บทที่ 3
เสิ่นอวี้หลันขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทซึ่งยามนี้พระองค์ทรงอยู่ที่ตำหนักไทเฮา เสิ่นอวี้หลันจึงได้ตามฝ่าบาทไปที่นั่น
เพียงทุกคนเห็นเสิ่นอวี้หลันก็ประดุจว่าเห็นองค์หญิงผู้หนึ่งทุกคนล้วนทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“คุณหนูเสิ่นขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกงกงที่ถวายงานหน้าตำหนักเข้าไปรายงาน ไทเฮาแสดงสีหน้ายินดียิ่งนัก
“หลานสาวคนนี้ช่างรู้ใจจริงว่ายายคนนี้เป็นห่วงยิ่งนัก เร็วเข้ารีบให้นางเข้ามา”
เสิ่นอวี้หลันคุกเข่าถวายบังคมฝ่าบาทและไทเฮา ก่อนที่ไทเฮาจะอนุญาตให้ลุกขึ้นและบอกให้นางมานั่งข้างกาย
“หลานรักเป็นอย่างไรบ้าง ยังตกใจอยู่หรือไม่”
ไทเฮาตรัสถามด้วยความห่วงใย เสิ่นอวี้หลันกำลังกอดรอบเอวไทเฮาแล้วซบใบหน้าลงบนอกกล่าวออดอ้อน
“เสด็จยายเพคะ ฝ่าบาทเพคะ หลันเอ๋อร์ยังคงตกใจอยู่เพคะ”
จากนั้นก็ได้รับคำปลอบโยนมากมายจากผู้เป็นใหญ่ทั้งสองกระทั่งพระสนมที่ร่วมเสวยชายามบ่ายกับฝ่าบาทและไทเฮายังรู้สึกริษยา ด้วยกระทั่งองค์หญิงและองค์ชายของพวกนางก็ยังไม่ได้รับความโปรดปรานเพียงนี้
ไทเฮาทรงตรัสว่า
“หลันเอ๋อร์ของยายช่างน่าสงสารเสียจริง เช่นนั้นให้ยายปลอบขวัญเจ้าด้วยสิ่งใดดีเล่า”
ด้วยไทเฮาทรงมีพระโอรสและพระธิดาเพียงสองคน พระโอรสก็คือฝ่าบาทส่วนพระธิดาก็คือมารดาของเสิ่นอวี้หลัน เมื่อตอนเสิ่นอวี้หลันถือกำเนิดไทเฮายังนำนางมาเลี้ยงไว้ข้างกายจนกระทั่งเติบใหญ่จึงยอมให้กลับคฤหาสน์ของตนเอง
ไทเฮาเสนอเครื่องประดับล้ำค่ามากมาย ทำให้เหล่าพระสนมต่างมองหน้ากันด้วยริษยา
เสิ่นอวี้หลันส่ายหน้า
“หม่อมฉันไม่อยากได้เพคะ”
“แล้วหลานยายอยากได้สิ่งใดเล่า”
เสิ่นอวี้หลันจึงเอ่ยว่า
“เสด็จยาย เรื่องนี้ขอให้ทุกคนกลับไปก่อนได้หรือไม่เพคะ”
เสิ่นอวี้หลันร้องขอ ฝ่าบาทจึงทรงสั่งให้ทุกคนออกไป บัดนี้จึงเหลือเพียงฝ่าบาท ไทเฮา และเสิ่นอวี้หลันเท่านั้น
เมื่อไม่มีบุคคลอื่น เสิ่นอวี้หลันจึงเอ่ยถึงความต้องการของตนเอง
“มู่หยางโหวเป็นคนช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้ วันนั้นตอนแก้มัดยังได้สัมผัสร่างกาย ตรงนี้และตรงนี้”
เสิ่นอวี้หลันแสร้งทำขวยเขินยามที่บอกว่าตนเองถูกสัมผัสที่ตรงใดบ้าง ทำให้ไทเฮาเบิกตากว้างด้วยความตกพระทัย
“ร่างกายหลานยายเป็นของสูง มู่หยางโหวผู้นั้นกล้าดีอย่างไร เช่นนี้ฝ่าบาทแม่ไม่ยอม ต้องสั่งลงโทษเขาให้หลาบจำ”
เสิ่นอวี้หลันกลับเอ่ยว่า
“เสด็จยายเพคะ ท่านโหวมีบุญคุณช่วยชีวิตหลานนะเพคะ อย่าลงโทษเขาเลย”
ไทเฮาทรงมองหลานสาวคนโปรดแล้วตรัสว่า
“ท่าทางไม่ปกติเช่นนี้มีเรื่องอันใดจะขอยายหรือ”
เสิ่นอวี้หลันมองไปที่ฝ่าบาท พระองค์จึงทรงตรัสถามอย่างรู้ทัน
“หรือว่าจะขอลุงกัน”
เสิ่นอวี้หลันดวงตาเป็นประกาย
“เรื่องสมรสพระราชทานของหม่อมฉันที่เสด็จลุงเคยตรัสว่า หากเจอบุรุษที่ต้องใจให้รีบบอกให้ทรงทราบ บัดนี้หม่อมฉันพบคนผู้นั้นแล้วเพคะ”
ฝ่าบาทแย้มสรวล
“คนผู้นั้นเป็นผู้ใดหรือ”
เสิ่นอวี้หลันกลับเรือนด้วยหัวใจที่เบิกบานหลังจากที่ฝ่าบาทรับปากเรื่องสมรสพระราชทานกับบุรุษในดวงใจ
นางพบเขาเพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นสตรีคลั่งรัก เรื่องราวของเขานางส่งให้คนไปสืบและคนผู้นั้นก็กลับมาเล่าถึงความเก่งกาจของบุรุษผู้นี้จนนางเคลิบเคลิ้ม
บัดนี้ความฝันของนางกำลังจะเป็นจริงแล้ว นางยังอยากรู้ว่าเมื่อเขาได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทเขาจะรู้สึกอย่างไร
จะดีใจหรือตื่นเต้นอย่างเช่นที่นางเป็นหรือไม่
นับตั้งแต่วันนั้นเสิ่นอวี้หลันก็เชื่อฟังมารดาและบิดา เรื่องที่นางไปขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทบัดนี้คนที่บ้านยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และนางเองก็เก็บตัวเงียบไม่ยอมพบผู้ใดทั้งนั้น
มารดายังอดแปลกใจไม่ได้ว่าไยบุตรสาวจึงได้สงบเสงี่ยมไม่ก่อเรื่องดั่งเช่นเคย
หลายวันต่อมาถิงถิงสาวใช้คนสนิทก็หน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“คุณหนูท่านโหวมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าผู้ใดนะ”
“ท่านโหวเจ้าค่ะ มู่หยางโหว มาพร้อมแม่สื่อคล้ายจะมาสู่ขอคน”
“สู่ขอหรือ เป็นข้าหรือ”
ถิงถิงยิ้ม
“บ่าวยังไม่ได้ยินเจ้าค่ะ”
เสิ่นอวี้หลันเข้าข้างตนเอง นางจึงลุกพรวดพราดขึ้นมากระวนกระวายรีบสั่งให้ถิงถิงแต่งตัวให้ใหม่กล่าวย้ำว่าให้งดงามที่สุด ทั้งนายทั้งบ่าวบัดนี้ล้วนตื่นเต้นยินดี
เสิ่นอวี้หลันเดินวนอยู่ในเรือน เนิ่นนานก็ไม่มีผู้ใดมาเรียกดั่งที่รอคอย นางยิ่งรู้สึกร้อนรน
“ถิงถิงเจ้าไปดู ไม่ใช่เขามาพบข้าหรือ ไยจึงยังไม่มีผู้ใดมาตามอีก ไม่ต้องแล้วข้าไปเอง ข้าจะไปดูเอง”
เสิ่นอวี้หลันในอาภรณ์สีเขียวอ่อนงดงามสดใส ใบหน้างามพริ้มจึงเร่งฝีเท้าไปที่เรือนรับรอง
ระหว่างทางนั้นนางได้พบกับญาติผู้พี่หลี่ซิน ที่กำลังเดินไปยังเรือนรับรองเช่นเดียวกัน
“เจ้าจะไปไหน”
เสิ่นอวี้หลันมองหลี่ซิน เสิ่นอวี้หลันไม่ถูกชะตาทั้งไม่ชอบญาติผู้พี่คนนี้นัก ที่ผ่านมาจึงได้หาเรื่องหลี่ซินมาตลอดจนหลี่ซินหวาดกลัวเสิ่นอวี้หลันมากยิ่งกว่าผู้ใด
น้ำเสียงขลาดเขลาของหลี่ซินจึงเอ่ยขึ้น
“น้องสาวเจ้าจะไปที่ใดหรือ”
“ข้าถามเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ายอกย้อนมาถามข้า”
หลี่ซินก้มหน้าตอบเบา ๆ
“ท่านลุงให้คนมาตามข้า ข้าจึงจะออกไปพบ”
เสิ่นอวี้หลันขมวดคิ้วสงสัย
“ออกไปพบด้วยเรื่องอันใด”
“มีคนส่งแม่สื่อมา”
เสิ่นอวี้หลันเบิกตากว้าง แค่นคำออกไป
“ไยเป็นเจ้าไม่ใช่ข้า ไยท่านพ่อเรียกหาเจ้า”
สาวใช้ของหลี่ซินจึงเอ่ยว่า
“เรียนคุณหนูใหญ่ วันนี้ท่านโหวมาสู่ขอคุณหนูของข้าด้วยตนเอง ดังนั้นนายท่านจึงได้เรียกหาคุณหนูของข้าเจ้าค่ะ”
เสิ่นอวี้หลันดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เขามาสู่ขอนางมิใช่ข้าหรือ”
สาวใช้คนนั้นเดิมทีเกลียดเสิ่นอวี้หลันอยู่แล้ว และบัดนี้นายสาวของนางจะได้ออกไปจากสกุลเสิ่นกลายเป็นฮูหยินท่านโหวผู้สูงศักดิ์แล้วนางจึงได้กล้าหาญเอ่ยว่า
“ท่านโหวกับคุณหนูมีใจต้องกันมานานแล้ว คนสองคนรักกันไม่เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เลย ท่านโหวจะมาสู่ขอคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านช่างกล้าคิดเข้าข้างตัวเองเสียจริง”
เสิ่นอวี้หลันมองเขม็งแน่นอนว่ามือไวเท่าความคิดนางเงื้อมือขึ้นแล้วสะบัดลงบนหน้าของสาวใช้คนนั้นทันใด
เพี๊ยะ!
สาวใช้น้ำตาคลอคาดไม่ถึงว่าจะถูกทำโทษรวดเร็วเพียงนี้
หลี่ซินขยับมาบังสาวใช้เอาไว้ น้ำตานองหน้าเมื่อเห็นว่าสาวใช้ของตนเองถูกทำร้าย
“น้องสาวไยเจ้าโหดร้ายเพียงนี้ จำเป็นต้องทำกันรุนแรงเช่นนี้หรือ”
เสิ่นอวี้หลันจ้องญาติผู้พี่เขม็ง
“เป็นบ่าวสมควรเจียมตน เจ้าไม่สั่งสอนบ่าวไพร่เลยหรืออย่างไรจึงได้กล่าววาจากำเริบกับข้าเพียงนี้”
น้ำตาของสาวงามผู้อ่อนแอไหลอาบแก้ม จากนั้นจึงสะอื้นออกมา เสิ่นอวี้หลันถึงกับร้อง เห๊อะ ในใจ
“มีเรื่องอันใดให้ท่านต้องร้องไห้กัน เพียงแค่นี้ก็บีบน้ำตาแล้วหรือ มารยาสาไถเสียจริง”
สาวใช้ของหลี่ซินเอ่ยเสียงดัง
“คุณหนูใหญ่ ท่านจะตบจะตีข้าก็ช่างเถิด ไยต้องกล่าววาจาร้ายกาจกับคุณหนูของข้าด้วย เพราะคุณหนูของข้าเป็นกำพร้าท่านจึงคิดรังแกคนใช่หรือไม่”
เรื่องราวเริ่มใหญ่โตเพราะสาวใช้โวยวาย พวกเขาล้วนอยู่ใกล้กับโถงรับรองจึงทำให้คนที่อยู่ในโถงได้ยิน
คนในโถงต่างมองมาตรงจุดนั้น แม้ได้ยินไม่ชัดว่าพูดคุยกันเรื่องอันใด ทว่าการที่เสิ่นอวี้หลันตบหน้าสาวใช้และหลี่ซินร้องไห้อย่างน่าสงสารก็คล้ายจะเป็นตัวตัดสินแล้วว่าเสิ่นอวี้หลันกำลังก่อเรื่องรังแกคน
สายตาของบุรุษร่างสูงเข้มขึ้นเมื่อเห็นเสิ่นอวี้หลันลงมือตีสาวใช้โดยไร้เหตุผล
นางช่างร้ายกาจอย่างที่เล่าลือ