บทที่ 2
ทหารผู้นั้นอึกอักเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็คือมู่หยางโหวผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจตราเมืองหลวง เขาเองเพิ่งมารับตำแหน่งได้ไม่นานหลังจากที่ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกตัวเขากลับจากชายแดน
“ท่านโหว คือว่าข้างในรถม้าเป็นเพียงคุณหนูจากเมืองอี้ที่เดินทางมาเยี่ยมญาติ บัดนี้กำลังจะกลับเท่านั้นขอรับ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ”
มู่หยางขี่ม้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยว่า
“ข้ายังไม่เห็นเจ้าตรวจสอบเลยด้วยซ้ำ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้างในรถม้าเป็นผู้ใด ระยะนี้อาวุธในเมืองหลวงถูกลักลอบขนออกไปนอกเมืองไม่น้อย ข้ากำชับทุกคนว่าให้ตรวจตราให้ละเอียดรอบคอบ วันนี้เห็นคาตาว่าพวกเจ้าทำงานเช่นไร ละหลวมยิ่งนัก”
จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องของเขาตรวจสอบรถม้าด้วยตนเอง
เสิ่นอวี้หลันรอคอยด้วยหัวใจระทึก นางหวังว่าท่านโหวผู้นี้คงจะฉลาดรอบคอบไม่ปล่อยให้คนร้ายจับตัวนางไปได้
คุณหนูตัวปลอมถูกสั่งให้ลงจากรถม้า นางค่อย ๆ เดินราวกับสตรีผู้สูงศักดิ์ฝีเท้าเบายิ่งกว่าแมว ท่าทางอ้อนแอ้นอ่อนหวานลงจากรถโดยมีสาวใช้ช่วยประคอง
“เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
คุณหนูตัวปลอมเอ่ยเสียงหวานยิ่งกว่าสตรี
“ข้าน้อยแซ่จูนามหลีเจ้าค่ะ”
“จูหลีหรือ”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้นางนั้นรีบเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าคุณหนูของข้าสุขภาพอ่อนแอ ขี้หนาวไม่อาจทนอยู่ด้านนอกได้นานเจ้าค่ะ”
มู่หยางลงจากหลังม้าตัวใหญ่ของตน เขาหยุดอยู่เบื้องหน้าคุณหนูแซ่จู
“ยื่นมือมาแล้วแบมือออก”
“เจ้าค่ะ”
คุณหนูผู้นั้นทำตามคำสั่ง นางยื่นมือให้มู่หยางดู มู่หยางยกยิ้มมุมปากเหี้ยมเกรียม เมื่อเห็นว่ามือของคุณหนูนางนี้ช่างหยาบกร้านราวกับมือของบุรษที่ทำไร่นา
“มือของท่านนั้นช่าง...”
ทว่าชั่วพริบตานั้นคุณหนูก็ได้รู้ตัวว่าพลาดท่าถูกจับได้เข้าแล้ว อาวุธลับจึงถูกซัดใส่มู่หยางอย่างรวดเร็ว
มู่หยางใช้กระบี่ปัดอาวุธขนาดจิ๋วออกจากตัว อาวุธนั้นจึงพุ่งไปทำร้ายพวกเดียวกันเองจนล้มพับลงไป
จากนั้นเสียงต่อสู้พลันดังขึ้น เนิ่นนานกว่าเสียงนั้นจะสงบเสิ่นอวี้หลันที่อยู่ในหีบเงี่ยหูฟังเสียงนั้นด้วยใจระทึก
“ใต้เท้า มีหีบในรถม้าขอรับ”
“ยกลงมาแล้วเปิดออก”
“ขอรับ”
เพียงฝาหีบเปิดออกแสงสว่างส่องสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเสิ่นอวี้หลัน นางต้องรีบหลับตาลงแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และแล้วภาพบุรุษหล่อเหลาผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
สันกรามคม จมูกโด่ง ใบหน้าได้รูปงดงาม ดวงตาโต คิ้วกระบี่ ขนตายาวงอน ทว่าเมื่อมองรวมกันกับให้ความรู้สึกมั่นคงแบบบุรุษ
ใบหน้าของเขามีเลือดที่สาดกระเซ็นเปื้อนอยู่เล็กน้อย ทว่าไม่ได้ทำให้เขาดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยแต่กลับทำให้เขามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด
นางมองคนผู้นั้นอย่างตกตะลึง กระทั่งนางถูกเขาแก้มัดให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงทุ้มต่ำจึงเอ่ยว่า
“แม่นางท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เสิ่นอวี้หลันส่ายหน้า ไม่เอ่ยวาจาใดสายตาของนางยังจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเขา
“ดียิ่ง แล้วท่านถูกจับมาด้วยเหตุใด”
สตรีเบื้องหน้าของมู่หยางนั้นนับว่าเป็นสตรีที่เรียกได้ว่างามล่มเมือง ท่าทางอ่อนแอไม่เป็นวรยุทธ์
เพียงแต่เขารู้สึกประหลาดใจที่นางไม่ได้มีสีหน้าตระหนกเลยแม้แต่น้อย ยังเอาแต่จับจ้องเขาไม่วางตา
เสียงหวานใสเอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่าพวกมันจะจับข้าเรียกเงินจากท่านพ่อ”
“อ้อเป็นเช่นนั้นหรือ แล้วท่านเป็นคุณหนูตระกูลใดหรือ แล้วถูกจับมาได้อย่างไร”
น้ำเสียงนั้นดูจะห่วงใยไม่น้อย เกิดมาในชีวิตเสิ่นอวี้หลันไม่เคยมีบุรุษอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวห่วงใยจึงทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว
นางเคยหมั้นมาแล้วสองครั้งยังถูกถอนหมั้นสองหนด้วยเหตุการณ์ที่คล้ายกันนั่นคือคู่หมั้นลอบหนีออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับสตรีที่พวกเขาพึงใจ
นางเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ พ่นวาจาออกไปทว่าหัวใจเหม่อลอย
“ที่แท้ท่านก็เป็นบุตรสาวของท่านเสิ่น”
“ท่านรู้จักบิดาข้าหรือ”
เขายิ้มหล่อเหลา
“ข้ารู้จักคนที่คฤหาสน์ของท่าน ไม่ช้าพวกเราคงได้พบปะกันบ่อย ๆ”
“พบกันบ่อย ๆ หรือ”
“อืม พบกันบ่อย ๆ”
เสิ่นอวี้หลันหัวใจพองโต เขาเองก็ต้องตานางใช่หรือไม่
“ท่านมีนามว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยมู่หยางโหว”
“ที่แท้ก็ท่านโหวนี่เอง ข้าน้อยเสิ่นอวี้หลันขอบคุณท่าน ไยข้าไม่เคยพบท่านมาก่อนเลยเล่า”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากชายแดนได้ไม่นาน”
เขาตอบราบเรียบก่อนจะเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งท่านที่คฤหาสน์ และให้คนรายงานบิดาของท่านโดยละเอียด”
เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวงจึงไม่รู้ว่านางคือหลานสาวของฝ่าบาทที่พระองค์ทรงหวงแหน
เสิ่นอวี้หลันยิ้มงดงาม
“ท่านไปส่งข้าด้วยตนเองได้หรือไม่”
“คงไม่สะดวก ข้ายังมีคนร้ายที่ต้องจัดการ ไม่ต้องห่วงองครักษ์ของข้าผู้นี้นามจางเฟิ่นเขาฝีมือร้ายกาจยิ่ง”
เสิ่นอวี้หลันไม่มองผู้อื่นยังจับจ้องเพียงแต่เขา มู่หยางให้คนเตรียมรถม้าให้นางแล้วส่งนางขึ้นรถม้าอย่างสุภาพ
“ขอบคุณท่านโหวที่ช่วยเหลือ”
เสิ่นอวี้หลันยอบกายลงอย่างอ่อนน้อม นางขึ้นรถม้าแล้วทว่ายังเปิดหน้าต่างมองเขาที่ขึ้นม้าของตนเองจนลับสายตา
ชั่วอารมณ์นั้นเองที่เสิ่นอวี้หลันได้ตระหนักแจ้งแก่ใจแล้วว่า
‘นางตกหลุมรักเขาเข้าให้แล้ว”
เสิ่นอวี้หลันเฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้ช่วยชีวิตมาหลายวันแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เขาบอกว่าต่อไปเขาและนางคงจะได้พบกันอีก ทำให้นางมีความหวังยิ่งนัก
นางคิดเข้าข้างตนเองว่าเขาอาจจะเพ้อหานางเหมือนที่นางเพ้อหาเขาก็เป็นได้
หลังจากวันที่นางถูกจับตัวฝ่าบาททรงพิโรธสั่งให้คนสืบหาว่าเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลัง
น่าเสียดายเพียงแต่ว่าทหารที่รับสินบนผู้นั้นด้วยความหวาดกลัวจึงรีบหนีออกจากเมืองหลวงและถูกใครก็ไม่รู้ฆ่าตายไปแล้ว
เสิ่นอวี้หลันให้คนไปสืบเรื่องของมู่หยางโหวโดยละเอียด ถิงถิงบ่าวรับใช้ของนางเป็นผู้เข้ามารายงาน
“ท่านโหวเพิ่งกลับจากชายแดนเพราะฝ่าบาทเรียกให้กลับมาประจำการที่เมืองหลวง คุณหนูจึงไม่เคยพบเขามาก่อนเจ้าค่ะ”
“ข้าพลาดไปได้อย่างไรกัน”
“ก่อนหน้านี้คุณหนูมัวแต่ตามจัดการบุตรชายท่านเสนาอดีตคู่หมั้นมิใช่หรือเจ้าคะ”
เสิ่นอวี้หลันรับองุ่นที่ถูกคว้านเอาเมล็ดออกแล้วมาจากมือของสาวใช้แล้วโยนใส่ปาก
“อืม เช่นนั้น สุนัขตัวผู้ตัวนั้นไม่รักดีข้าเลยตามไปตีจนขาหักก่อนจะปล่อยมันออกไปจากเมืองหลวง คนชั่วร้ายคนนั้นอยากหยามข้าดีนักบังอาจปฏิเสธข้าได้อย่างไร”
“คุณหนูก็ไม่อยากแต่งกับพวกเขานี่เจ้าคะ ไยต้องไปตีเขาด้วย”
สาวใช้รู้ดีว่าเพราะเสิ่นอวี้หลันไม่อยากแต่งงานจึงต้องทำทุกวิถีทางให้บุรุษเป็นฝ่ายถอนตัวไปเอง
“พวกเขาจะไปก็ไป ไยต้องลากสตรีอื่นมาทำให้ข้าขายหน้าเล่า ข้าจัดการคนแค่นั้นยังน้อยไป ทว่าถิงถิงตอนนี้ข้าเจอคนที่ชอบจริง ๆ แล้ว ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้ข้า ข้าจะแต่งกับเขา”
ถิงถิงย่อมรู้ใจเจ้านาย
“เป็นมู่โหวหยางหรือเจ้าคะ”
เสิ่นอวี้หลันพยักหน้า นางปัดมือแล้วลุกขึ้น
“ถิงถิงเจ้ามาช่วยข้าแต่งตัว ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จลุงให้มอบเขาให้ข้า”
ถิงถิงถึงกับตาโต
“แต่ว่านายท่านสั่งห้ามคุณหนูออกจากเรือนเพื่อความปลอดภัยนะเจ้าคะ”
“ข้าไปวังหลวง มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าวังหลวงอีก แต่งตัวให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หลังจากแต่งตัวแล้วเสิ่นอวี้หลันก็เดินออกมานอกเรือน นางต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าบัดนี้ในคฤหาสน์ของตนเองช่างคึกคักยิ่งนัก
“ถิงถิงข้าอยู่ในเรือนไม่ได้ออกมาหลายวันสินะ เรื่องในบ้านเกิดอะไรขึ้นจึงไม่รู้เลย”
ถิงถิงจึงเรียกถามสาวใช้คนหนึ่ง
“วันนี้มีแม่สื่อมาสู่ขอคุณหนูหลี่ซินเจ้าค่ะ”
“ญาติผู้พี่หรือ”
“เจ้าค่ะ”
เสิ่นอวี้หลันไม่ได้สนใจว่าใครมาสู่ขอหลี่ซิน เพราะนางไม่ค่อยชอบญาติผู้พี่คนนี้อยู่แล้ว จิตใจของนางล่องลอยเข้าไปยังวังหลวง และขอให้บ่าวที่จวนนำรถม้าออกไปส่งนาง
ทว่าบ่าวคนนั้นกลับเอ่ยว่า
“ไม่ได้นะขอรับ นายท่านสั่งห้ามเด็ดขาดห้ามพาคุณหนูไปเถลไถลข้างนอก”
หลี่ซินจึงเงื้อมือขึ้นสูงแล้วฟาดเข้าไปที่หลังของบ่าวที่กล้าขัดคำสั่งของนางอย่างแรง
“คำของข้าเจ้ากล้าขัดหรือ บอกว่าไปก็ต้องไป”
บ่าวคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น
“คุณหนู ได้โปรดเถิดขอรับ”
เสิ่นอวี้หลันฟาดเข้าที่แผ่นหลังของเขาอีกครั้ง
“จะไปหรือไม่ไป”
คนผู้นั้นตัวสั่นงันงก
“ขะ ขอรับ ไปขอรับ”
จากนั้นเสิ่นอวี้หลันจึงขึ้นรถม้าไปโดยที่นางไม่รู้เลยว่าการกระทำของนางนั้นบัดนี้มีใครบางคนเห็นตั้งแต่เริ่มต้น
สตรีที่มีใบหน้างดงามล่มเมืองกำลังสั่งสอนบ่าวในจวนโดยการลงมือตีด้วยกิริยาเอาแต่ใจ
ชื่อเสียงของนางผู้นี้ที่ได้มาไม่ใช่เรื่องเท็จแม้แต่น้อย