#5
ขณะนั้น นางโจกลับมาถึงพอดี แต่เพราะหน้าจวนมีผู้คนมุงดูอยู่มากมาย รถม้าของนางโจจึงมิอาจเข้าไปได้
“นั่นมิใช่เสียงน้องชายของเจ้าหรือ” นางโจหันไปถามชายหนุ่มวัยราวยี่สิบกว่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ที่แท้ สามีของจี้อู่โหยวคือน้องชายของเสี่ยวตง สามีของนางโจนั่นเอง
“ใช่ นั่นเสียงของอาเต้า โหยวเอ๋อคงเก็บผ้ากลับจวนมาอีกแล้วกระมัง” เสี่ยวตงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก จี้อู๋โหยวเป็นสตรีมักมากไม่ต่างจากมารดา อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของเสี่ยวตงไม่ได้เต็มใจรับนางเป็นสะใภ้ เพราะนางหลับนอนกับทั้งเสี่ยวตงและอู่เต้า แต่นางดันตั้งครรภ์ขึ้นมา อู๋เต้าจึงต้องรับเป็นพ่อเด็ก
คราแรก นางยังเป็นสะใภ้ที่ดี ครอบครัวของเสี่ยวตงไม่ได้รังเกียจนาง แม้แต่อู๋เต้าที่รู้ทั้งรู้ว่านางกับพี่ชายลักลอบมีสัมพันธ์กันลับหลังนางโจ ยังยอมรับได้
ทว่าพอได้รู้ว่าตนเองมีพี่ชายต่างบิดาเป็นถึงเสนาบดี จี้อู่โหยวบังเกิดความใฝ่สูงขึ้นมา คิดชุบตัวเปลี่ยนชื่อแซ่ บังเอิญว่าท่านเสนาบดีไม่ยอมรับนางเข้าสกุล นางเลยทำเช่นนั้นมิได้ แต่ก็ยังไม่วายหนีกลับจวนมาบ่อยครั้ง ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนินทาครอบครัวของเสี่ยวตง มารดาและน้องชายของเขาถึงได้ตามมาด่าประณาม
“เจ้าลงไปเตือนพวกเขาหน่อยเถิด จะอย่างไร ที่นี่ก็เป็นหน้าประตูจวนเสนาบดี หากว่าอาห้าวเกิดไม่พอใจขึ้นมา ดีไม่ดีจะพานไล่ข้าออกจากจวนไปด้วย”
ทุกวันนี้ นางอาศัยความหน้าด้านหน้าทน ถึงได้เชิดหน้าอยู่ในจวนได้อย่างสบาย อันที่จริง เฉินอิ่นห้าวไม่เคยพูดคุยกับนางเลยด้วยซ้ำ เรื่องที่นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา ก็เป็นนางป่าวประกาศออกไปเอง ถึงจะมีคนไม่เชื่อ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามเฉินอิ่นห้าวตรงๆ นางจึงใช้โอกาสที่หลายตระกูลต้องการผูกสัมพันธ์กับบุตรชาย สร้างความสนิทสนมกับฮูหยินตระกูลต่างๆ จนสองปีมานี้ นางกลายเป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคมในฐานะมารดาของท่านเสนาบดี
เสี่ยวตงลงจากรถม้า เดินเข้าไปกระซิบกระซาบบอกมารดาและน้องชาย พาทั้งสองเดินเลี่ยงฝูงชนไปรอที่ประตูหลัง
ท่านหญิงลู่กลับออกจากจวนสกุลเฉินท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในรถม้าสกุลลู่ แววตาของลู่ไห่ถังเต็มไปด้วยไอสังหาร “เฉินลั่วเสวียน สักวันข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”
จี้อู่โหยวถูกมารดาบังคับให้กลับไปพร้อมสามี ในที่สุดในจวนก็กลับมาสงบดังเดิม
ทว่าข่าวลือในเมืองกลับไม่ยอมสงบ ยิ่งพูดกันปากต่อปาก ชื่อเสียงของท่านหญิงลู่ยิ่งไม่เหลือชิ้นดี เพราะมีคนเห็นกับตาว่านางอยู่ในจวนท่านเสนาบดีจริง จะแก้ตัวอย่างไร คงฟังไม่ขึ้น
ครั้นเฉินอิ่นห้าวที่ตั้งใจจะออกไปสงบสติอารมณ์ ได้ยินเรื่องนี้เข้า พลันรีบมุ่งหน้ากลับจวนทันที
ก่อนที่สามีจะมาถึง ลั่วเสวียนย่อมทราบอยู่ก่อนแล้ว ในเรือนจึงไม่มีบ่าวไพร่ มีเพียงนางนั่งจิบชารอเขาอย่างใจเย็นในห้องโถง
เฉินอิ่นห้าวเดินตัวปลิวเข้ามาในเรือน แม้แต่รองเท้ายังไม่คิดจะถอด มองปราดเดียวก็รู้ ว่าเขากำลังมีโทสะ พอมาถึงได้ ก็ตวาดนางเสียงดัง “เฉินลั่วเสวียน! เจ้าทำอะไรลงไป รู้บ้างหรือไม่!”
“ท่านเดือดเนื้อร้อนใจแทนนางหรือ?” ลั่วเสวียนตอกกลับเสียงเยาะหยัน ค่อยๆ วางจอกชาลง หันไปมองสามีเต็มตา
“เจ้ามันไร้เหตุผลสิ้นดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจิ้งกั๋วกงเป็นคนเช่นไร เจ้าทำลายชื่อเสียงท่านหญิงลู่ คิดว่าเขาจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
เฉินอิ่นห้าวยิ่งพูด ยิ่งมีโทสะ “ข้าแต่งกับเจ้ามาสามปี เคยมีเรื่องพัวพันฉาวโฉ่กับหญิงอื่นหรือไม่ แม้แต่เรื่องที่เจ้าไม่ตั้งครรภ์ ข้ายังไม่เคยเอามาเป็นข้ออ้าง มีแต่เจ้าที่หึงหวงจนขาดสติ เที่ยวอาละวาดด่าทอผู้อื่นไปทั่ว ข้าเป็นถึงเสนาบดี เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด แล้วตอนนี้เจ้ายังหาเรื่องเป็นศัตรูกับเจิ้งกั๋วกงอีก เจ้าต้องการให้ข้าเป็นศัตรูกับคนทั้งเมืองเลยใช่หรือไม่!”
วาจานี้ ลั่วเสวียนฟังมาจนชิน นางจึงเหยียดยิ้ม ตอกกลับไปด้วยคำพูดเดิมๆ “ที่ท่านยังไม่มีเรื่องพัวพันฉาวโฉ่กับหญิงอื่น ก็เพราะข้าตามไปอาละวาด ก็ลองข้าไม่ไปขัดขวางดูสิ ป่านนี้สตรีของท่านคงเต็มจวนไปแล้ว หากไม่อยากให้ข้าตามหึงหวง ท่านก็ไม่สมควรอ่อนโยนใจดีกับทุกคน ท่านไม่คิด ไม่ได้แปลว่าพวกนางจะไม่คิดนี่!”
อิ่นห้าวเองก็ฟังมาจนชินเช่นกัน ที่พวกเขาทุ่มเถียงกัน มักจะมีแต่เรื่องเดิมๆ วาจาซ้ำซาก เขาเองก็คร้านจะพูดกับนางแล้ว
“ต่อไป ข้าจะไปนอนในห้องหนังสือ หากเจ้ายังไม่สำนึก อย่าหวังว่าข้าจะกลับมาร่วมเตียงกับเจ้า!” พูดแล้วเขาก็เดินจากไปทันที
เฉินลั่วเสวียนมองตามแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาเหนื่อยล้า นางเหนื่อยเกินกว่าจะรั้งเขาเอาไว้ สุดท้ายทั้งสองก็แยกห้องกันนอน
เวลาเดียวกันนั้น ณ.จวนสกุลลู่
เสียงตบโต๊ะดังสะเทือนเลื่อนลั่น ภายในห้องโถงเรือนใหญ่ ตามมาด้วยเสียงเดือดดาลของผู้ลงมือ
“เฉินลั่วเสวียน หึ่ม!”
ข่าวเสื่อมเสียของท่านหญิงลู่ ในที่สุดก็มาถึงหูเจิ้งกั๋วกง หากแต่แทนที่จะตำหนิบุตรีของตน ท่านกั๋วกงกลับเอาโทสะไปลงที่ลั่วเสวียนแทน
“ท่านพี่ ท่านต้องจัดการนางนะเจ้าคะ ลั่วเสวียนผู้นี้ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าใส่ร้ายถังเอ๋อของเรา หากไม่สั่งสอนเสียบ้าง คงไม่รู้สำนึก!” กั๋วฟูเหรินเอ่ยอย่างมีโทสะไม่แพ้กัน
บุตรสาวของนางเป็นถึงท่านหญิงอันดับหนึ่ง จะยอมให้หญิงบ้าอย่างเฉินลั่วเสวียนมาทำให้เสื่อมเสียได้อย่างไร
ทว่า บุตรชายคนโต กลับคิดต่างออกไป “เกรงว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิขอรับ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพเซิ่ง หากล่วงเกินนาง ย่อมไม่ต่างอันใดกับล่วงเกินท่านแม่ทัพ ลูกว่ามันจะได้ไม่คุ้มเสียนะขอรับ”
“พี่ใหญ่ ท่านเกรงกลัวนางด้วยหรือ หรือเพราะว่านางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพเซิ่ง ถึงมีสิทธิ์รังแกข้าผู้เป็นบุตรสาวของเจิ้งกั๋วกง!” ลู่ไห่ถังตวัดตามองไปยังพี่ชายด้วยความไม่พอใจ
แต่กลับถูกอีกฝ่ายจ้องกลับมาอย่างตำหนิ