ "โจนัส" น้องชายของอาคัส และสุดท้ายคือ ทีมเดวิลแบ๊ทส์ ก่อตั้งโดย "เสกศักดิ์" หรือ "เสก" แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้าจึงมอบให้กับ "ลีรอย" แทน เพราะเสกศักดิ์เป็นรองหัวหน้าทีมดาร์คเนสวอริเออร์ ซึ่งพอหลังจากที่จัดการเรื่องการคัดทีมแล้ว ก็มาถึงหัวข้อที่ทุกคนรอคอยนั้นคือเรื่องที่ศึกจักรวรรดิ์เปรเซียร์
"เสก ฉันขอประวัติของจักรพรรดิ์คนใหม่หน่อย" ริชาร์ดกล่าวขึ้น
"ได้ จักพรรดิ์คนใหม่มีชื่อว่า เคลมองต์ เป็นพระโอรสของ พระเจ้าโอลาฟ กับพระมเหสีว่า พระนางรังน์ฮิลด์ ตามข่าววงในที่ได้รับมากล่าวกันว่า เจ้าชายเคลมองต์เป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต และมักใหญ่ใฝ่สูงมีเป้าหมายต้องการเป็นจ้าวโลกเลยทีเดียว ทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเลือกที่จะโหวตให้กับ เจ้าชายเดอร์ริค พระโอรสที่เกิดกับอัครมเหสีนามว่า พระนางอลิซ....." เสกศักดิ์ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกคนพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
"เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ผิดมเหสีมีสองคนงั้นเหรอ" "อังค์กูณฑ์" หรือ "เต้ย" ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ซึ่งพอถามจบแล้วก็โดนเขกหัวด้วยน้ำมือของ "อินทัช" หรือ "ต้น" แฝดพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ในข้อหาที่ถามแบบไม่รู้จักกาลเทศะทั้งที่กำลังประชุมอยู่ แต่ริชาร์ดกลับคิดว่าคำถามนี้มันไม่ผิดจึงให้เสกศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่า กษัตริย์ของเปรเซียร์จะมีภริยาได้ประมาณ 6 คน อัครมเหสีคือตำแหน่งสูงสุดทีเหลือจะเรียกว่ามเหสีเฉยๆ ซึ่งโดยร่วมแล้วผู้หญิงที่จะมาเป็นภริยาของกษัตริย์ จะมาจากการถวายตัวของแคว้นต่างๆที่เปรเซียร์ปกครอง หรืออาจจะเป็นบุตรีของตระกูลขุนนางก็ได้
ในรัชสมัยของพระเจ้าโอลาฟพระองค์มีภริยาทั้งหมด 4 คน ซึ่งพระนางรังน์ฮิลด์เป็นมเหสีองค์ที่สอง ตามประวัติแล้วพระนางเป็นบุตรีของ "ลอร์ดยอร์ดาน" ขุนนางระดับสูงที่รับใช้ราชวงศ์ฟอสเบิร์กมาช้านาน แหล่งข่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่าลอร์ดยอร์ดานคิดการใหญ่ ต้องการยกระดับวงศ์ตระกูลตนเองด้วยการพยายามดันบุตรีขึ้นมาเป็นอัครมเหสีให้ได้ ทว่าตำแหน่งนั้นพระเจ้าโอลาฟกลับทรงยกตำแหน่งอัครมเหสีให้กับ "พระนางอลิช" ซึ่งมาจากแคว้นเออเรบรูเป็นแคว้นที่เล็กที่สุด
กล่าวกันว่าเหตุการณ์นั้นทำให้พระนางรังน์ฮิลด์ทรงริษยา ต่อพระนางอลิชเป็นอย่างมากแต่ต้องแสร้งแกล้งทำเป็นทำดี เพื่อที่จะเอาใจพระเจ้าโอลาฟ แต่ถึงกระนั้นพระนางก็ไม่เคยได้รับความสนใจจากพระสวามีอย่างใด ซึ่งอาคัสที่ได้ฟังก็คิดว่าอาจเพราะพระองค์ทรงรู้ว่า สิ่งที่พระมเหสีผู้นี้ทำไม่ได้เกิดจากความจริงใจแต่มันคือการหลอกหลวง ทว่าอย่างไรก็ตามพระนางรังน์ฮิลด์ก็ได้มีพระโอรสให้กับพระเจ้าโอลาฟ ซึ่งก็คือ เจ้าชายเคลมองต์
ส่วนพระนางอลิชให้กำเนิดพระโอรสหลังพระนางรังน์ฮิล ได้เพียง 3 วันคือ "เจ้าชายเดอร์ริค" ส่วนสำหรับ "พระนางฟีโอดอรา" มเหสีองค์ที่สามเป็นเจ้าหญิงจากสหราชอาณาจักรไดโอนีซุส ให้กำเนิดพระโอรสพระนามว่า "เจ้าชายอาร์วิด" กับพระธิดาพระนามว่า "เจ้าหญิงคริสตินา" ฝั่งมเหสีองค์สุดท้าย "พระนางมาร์กาเรเทอ" ไม่มีพระโอรส-ธิดาเนื่องจากสิ้นพระชมน์เสียก่อน ในเรื่องตำแหน่งสืบราชบัลลังก์ตามกฎราชสำนัก คนที่จะได้เป็นรัชทายาทจะเกิดจากความเห็นชอบ จากบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่
และคนที่ได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทคือเจ้าชายเคลมองต์ ทว่าด้วยนิสัยส่วนพระองค์ที่คงได้จากลอร์ดยอร์ดานผู้เป็นตามาพอสมควร ถึงแม้จะทรงพระปรีชาสามารถแค่ไหนแต่เหล่าขุนนาง ต่างก็ลงความเห็นว่าเจ้าชายเคลมองต์ ไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระเจ้าโอลาฟ ขณะเดียวกันเจ้าชายอาร์วิดก็กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศแพนธีออน ส่วนเจ้าหญิงคริสตินาก็ยังเล็กอยู่ สุดท้ายตำแหน่งองค์รัชทายาทตกเป็นของเจ้าชายเดอร์ริค
"ขอเดานะว่าเจ้าชายเคลมองต์ไม่ยอมรับการโหวตครั้งนี้ใช่ไหม" ฟรานซิสแสดงความคิดเห็นระหว่างที่ยืนดูคลิปวีดีโอ ที่กำลังฉายภาพตอนที่เจ้าชายเดอร์ริคเข้าพิธีรับตำแหน่งองค์รัชทายาท
"ก็ทำนองนั้นแต่เหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าชายเคลมองต์ ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะตนเองเป็นองค์จักพรรดิ์ ร่วมทั้งเปลี่ยนประเทศตนเองเป็นจักรวรรดิ...."
"แล้วก็ประกาศสงครามพร้อมยึดครองแคว้นเล็กที่รายล้อมเขตแดนประเทศตนเอง" โจนัสเสริมต่อคำให้กับเสกศักดิ์
"ขอบใจที่ต่อให้" เสกศักดิ์ว่า
"พอกันได้แล้ว ข้อมูลของศัตรูเรารู้แค่นี้พอเพราะยังมีสิ่งที่พวกเราต้องโฟกัสมากกว่า นั้นคือการคัดสมาชิกรุ่นที่หกแต่ละทีมก่อนที่จะโดนส่งไปประจำการรบ" ริชาร์ดกล่าว ซึ่งหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
"งั้นเราเลิกประชุมกันแล้วย้ายก้นไปคัดสมาชิกใหม่กันเถอะ"