6. ต่างออกไปจนน่าสงสัย
เฟยเฟยเดินตามสามีออกมาจนถึงหน้าจวน นางไม่ได้ขัดขืนเพราะอยากรู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด ซึ่งมันไม่ต่างจากเฉินเห่ยฟาง
เขาเองก็อยากรู้ว่าฮูหยินตนจะทนแดดทนลมได้นานแค่ไหน อยากออกไปข้างนอกงั้นหรือ เขาจะจัดให้อย่างใจนางต้องการ จะดูซิว่ามู่เฟยเฟยจะอยู่ได้ถึงหนึ่งก้านธูปหรือไม่
คิดจะลองดีกับข้า มาดูกันว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ
ในใจยังคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ เป็นคราแรกที่เขาถูกสตรีหยามหมิ่น และมันก็ไม่น่าใช่ภรรยาของตนผู้นี้ นางเคยพูดง่ายเออออห่อหมกตามตลอด
แต่ครานี้กลับเอ่ยวาจาประชดประชัน ใช้ถ้อยคำเสียดสีหาว่าเขาต้องฟังคำของอนุที่พึ่งแต่งเข้ามา ซึ่งเห่ยฟางไม่มีทางเป็นเช่นที่นางว่าแน่
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็สั่งเขาไม่ได้นอกจากบิดามารดา ทว่ามันก็มีบางเรื่องที่บุพการีจะไม่ก้าวก่าย ยกเว้นการสืบทายาทที่เขาต้องจำใจทำ แต่ก็นั่นแหละ แต่งสตรีเข้ามาเป็นอนุแล้ว หน้าที่ก็ส่วนหนี่ง หาความสำราญเพื่อปลดปล่อยก็อีกส่วนหนึ่ง
เขาเป็นบุรุษการหลับนอนกับภรรยาในบ้านมันคือเรื่องปกติ แม้จะไม่มีความรู้สึกรักชอบในใจเลยก็ตาม
“ไปตลาด ข้าอยากไปดูความเจริญของที่นี่ว่ามันสมกับที่ได้ยินมาหรือไม่” เมื่อขึ้นรถม้าได้แล้วก็หันมาเอ่ยกับคนที่พามา
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของฮูหยิน
ยามนี้เองที่เขาได้สังเกตนาง มู่เฟยเฟยมีหน้าตาสดใสขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ซีดเซียวเหมือนคนป่วย ใบหน้าดูเต็มขึ้น มีน้ำมีนวลกว่าแต่ก่อน แก้มเนียนก็มีสีแดงระเรื่อยโดยเฉพาะจมูก คงเพราะอากาศที่หนาวเย็นจึงทำให้เป็นเช่นนี้
นางไปทำสิ่งใดมา?
เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในหัว และมันก็หยุดลงเมื่อมือเล็กได้ยกขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าเขา พร้อมกับใบหน้ายื่นมาใกล้
“ข้าอยากไปตลาดสดไม่ได้ยินหรือ จ้องอยู่ได้ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือไง” ยังมิวายชมตนเองไปอีก
“เหอะ! อย่างเจ้าเรียกว่างาม สตรีทั่วทั้งเมืองก็เทพธิดาแล้วกระมัง” ตอบกลับทันควัน และเห่ยฟางก็รู้สึกเหมือนเขาปากไวไปจริง ๆ ก่อนจะรีบตอบคำถามนาง
“ยามนี้ตลาดวายแล้ว ข้าจะพาออกไปนอกเมือง ที่นั่นมีทะเลสาปอยู่ไม่ไกล มีวัดตั้งอยู่บนเนินเขาด้วย” บอกเสียงเรียบ
คำพูดเขาดูเหมือนจะใจดี ทว่า! เปล่าเลย
เห่ยฟางตั้งใจจะพานางออกไปตากลมตากแดดเอาให้อาการทรุดหนักกว่าที่เคยไปเลย จะได้ไม่แผลงฤทธิ์ทำลายข้าวของในเรือนอีก หากหมดลมไปเลยก็คงจะดีไม่น้อย
ทว่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ สกุลมู่คงต้องตำหนิและเอาผิดกับเขาเป็นแน่ ต้องปล่อยให้นางเจ็บป่วยตายด้วยตนเองมันถึงจะถูก เขาถึงได้พานางออกหลังจวนและกำชับทุกคนว่าอย่าแพร่งพราย
เฟยเฟยมองท่าทางเขาดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
‘คงมีแผนร้ายในใจสินะ ถึงได้พาออกมานอกเมืองแบบนี้ แต่ช่างเถอะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาในโลกที่ต่างออกไปบ้างก็ดี อยากรู้จังเจ้าของร่างเคยได้ออกมาข้างนอกบ้างไหมนะ ชีวิตเธอช่างน่าสงสารจริง ๆ มู่เฟยเฟย’ นึกในใจถึงคนที่จากไป
ใบหน้างามแนบลงบนมือของตนที่วางบนขอบหน้าต่าง อีกมือยื่นออกไปรับลมที่กำลังพัดผ่าน ตามแรงขับเคลื่อนของรถม้า ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อเผยยิ้มชอบใจกับธรรมชาติที่พบพาน
ในยุคปัจจุบันเฟยเฟยก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในดงปืนและการต่อสู้ที่เกือบจะเกิดขึ้นทุกวัน พอเห็นต้นไม้และธรรมชาติแบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายมาก และก็อดคิดถึงใครบางคนไม่ได้เช่นกัน
เหตุใด? นางถึงไม่มีท่าทางของคนป่วยเลย
คนที่แอบมองอยู่เรื่อย ๆ นึกในใจ
มู่เฟยเฟยเปลี่ยนไปมาก ยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเสียอีก นางไม่ไอ ไม่อ่อนแอ และยังยิ้มได้งดงามตราตรึงใจอีกต่างหาก คำถามมากมายแล่นอยู่ในหัวจนกระทั่งรถม้ามาถึงจุดหมาย
“ทะเลสาป” ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นแสงระยิบระยับอยู่ด้านหน้า เฟยเฟยไม่รอช้ารีบลงจากรถม้าโดยไม่รอสามี
“ระวังเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบบอก ทว่าผู้เป็นนายกลับกระโดดลงมาเสียอย่างนั้น แต่ละคนจึงได้แต่ตื่นตระหนก คนที่มุดออกมาจากรถม้าก็เช่นกัน มือเขายื่นออกไปหมายจะคว้านางด้วยความตกใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับลงไปยืนและวิ่งตรงไปยังท่าน้ำแล้ว
คนสนิทหันมามองผู้เป็นนายที่ยังยืนนิ่งมองท่าทางฮูหยิน เขาเองก็ไม่อยากเชื่อสายตาตนเช่นกัน นางคล่องแคล่วราวกับคนไม่เคยป่วยมาก่อน เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร
“ฮูหยินระวังนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูวิ่งตามมาจนทัน นางหอบหายใจเพราะไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ผู้เป็นนายกลับไม่มีท่าทางอันใดเลย นอกจากยิ้มกริ่มมองภาพเบื้องหน้า
“สวยมาก สวยจริง ๆ ว่าหรือไม่เสี่ยวจู” หันมาเอ่ยกับคนที่ยืนมองตนด้วยความฉงน และมันก็ไม่ได้มีคนเดียวเมื่อหันหลังกลับไปมอง ‘แต่ละคนทำหน้าอย่างกับหมางงเลยแฮะ’ นึกในใจแล้วก็ลอบยิ้ม ก่อนจะหันมาชื่นชมธรรมชาติต่อ
“เจ้าไม่ควรกระโดดลงจากรถม้าและไม่ควรวิ่งมาเช่นนี้” เสียงตำหนิดังขึ้นเมื่อร่างสูงเดินมายืนประกบ
“แล้วควรทำเยี่ยงไร อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงต้องให้ท่านคอยประคองหรืออุ้มกระนั้นหรือ นั่นมันมู่เฟยเฟยคนเก่า แต่ข้าไม่ใช่” เอ่ยไปเช่นนั้น แม้จะรู้ว่าไม่มีใครเชื่อก็เถอะ แต่เฟยเฟยถือว่าตนมิได้โกหก อุตส่าห์บอกความจริงแต่ไม่มีใครเชื่อเอง
“หึหึ จะบอกว่าเจ้าเป็นวิญญาญผู้อื่นที่สิงสู่อยู่ในก้นบ่อ พอเจ้าของร่างตายไปก็ใช้โอกาสครอบครองร่างกระนั้นหรือ ข้าว่าเจ้าควรไปเล่นงิ้วนะ แต่งเรื่องเก่งถึงเพียงนี้คงดังไปทั่วแคว้นแน่”
“เอ๋! ความคิดดีนะเนี่ยะ ฮูหยินใต้เท้าเฉินเป็นนางเอกในคณะงิ้ว ซึ่งดังไกลไปทั่วแคว้น สกุลเฉินต้องได้หน้ามากแน่เจ้าค่ะท่านพี่” ว่าพร้อมกับยักคิ้วใส่ไปอีก
คนตัวโตได้แต่ขบกรามแน่น เอ่ยสิ่งใดไปก็ถูกคนตัวเล็กย้อนคำทุกครา เขาชักสงสัยแล้วว่านางอาจจะถูกวิญญาณผู้อื่นสิงสู่อย่างที่เขาเอ่ย ทว่ามันก็แค่แว้บหนึ่งเท่านั้น เรื่องเช่นนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
มู่เฟยเฟยอาจจะเสียใจเรื่องที่เขาแต่งอนุมาก จึงทำให้นางอยากเปลี่ยนตนเอง และทำเป็นไม่ใส่ใจเขา ทว่าอันที่จริงแล้วนางกำลังแสร้งทำเป็นแข็งแรง เพื่อให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับซูฉีแล้วหันมาหลับนอนกับนางแทนเป็นแน่
‘หึหึ คงคิดว่าตนน่าพิศวาสมากสินะ แค่จับนิดหน่อยก็ร้องเจ็บร้องปวดแล้ว คิดว่าจะทนแรงกระแทกของข้าได้กระนั้นหรือ’ คำว่าคิดเองเออเองคงเหมาะกับเห่ยฟางมากในยามนี้
ทว่าทุกอย่างมันหยุดลงเมื่อเสียงหวานเอ่ยขึ้น
“ข้าอยากหย่า ข้าอยู่ในจวนท่านแล้วไม่มีความสุขเลยสักนิด ช่วยเขียนจดหมายหย่าให้ข้าได้หรือไม่” นางหันมาเผชิญหน้ากับเขา ซึ่งยามนี้ทั้งคู่กำลังสบตากันอยู่
“ฮะ ฮูหยินเอ่ยอันใดออกมาเจ้าคะ” เสี่ยวจูรีบท้วง
“ข้ามีสติดี เจ้าอย่ากังวล และข้าไม่ได้เรียกร้องความสนใจ เพราะข้าไม่ต้องการความรักจากท่านอีกแล้ว เลือดในกายข้าที่หลั่งออกมาในคืนนั้น มันคงชะล้างความรู้สึกเก่าก่อนด้วยกระมัง จึงทำให้ข้าไม่เหลือความคิดที่จะครอบครองท่านอีก” บอกด้วยเสียงเรียบ และสายตาว่างเปล่าที่ใช้มองเขา
ทำเอาคนฟังถึงกับยืนนิ่ง ไม่ต่างจากผู้ติดตามที่ยืนอยู่ไม่ไกล
บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงบในชั่วพริบตา ได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดพาใบไม้ปะทะกันเท่านั้น
“ข้าพูดจริง ยามนี้ข้าให้คนส่งจดหมายไปให้ท่านพ่อท่านแม่แล้ว ไม่ต้องห่วงข้าไม่ได้บอกว่าคนสกุลเฉินรังแกข้าเช่นใด แต่ถ้าเจ้าไม่ยื่นจดหมายหย่าให้ข้าล่ะก็ ภายหน้าเกิดสิ่งใดขึ้นข้าไม่รับรู้ด้วยหรอกนะ” ทุกประโยคล้วนแต่เป็นคำขู่ทั้งนั้น เพราะเฟยเฟยรู้ว่าสามีในนามเจ้าของร่างคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่
#เป็นไงลูกสาวเราขอหย่าแล้ว หึหึ ผัวที่ดีคือผัวใหม่ 55