บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

มู่หยางรีบเดินตามท่านเสิ่นออกมาจากโถงทันใด

ท่านเสิ่นและฮูหยินเข้ามาสอบถามเหตุการณ์ขายหน้าที่เกิดขึ้น วันนี้วันดีแท้ ๆ ทว่าบุตรสาวของพวกเขากลับตีคนส่งเดชอีกแล้ว

ท่านเสิ่นเอ่ยเสียงเย็น

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

สาวใช้ไม่พูดจารีบคุกเข่าน้ำตานองหน้า ในขณะที่หลี่ซินส่งเสียงร่ำไห้เอ่ยสะอึกสะอื้นตอบเบา ๆ ปกป้องสาวใช้ของตนเองทันใด

“เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะท่านลุงท่านป้าสะใภ้ ที่ทำให้น้องหลันเอ๋อร์ไม่พอใจ ไม่เกี่ยวกับสาวใช้ของข้านะเจ้าคะ”

เสิ่นอวี้หลันไม่สนใจผู้อื่น นางกลับจับจ้องบุรุษร่างสูงหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านองน้ำตาของหลี่ซิน

จู่ ๆ เสิ่นอวี้หลันก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก

“หลันเอ๋อร์เจ้าทำอันใดหรือ”

เสิ่นอวี้หลันเม้มปาก มองสตรีสองคนที่ร้องไห้ราวกับญาติเสียตรงหน้า ถิงถิงจึงเอ่ยแทนว่า

“เรียนฮูหยิน บ่าวของคุณหนูหลี่กล่าววาจากำเริบเสิบสานคุณหนูเลยสั่งสอนไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ บ่าวเองก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องเพียงเท่านี้คุณหนูหลี่จะร้องไห้ด้วยเหตุผลใด คุณหนูหลี่มิได้ถูกตบเสียหน่อย”

หลี่ซินรีบพูด

“เป็นข้าที่สั่งสอนสาวใช้ไม่ดี อีกทั้งยังความผิดของข้าเองเจ้าค่ะที่อ่อนแอ เพียงเห็นสาวใช้ถูกทำร้ายข้าก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว”

เสิ่นอวี้หลันหันขวับไปมองหลี่ซินกล่าววาจาเหี้ยมเกรียม

“ถูกทำร้ายหรือ หึ พูดจาให้เรื่องราวใหญ่โตเก่งเสียจริง ข้าก็แค่ตบสั่งสอนบ่าวที่นายมันไม่เคยเสี้ยมสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง”

ท่านเสิ่นจำต้องรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย เขาเองก็รักและสงสารหลานสาวอยู่มากจึงถือหางไม่น้อย ทว่าคนที่เขารักมากกว่าผู้ใดก็ย่อมเป็นบุตรสาวของเขาเอง

เขาขับไล่สาวใช้คนนั้นไปให้พ้นตา พร้อมกับบอกให้หลี่ซินไปรอที่โถงรับรองแขก

“เจ้าค่ะท่านลุง”

จากนั้นจึงหันมาบอกกับบุตรสาว

“หลันเอ๋อร์เจ้ากลับไปก่อนวันนี้พ่อมีแขก เรื่องนี้เล็กน้อยเจ้าอยากจัดการสาวใช้อย่างไรก็ทำเถิดแต่อย่ามาก่อเรื่องตรงนี้ให้พ่อขายหน้าเลย”

“ท่านพ่อมู่หยางโหวเขามาสู่ขอหลี่ซินหรือเจ้าคะ”

“ใช่ เป็นเช่นนั้น”

เสิ่นอวี้หลันถึงกับพูดไม่ออก ที่มู่หยางโหวบอกว่าแล้วจะได้พบกันบ่อย ๆ นั่นแสดงว่าเขากับหลี่ซินรู้จักกันมาก่อนใช่หรือไม่

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย เป็นนางที่เข้าใจผิดไปเอง

เสิ่นอวี้หลันร่างกายสั่นระริก น้ำตาแทบไหล ถิงถิงรีบเข้ามาประคองสาวใช้ผู้ภักดีก็ตกใจที่ได้ยินจนพูดไม่ออกเช่นกัน

มู่หยางโหวมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ เขาไม่อาจยื่นมือเข้าไปสอดเพราะเป็นเรื่องภายในสกุลเสิ่น

แต่ยามนี้ได้เห็นถึงความร้ายกาจของคุณหนูเสิ่นกับตาอีกครั้งจึงได้แต่คิดว่าหลี่ซินอยู่ที่นี่คงถูกรังแกมาไม่น้อย เขาต้องรีบพาหลี่ซินออกจากสกุลเสิ่นให้เร็วที่สุดเพื่อให้พ้นเงื้อมมือของสตรีนางนี้

เสิ่นอี้หลันมองบิดาแล้วเอ่ยว่า

“ท่านพ่อท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”

บิดากระซิบแผ่วเบาเพราะไม่รู้ว่าบุตรสาวของเขาบัดนี้ได้ปักใจให้ท่านโหวผู้หล่อเหลาคนนี้ไปแล้ว

“จริงแท้แน่นอน วันนี้ท่านโหวมาสู่ขอญาติผู้พี่ของเจ้าด้วยตัวเองอย่างไรเล่า พ่อเองก็ได้ตกปากรับคำไปแล้ว อย่างไรนางก็จะออกเรือนแล้วไม่อยู่เกะกะขวางหูขวางตาของเจ้าอีกครานี้เจ้าก็อย่าได้เอาแต่ใจ บ่าวไพร่สั่งสอนไปแล้วก็แล้วต่อกันเถิด”

เขาย่อมรู้ว่าบุตรสาวไม่ถูกชะตากับหลี่ซินที่ผ่านมาก็พยายามให้หลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกันในวันสำคัญเช่นนี้

ในฐานะท่านลุงของหลี่ซินเขาจึงต้องดูแลและส่งหลานสาวคนนี้ไปถึงฝั่งให้ไกลที่สุด

ทว่าบัดนี้เสิ่นอวี้หลันนั้นยืนนิ่งอยู่กับที่ไปแล้วด้วยอาการตกใจ เรื่องที่นางมีใจให้กับมู่หยางนั้นยังปิดบังบิดามารดาเอาไว้ ทั้งท่านเสิ่นและฮูหยินจึงไม่รู้ความจริงว่านางได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง

“หลันเอ๋อร์มากับแม่เถิด ไยหน้าซีดเพียงนี้”

มารดาเห็นสีหน้าบุตรสาวไม่ค่อยดีจึงคิดจะพานางกลับเข้าเรือน ทว่าเสิ่นอวี้หลันกลับยืนนิ่งไม่ขยับ

นางเสียใจจนอยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา

และในยามนั้นนั่นเองเจียวกงกงก็นำพระราชโองการเข้ามาถึงคฤหาสน์สกุลเสิ่น

ทุกคนล้วนแปลกใจว่าด้วยเรื่องอันใดกัน กระทั่งเจียวกงกงเห็นมู่หยางโหวจึงได้เอ่ยว่า

“เรื่องเร่งด่วนยิ่ง เดิมทีข้าไปพบท่านโหวที่จวนแต่ไม่เจอ ดียิ่งนักที่พบว่าท่านอยู่ที่นี่ ท่านเองก็ได้รับพระราชโองการเช่นเดียวกัน”

“ข้าหรือ”

“ใช่ขอรับ เป็นท่านกับคุณหนูใหญ่เสิ่นที่ฝ่าบาทพระราชทานพระราชโองการลงมา”

เจียวกงกงกล่าวจบจากนั้นจึงหันมาทางท่านเสิ่นและฮูหยินพร้อมกับกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม

“ท่านหญิง ท่านเสิ่น คุณหนูเสิ่น อยู่พร้อมหน้ากันพอดี ข้าน้อยขอคารวะ”

หมิงหลันคือท่านแม่ของเสิ่นอวี้หลันยามนี้นางยิ้มทักทายเจียวกงกงซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยไทเฮาเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่ยังเยาว์

“รบกวนเจียวกงกงแล้ว จู่ ๆ ฝ่าบาทมีพระราชโองการเร่งด่วนเช่นนันเชิญเจียวกงกงที่โถงรับรองเถิด”

ท่านแม่ของเสิ่นอวี้หลันถึงจะสละฐานันดรองค์หญิงแล้ว ทว่าไทเฮายังคงแต่งตั้งเป็นท่านหญิงให้มียศสูงกว่าสามัญชนโดยทั่วไป นางยังคงเป็นที่ยำเกรงของคนในวังหลวง

“ขอรับ”

จากนั้นทุกคนจึงรวมตัวกันอยู่ในโถงเรือนรับรอง ทว่าคนที่ถูกเจียวกงกงขานชื่อเป็นคนแรกก็คือมู่หยางโหว

“มู่หยางโหวรับราชโองการ”

ทุกคนล้วนคุกเข่า มู่หยางโหวเอ่ยตอบรับ

“พ่ะย่ะค่ะ”

“มู่หยางโหวมีความดีความชอบช่วยเหลือคุณหนูเสิ่นอวีหลันจากโจรชั่ว ซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านหญิงหมิงหลันอันเป็นเชื้อสายของไทเฮาผู้สูงศักดิ์ ฝ่าบาทจึงทรงยกย่องความดีนี้มอบที่ดินพร้อมกับทองคำหนึ่งร้อยหีบ รวมทั้งมอบเมืองจิ้งโหยวให้อยู่ในปกครองเก็บกินศักดินา ให้ออกเดินทางหลังจากนี้หนึ่งเดือนให้หลัง อีกทั้งฝ่าบาทเห็นว่าสวรรค์เปิดทางส่งให้วีรบุรุษช่วยสาวงาม จึงทรงพระราชทานสมรสให้มู่หยางโหวและคุณหนูเสิ่นอวี้หลัน อยู่ครองคู่เป็นสามีภรรยาขอให้เร่งจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด”

มู่หยางได้ยินพระราชโองการที่เจียวกงกงอ่านอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงกับมือสั่น เขาย่อมตกใจที่จู่ ๆ ได้รับสมรสพระราชทานในวันที่เขามาสู่ขอหญิงงามในดวงใจด้วยตนเอง

เขาหันไปมองเสิ่นอวี้หลันพบว่าสตรีนางนั้นมีสีหน้าสงบนิ่งไม่ได้แปลกใจแต่ประการใด

หรือว่าเรื่องนี้นางจะรู้อยู่แล้วในเรื่องสมรสพระราชทานครานี้

และคนที่แทบจะล้มพับลงตรงนั้นก็คือหลี่ซิน ร่างกายของหญิงสาวสั่นเทา ปากซีดมือสั่นเกือบจะรั้งตนเองไม่ให้ล้มลงไปเอาไว้ไม่ไหว

“มู่หยางโหวรับราชโองการเถิด”

มู่หยางโหวกัดฟัน ราชโองการของฝ่าบาทเขาไม่อาจขัดได้ เขาเป็นเพียงข้าราชสำนักที่ไม่ได้มีเส้นสายอันใดผิดแผกจากคนสกุลเสิ่นที่คนหนุนหลังเป็นถึงผู้ครองแคว้น

ถึงเขาจะไม่เต็มใจและยังรู้สึกรังเกียจคุณหนูเสิ่นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม ทว่าพระราชโองการเขาไม่อาจขัดได้สุดท้ายจำใจต้องยอมรับ

“มู่หยางขอบพระทัยฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”

ม้วนผ้าสีทองอันเป็นพระราชโองการสมรสพระราชทานอยู่ในมือของเขาแล้ว เขากำม้วนผ้าในมือแน่น หันไปมองหลี่ซินที่บัดนี้น้ำตาคลอกลั้นสะอื้น แล้วเอ่ยเบา ๆ

“คุณหนูหลี่ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า”

หลี่ซินพยายามฝืนยิ้ม น้ำตาไหลหยดลงมาราวเม็ดไข่มุก ดูบอบบางและน่าสงสารจนมู่หยางรู้สึกปวดใจ

“เสิ่นอวี้หลันรับราชโองการ”

เสิ่นอวี้หลันเป็นคนไปทูลขอฝ่าบาทด้วยตนเอง บัดนี้ย่อมรู้เรื่องมาก่อน ยามนี้นางจึงเกิดลังเลเมื่อมู่หยางผู้นั้นมาสู่ขอญาติผู้พี่ของตนเองแล้ว

แต่นางเป็นคนไปขอสมรสนี้ด้วยตนเอง ไม่อาจปัดป้องเป็นเด็กเอาแต่ใจ เสิ่นอวี้หลันรับพระราชโองการมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและสับสน

ความยินดีและความสุขที่นางเคยฝันเอาไว้บัดนี้ล้วนสูญสลายไปจนหมดสิ้น

คนในสกุลเสิ่นทุกคนล้วนตกตะลึง ในยามที่เจียวกงกงกลับไปนั้นบรรยากาศในโถงรับรองจึงดูกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินข่าว รีบออกมาที่โถงนั่งอยู่ตรงกลางเป็นประธานด้วยสีหน้าสุขุม

“พระราชโองการไม่อาจขัดรับสั่ง ท่านโหวจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับหลี่ซินหลานสาวของข้า”

“ข้าอย่างไรก็จะแต่งกับหลี่ซินขอรับ”

ใจของมู่หยางเจ็บปวด หลี่ซินปาดน้ำตาของตัวเองช้า ๆ นางยังหันมามองเสิ่นอวี้หลันด้วยแววตาสั่นระริก ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น ในขณะที่เสิ่นอวี้หลันยังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองไม่ได้สนใจมองผู้ใด

มู่หยางยิ่งเห็นท่าทางหลี่ซินกลัวเสิ่นอวี้หลันเช่นนั้นยิ่งไม่ต้องการให้หลี่ซินอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วันเดียว

สตรีนางนั้นคงกลั่นแกล้งหลี่ซินคนดีของเขาจนหวาดผวา

ท่านเสิ่นถอนหายใจยาว

“ฐานะของหลี่วินไม่อาจจะเป็นภรรยาเอกของท่านโหวได้อยู่แล้ว ดังนั้นหากท่านโหวตัดสินใจยอมรับ ข้าจะยกหลานสาวของข้าผู้นี้ให้เป็นภรรยารองของท่านโหว”

จากนั้นท่านเสิ่นจึงหันไปถามหลี่ซิน

“หลี่ซินเจ้ายินดีหรือไม่หากต้องแต่งเป็นภรรยารองของท่านโหว”

ถ้าพูดถึงเรื่องความเหมาะสม หลี่ซินคือบุตรสาวพ่อค้าสามัญชนการจะแต่งให้ท่านโหวนั้นจึงทำได้เป็นเพียงภรรยารองหรืออนุเท่านั้น

ผิดกับเสิ่นอวี้หลันซึ่งแม้บิดาจะเป็นพ่อค้าแต่มารดาเดิมมีฐานะเป็นองค์หญิง ทั้งยังมีเสด็จย่าเป็นไทเฮา เสด็จลุงเป็นฮ่องเต้ ต่อให้แต่งกับท่านอ๋องผู้หนึ่งเสิ่นอวี้หลันก็ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งพระชายาได้โดยที่ไม่ผิดธรรมเนียมและไม่มีผู้ใดดูถูก

มู่หยางหันไปมองหลี่ซิน นางก้มหน้าแล้วเอ่ยอ่อนหวาน

“ข้ายินดีเจ้าค่ะ ข้ารักท่านโหวแม้จะเป็นเพียงอนุของท่านโหวข้าก็ยินดีอยู่ข้างกายเขา”

เสิ่นอวี้หลันได้แต่นิ่งงัน คำบอกรักของมู่หยางที่มีต่อหลี่ซินและคำบอกรักของหลี่ซินที่มอบให้แก่มู่หยางนั้นคล้ายจะตอกย้ำว่านางเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น และบัดนี้รอยยิ้มของท่านโหวก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนผู้ใดเอาค้อนมาทุบที่หัวจนมึนงงและปวดร้าว

ท่านหญิงหมิงหลันมารดาของเสิ่นอวี้หลันจึงเอ่ยว่า

“แล้วลูกเล่าหลันเอ๋อร์ ถึงจะเป็นสมรสพระราชทานทว่าฝ่าบาทคงไม่ได้รู้ถึงเรื่องของหลี่ซินกับท่านโหว ดังนั้นหากลูกไม่เต็มใจแม่จะเข้าวังทูลกับฝ่าบาทด้วยตนเอง”

เสิ่นอวี้หลันเป็นคนวิ่งไปขอสมรสพระราชทานด้วยตนเองเรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หากจู่ ๆ จะเอาแต่ใจวิ่งไปขอให้พระองค์ยกเลิกพระราชโองการเสียก็ดูจะเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจและหมิ่นเบื้องสูง

ทว่านางเจ็บปวดนักมิใช่หรือแล้วจะทำอย่างไร

ในขณะที่เสิ่นอวี้หลันกำลังชั่งใจอยู่นั้น นางกลับมองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของหลี่ซิน

สายตานั้นกลับทำให้เสิ่นอวี้หลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จู่ ๆ นางก็บังเกิดความห่วงใยบุรุษผู้นั้นขึ้นมา

แม่ดอกบัวขาวที่แสร้งทำอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นดูจะมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ สิ่งที่เสิ่นอวี้หลันเดาไม่ออกว่าคือสิ่งใดกันแน่

และในเวลานั้นนางก็ตัดสินใจทันใด

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ายินดีทำตามพระประสงค์แต่งกับท่านโหวเจ้าค่ะ”

ท่านแม่ย่อมไม่อยากให้นางแต่งออกไปจึงได้เอ่ยรั้งเอาไว้

“แต่หากลูกแต่งงานกับเขา จำต้องออกจากเมืองหลวงติดตามสามีไปยังเมืองจิ้งโหยวห่างจากเมืองหลวงมากนัก อย่างไรก็ไม่ใช่เมืองหลวงยังเป็นเมืองชายแดนที่แม้จะไม่ลำบากแต่เทียบกับที่นี่แล้วความสะดวกสบายย่อมมีน้อยยิ่งนัก เจ้าจะทนได้หรือ เฮ้ย หากมีสิ่งใดลำบากใจคิดจะกลับมาหาพ่อกับแม่ก็ลำบากแล้ว”

บิดามารดาย่อมไม่อยากให้ลูกสาวที่รักแยกห่าง ทว่าพวกเขาย่อมรู้ดีว่าเสิ่นอวี้หลันเป็นคนเด็ดเดี่ยวเพียงใด หากนางต้องการไปอย่างไรก็ห้ามไม่ได้

เสิ่นอวี้หลันใคร่ครวญ นางย่อมรู้ว่าพวกเขารักกัน ทว่าแล้วอย่างไรในเมื่อนางเองก็รักเขาเช่นกันและไม่คิดว่าตนเองจะรักมู่หยางน้อยกว่าผู้ใด

ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดว่าเมื่อเป็นฮูหยินของเขาแล้วนางจะมีโอกาสที่จะครอบครองหัวใจของเขาได้อย่างแน่นอน นางจึงตอบบิดาออกไปด้วยหัวใจที่แน่วแน่

“ท่านพ่อลูกยินดีรับพระราชโองการเจ้าค่ะ แต่งให้มู่หยางโหว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel