ตอนที่7. เชิญประตูเล็ก
อี้หรูไม่ค่อยชอบในน้ำเสียงของพ่อบ้านเท่าใดนัก คำตอบของหญิงสาวจึงไม่อ่อนหวานเช่นกัน พ่อบ้านสูงวัยก้าวออกมาหยุดยืนมองไปที่ผู้มาเยือน
คุณหนูใหญ่งดงามสมชาติกำเนิด ทุกอย่างดูดีไร้ที่ติ เสียเพียงแค่นางพิการพูดไม่ได้เท่านั้น หาไม่แล้วคงได้กลายเป็นหงส์ในวัง ทว่านางกลับได้เป็นเพียงภรรยาแม่ทัพเท่านั้น
“เชิญประตูเล็ก”
“ประตูเล็กมีไว้ให้อนุและลูกอนุเท่านั้น คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวคนโตที่กำเนิดจากภรรยาเอก ท่านพ่อบ้านตั้งใจจะบอกสิ่งใดแก่นายข้ามิทราบ”
“บุตรีที่ไร้ค่า ย่อม...อึก!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค พ่อบ้านสูงวัยจำต้องรีบหุบปาก ดวงตาเบิกกว้าง สองมือกุมลำคอเมื่อมีบางอย่างติดอยู่ในนั้น แน่นอนว่ามันเป็นฝีมือของอี้หรู ทั้งรวดเร็วเห็นผลทันใจนัก
“บางครั้งการเก็บปากไว้บ้าง อาจทำให้ท่านพ่อบ้านมีปากเอาไว้พูดไปได้อีกนาน ๆ นะเจ้าคะ คุณหนูค่อย ๆ เดินเจ้าค่ะ”
อี้หรูรีบประคองผู้เป็นนายที่เดินขึ้นมาถึงหน้าประตูพอดี สี่นายบ่าวก้าวผ่านเข้าไปด้านใน โดยไม่สนใจอาการตาเหลือกค้างของพ่อบ้านสูงวัย
เชียวอวิ๋นเก็บความขำขันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าละมุน ในสายตาผู้อื่นนางคือสตรีใบ้ แต่ทว่านางกลับมีคนที่ใช้ปากแทนนางได้อย่างเผ็ดร้อน สมกับที่ท่านอาจารย์การันตีในฝีมือ
นางไม่จำเป็นต้องปฏิเสธความช่วยเหลือจากใคร หากมันไม่ได้ทำให้นางเดือดร้อน หรือต้องตายไปอีกเป็นครั้งที่สอง ตามจริงแล้วนางได้หมั้นหมายเป็นชายาอ๋อง
แต่เพราะพิการจึงได้ถูกสับเปลี่ยนสกุลแม่ทัพ แน่นอนว่าเรื่องความพิการหาใช่ข้ออ้าง แต่มันมีเบื้องหลังมากกว่านั้นอีก นางไม่รีบร้อนใส่ใจกับมันเท่าใดนัก จัดการเรื่องตรงหน้าให้คลายไปทีละขั้นเป็นการดีสุด
เมื่ออยู่ในยุคแห่งอำนาจ คิดจะหลีกหนีต่อหน้าที่นั้นยากเหลือเกิน สตรียุคนี้น้อยนักที่จะมีทางเลือกของตนเอง ซึ่งนางแค่ทำตามกฎที่ถูกกำหนดไว้ สตรีแม้ไร้หนทางเลือก แต่ก็เป็นคลื่นใต้น้ำที่น่ากลัวมิแพ้กัน หรืออาจน่ากลัวกว่าความร้ายกาจอันโจ่งแจ้งของบุรุษเสียอีก
ดูอย่างการเจ็บป่วยจนไร้เสียงพูดของเชียวอวิ๋นผู้นี้ มันน่าจะไม่ใช่ความคิดของบุรุษ เพราะทั้งแยบยลและเห็นผล ทุกอย่างล้วนใช้เวลาในการบ่มเพาะ
“อยู่บ้านนอกเสียนาน คงไร้การอบรมเรื่องมารยาทไปแล้วสินะ! คุณหนูใหญ่!”
สตรีใบหน้าแต่งแต้มราวงิ้ว เดินนวยนาทมาหยุดยืนขวางทางสี่นายบ่าว พร้อมส่งสายตาหยามเหยียดมาที่เชียวอวิ๋น
เชียวอวิ๋นหันมองไปที่สาวใช้ เพื่อให้สื่อสารแทนนาง แค่สบตาสองนายบ่าวเป็นอันรู้กัน
“มิว่าท่านคือ!” อี้หรูเอ่ยถามขึ้นแทนผู้เป็นนาย
“นี่! เจ้าตั้งใจที่จะไม่จดจำข้าเช่นนั้นรึ! เชียวอวิ๋น ข้าคือภรรยารองของบิดาเจ้าอย่างไรเล่า”
เมื่อถูกมองข้ามฐานะ ฮูหยินรองถึงกับแสดงท่าทีไม่พอใจ ต่างจากสี่นายบ่าว ที่ลอบยิ้มอย่างขำขัน มีหรือก่อนก้าวเข้ามาที่นี่พวกนาบงจะไม่สืบหาข้อมูลของผู้อาศัย แค่ไม่อยากให้ค่ากับคนประเภทนี้
“คุณหนูให้เรียนว่านางมิได้ตั้งใจลืมเจ้าค่ะ แค่ไม่เคยจดจำต่างหากเจ้าค่ะ”
“บ่าวชั้นต่ำ! เจ้าตั้งใจแต่งเรื่องหมิ่นข้าเช่นนั้นรึ!”
เชียวอวิ๋นไม่ยากเสียเวลามากกว่านี้ จึงเลือกประนีประนอม ด้วยการก้าวมาบังร่างของอี้หรู แล้วค้อมศีรษะน้อย ๆ ให้แก่ภรรยารองของบิดา นางไม่ได้รู้สึกโกรธอันใดกับสตรีเจ้าอารมณ์ผู้นี้เลย แต่มันกลับรู้สึกดีที่เห็นความเป็นตนเองของอีกฝ่ายมากกว่า
“เห็นแก่เจ้าห่างบ้านไปนาน ข้าจะไม่ถือสา ฮึ!”
ฮูหยินรองเชียว สะบัดหน้าเดินจากไปยังทิศทางของเรือนบุตรสาว นางไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกดีต่อรอยยิ้มน้อย ๆ และดวงตาเยือกเย็นของเชียวอวิ๋น นางควรที่จะเกลียดลูกของฮูหยินใหญ่มิใช่หรือ
“นางดูร้ายกาจนะเจ้าคะ”
“คนร้ายกาจจริง ๆ เจ้ามองไม่ออกหรือว่ามักเป็นคนเช่นไร แบบฮูหยินรองนางแค่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย แต่ไม่มีพิษภัยอันใด เพราะถานางมีป่านนี้ตำแหน่งเมียเอกนางคงคว้ามาไว้กับตัวนานแล้ว”
เชียวอวิ๋นเอยเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่พวกนาง เพราะที่นี่มิใช่สำนักกลางเขาของอาจารย์ ที่นางจะพูดหรือทำสิ่งได้ตามอำเภอใจ ก่อนที่สองนายบ่าวจะเงียบเสียงลง เมื่อมีคนเดินมายังพวกนาง
“ตัวน่าอับอายนี่เอง ข้านึกว่าผู้ใด!”
เชียวอวิ๋นรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจนัก เมื่อคนหาเรื่องมีมาอีกจนได้ แต่คราวนี้เป็นคนร่วมบิดามารดาเสียด้วย น้องสาวที่กำลังจะกลายเป็นชายาอ๋องแทนนาง
“คุณหนูเดินทางมาไกล อยากที่จะพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะคุณหนูสาม”
“ใครให้เจ้าแทรกคำของข้า!”
“บ่าวแค่พูดแทนคุณหนูใหญ่เท่านั้นเจ้าค่ะ”