บทที่ 6 ต้องการอันใดตอบแทน
ผ่านมาอีกสามวันแล้ว เสิ่นหรงลี่สงสัยว่าเหตุใดตงเฟยเทียนจึงออกห่างจากนางและไม่ค่อยพูดจา ทั้งเวลาที่ต้องจุมพิตเพื่อรับเลือดยังดันตัวนางให้อยู่ห่าง และไม่ค่อยหาเรื่องกลั่นแกล้งนางเหมือนอย่างแต่ก่อน
“พี่เฟยเทียน ท่านเป็นอะไรของท่านกัน กินปลาไปตั้งสามวันแล้วนะเจ้าคะ ยังไม่หายเหม็นอีกหรือ” คุณหนูเสิ่นกวาดสายตาไปมองอย่างหงุดหงิด
ชายผู้นี้จมูกดีเกินไปแล้วหรือไม่ ข้ายอมไม่กินปลามาตั้งหลายวันแล้ว!
“มิใช่เช่นนั้น…”
พูดได้เท่านั้นก็ต้องเงียบไปเพราะจะบอกนางได้อย่างไร ว่าตัวเขามิอาจสลัดภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางออกไปจากหัวได้ ห้วงความคิดในยามเผลอไผลก็จะนึกถึงภาพทั้งยามที่นางอยู่ในน้ำ และยามที่นั่งอยู่ตรงข้ามกองไฟโดยมีเพียงเอี๊ยมตัวใน
“ความจริงแล้วเจ้าไม่เคยเหม็นเลย ข้าแค่กลั่นแกล้งเล่นเท่านั้น” เฟยเทียนตอบไปพลางคิดว่าเหตุใดตัวเขาจึงได้หลงใหลมนุษย์ผู้หนึ่งได้มากเพียงนี้
“พี่เฟยเทียนทำเช่นนี้กับสตรีได้อย่างไร ท่านรู้หรือไม่ว่าทำให้ข้ารู้สึกอับอายเพียงใด ใจร้ายยิ่ง”
“ข้ายอมเป็นคนใจร้ายก็ได้ แต่ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้ ข้าเพียงแค่อยากรักษาเกียรติของเจ้า”
มันหมดไปตั้งนานแล้วแหละเจ้าค่ะ
เสิ่นหรงลี่ยกมือเล็กขึ้นจับริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แล้วมองหน้าตงเฟยเทียนอย่างเอาเรื่อง คล้ายกับจะสื่อผ่านสายตาว่าพูดออกมาได้อย่างไร เมื่อการกลั่นแกล้งของเขาทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่งกว่าแม่นางและคุณชายที่กำลังดูใจกันเสียอีก หรงลี่สะบัดหน้าเดินหนีออกไป หากแต่เดินออกไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกรั้งตัวเข้ามากอดไว้
“พี่เฟยเทียนทำอันใดเจ้าคะ” หรงลี่ตอบด้วยสีหน้าตกใจ
“เจ้าเองก็ไม่ได้ชอบความรุ่มร่ามมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงต้องทักท้วงเมื่อข้าหยุดการกระทำเหล่านี้” เฟยเทียนปล่อยนางออกจากอ้อมแขน แล้วหมุนตัวนางให้กลับมามองหน้า
หรงลี่เมื่อเห็นว่าตงเฟยเทียนจ้องเข้ามาในดวงตาตนเองก็รู้สึกแปลกใจ “ท่านมองเห็นแล้วหรือ”
เฟยเทียนเพียงแค่พยักหน้ามิได้ตอบรับออกมาเป็นคำพูด สายตาที่มองมามีทั้งความเจ้าเล่ห์และแสดงออกว่าเหนือกว่าซ่อนอยู่
“ตั้งแต่เมื่อใดกันเจ้าคะ”
“ช่วงที่เจ้าไปอาบน้ำ” ตงเฟยเทียนตัดสินใจไม่ปิดบังอีกต่อไป เพราะเมื่ออาการของเขาดีขึ้นเช่นนี้แล้ว รอร่างกายฟื้นตัวอีกเพียงเล็กน้อยก็คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังที่ของเขา คำตอบจากตัวนางที่มีต่อสถานการณ์นี้จะเป็นตัวช่วยตัดสินใจ ว่าเขาควรจะวางนางไว้ในตำแหน่งใด
“เช่นนี้หมายความว่า…” คุณหนูเสิ่นเห่อร้อนไปทั้งหน้า ใบหน้าแดงก่ำปิดไม่มิด ยามนั้นนางเลือกอาบในจุดที่นางจะมองเห็นเขา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเหตุไม่คาดคิดในครั้งนี้ จะเป็นตัวนางที่เปลือยเปล่าต่อหน้าชายผู้ไม่มีสถานะใดต่อกันถึงสองครั้งสองครา
“ต้องการให้ข้ารับผิดชอบหรือไม่ ที่ช่วยเหลือข้ามาทั้งหมดนี้เจ้าต้องการสิ่งใดตอบแทน” เฟยเทียนเอ่ยถามออกไปสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย ตัวเขาอยู่ในตำแหน่งซึ่งผู้ที่ต้องการอำนาจและบารมีย่อมยอมทำสิ่งใดก็ได้เพื่อให้ได้ใกล้ชิด ตัวเขาจึงไม่อาจไว้ใจใครได้ง่ายดาย
“เรื่องนี้หากท่านยอมเก็บเป็นความลับ ไม่แพร่งพรายสิ่งใดออกไป ข้าย่อมไม่ถือโทษเป็นความผิดของท่าน ท่านเองก็คงไม่ทันได้บอก ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะกลับมามองเห็นในยามนั้นพอดี จึงไม่ถือเป็นความผิดของใครทั้งสิ้น เช่นนั้นแล้วไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบ”
“…”
“ในโลกแห่งนี้ไม่มีที่สำหรับตัวข้าอีกแล้ว ข้าเพียงขอติดตามไปจะเป็นในฐานะบ่าวก็ได้ เพียงแต่การงานอาจต้องฝึกหัดมากหน่อย แต่ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจและไม่ทรยศท่าน ข้าจะไม่ใช้เรื่องราวเหล่านี้มาเพื่อบีบบังคับหรือยกสถานะตนเอง ขอเพียงท่านไม่ไล่ข้าไปไหนเท่านี้ก็คงพอแล้ว”
“หวังเพียงเท่านี้ เสื้อผ้าหน้าตาผิวพรรณล้วนไม่ใช่คนชนชั้นบ่าว เจ้าจะทนได้หรือ”
“หากทนไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ ให้ข้าไปตายเอาดาบหน้าหรือ อย่างน้อยหากเป็นท่าน บุญคุณที่ได้ช่วยเหลือชีวิต คงไม่ทำให้ท่านใจร้ายใจดำกับข้ามากเกินไปนัก”
และท่านก็เป็นภารกิจจากสวรรค์ของข้า ฆ่าตายไปหนึ่ง มีมาให้ช่วยเหลือหนึ่งในทันใด ย่อมต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง
เสิ่นหรงลี่ตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองตกไปอยู่ในอ้อมกอดของชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันเสียแล้ว คางของเขาก้มลงมาเกยอยู่บนศีรษะของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
ฟากฝั่งของตงเฟยเทียนเองเมื่อได้ยินคำตอบของนางก็รู้สึกพอใจแต่ก็ขัดใจอยู่ในที นางสามารถใช้เลือดวิเศษมาต่อรองได้แต่นางก็มิได้ทำ ตัวเขารุ่มร่ามกับนางไปก็มาก ทั้งยังเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียจนหมดแล้ว หรงลี่ก็ยังไม่เรียกร้องสิ่งใด สิ่งนี้ทำให้เขาน้อยใจอยู่บ้าง คิดไปเองว่าหรือนางไม่เห็นเขาเป็นดั่งชายผู้หนึ่งกัน
“ไว้ข้าจะลองคิดดูว่าจะให้เจ้าติดตามไปดีหรือไม่”
เสียงนั้นเรียกให้หรงลี่ออกจากภวังค์ความคิดของตนเอง มือเล็กจึงตีเข้าไปที่บริเวณแขนของเฟยเทียนจนสุดแรง
“ปล่อยข้านะเจ้าคะ” หรงลี่ตัดสินใจเดินหนี
“แล้วเจ้าจะไปไหนนั่น”
“ไปเก็บผลไม้เจ้าค่ะ”
เสิ่นหรงลี่เดินออกมาจากถ้ำหลังน้ำตก หางตาเห็นว่าตงเฟยเทียนเดินตามออกมาก็ไม่ได้ว่าอันใด เพราะเขาเองก็เกือบจะหายสนิทดีแล้ว นางคิดว่าเขาควรขยับตัวบ้างถือเป็นเรื่องดี จะติดก็เพียงแต่บุรุษผู้นี้เดินใกล้ชิดติดนางมากเกินไปหรือไม่ ใบหน้าเล็กจึงหันไปทำหน้างองุ้มใส่
“ชินเข้าไว้ หากเจ้าติดตามข้าไป เมื่อเป็นบ้านของข้า ข้าจะยืนตรงไหน ยืนใกล้ชิดผู้ใดเจ้าย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกพี่เฟยเทียนแล้วด้วยใช่ไหมเจ้าคะ คุณชายประหลาดนัก สามวันก่อนต้องพูดด้วยสิบประโยคท่านจึงตอบคำหนึ่ง วันนี้มิทันได้พูดอะไรท่านกล่าวมาเป็นสิบ”
“ใครบอกให้เจ้าเลิกเรียกว่าพี่เฟยเทียน หากทำตามที่บอกไม่ได้ เรื่องติดตามคงต้องล้ม…เลิก”
ตงเฟยเทียนที่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องมึนงงที่จู่ๆ คุณหนูเสิ่นก็วิ่งหนีเขาออกไป แต่เมื่อมองตามก็เข้าใจ เพราะวันนี้เดินออกมาไกลกว่าปกติ จึงได้เห็นว่ามีต้นเฉิงจึอยู่สุดสายตา แต่เฟยเทียนก็ยังไม่ได้เดินตามไปในทันที เพราะเห็นท่าทีดีอกดีใจของหรงลี่แล้วก็อยากยืนมองอย่างไม่ละสายตาสักครู่หนึ่ง
“กรี๊ดดดดด” เสียงกรี๊ดดังขึ้นก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมกับตัวของเสิ่นหรงลี่ที่หายวับไปในทันใด
ตงเฟยเทียนรีบวิ่งออกไปด้วยความเป็นห่วง เพียงครู่เดียวจากท่าทีที่ร่าเริงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องหวาดกลัวได้อย่างไรกัน
_______
เฉิงจึ หมายถึง ส้ม
________________