บทที่๑ ตอน "ความฝันในอดีตที่ฝังใจ" 1
บึมม!!!
“ระ...ระวัง! หละ...หลบไปครับพี่บุญมี!”
เสียงครางของผู้ชายตัวโตที่นอนเกลือกกลิ้งกระสับกระส่ายสะดุ้งเป็นพักๆ อยู่บนที่นอนหนานุ่มขนาดใหญ่ มือไม้ทั้งสองข้างไม่อยู่สุขก็คอยไขว่คว้าเอาอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเข้ามากอดไว้แนบชิด ซึ่งสิ่งที่คนนอนละเมอฝันร้ายก็คว้าเอาหมอนข้างกายมากอดไว้แน่นแทนอะไรบางอย่างที่ชายหนุ่มเรียกร้องโหยหา เฝ้าเสาะแสวงหามาตลอดสิบห้าปีกว่า
วี้ดด!! บึมมม!!! บึมมมม!!!
เสียงหวอระเบิดเตือนภัยมาพร้อมเสียงตูมๆ ของระเบิดหลายลูกที่เครื่องบินหลายลำบินผ่านโจมตีโยนลงสู่พื้นดินตรงหมู่บ้านเล็กๆ ในแผ่นดินประเทศลาวติดชายแดนไทยลุ่มแม่น้ำโขง ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นคนเฒ่าผู้แก่เด็กเล็กเด็กแดงในหมู่บ้านต่างพากันร้องวี้ดว้ายขอความช่วยเหลือ
ทุกคนต่างวิ่งหนีหลบลูกระเบิดกันขวักไขว่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกันกับครอบครัวของผู้ใหญ่บ้าน ‘นาย บุญมี วิบูรณ์’ เขาจูงเมียและอุ้มลูกสาวเดินฝ่าความมืดไปตามตลิ่งแม่น้ำโขง ซึ่งมีนายทหารฝรั่งนายหนึ่งคอยเดินนำทาง
“คุณเดวิด...ผมฝากลูกสาวของผมด้วยนะครับ
เมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มร่างท้วมวัยสี่สิบปีพูดภาษาฝรั่งเศสผสมภาษาไทยแบบคำต่อคำพอทำให้เดวิด นายทหารฝรั่งวัยยี่สิบหกปีได้เข้าใจ...
นายบุญมีหวาดระแวงคอยสอดส่องมองความปลอดภัยซ้ายขวาเมื่อเสียงปืนดังอยู่ข้างหลัง ไหนจะเสียงระเบิดที่เครื่องบินหลายลำบินผ่านและโยนลงแต่ละครั้งเสียงดังตูมตามๆ
ดวงหน้าหยาบกร้านของนายบุญมีเป็นกังวลอย่างหนักเมื่อมองหน้านายทหารชาวฝรั่งเศส เขาสงสารลูกแต่จะทำอย่างไรได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้ลูกสาวมีชีวิตรอดก็คือ ฝากฝังลูกสาวสุดดวงใจให้นายทหารฝรั่งที่เขาไว้ใจว่าชายหนุ่มจะปกป้องคุ้มครองดูแลลูกแทนเขาได้เป็นอย่างดี
และก่อนที่เขาจะยื่นลูกสาวคนเดียวให้เดวิดนั้น...นายบุญมีก็ได้หันไปมองตาของภรรยาชาวลาว ซึ่งภรรยาของนายบุญมีก็พยักหน้าให้สามีทั้งที่มีน้ำตาไหลเป็นทางยาวอาบแก้มขาวผ่อง มือที่กุมมือของสามีไม่ยอมปล่อยนั้นเย็นเฉียบเมื่อเห็นสามียื่นลูกสาวสุดดวงใจให้เดวิด
“ไปด้วยกันนะครับพี่บุญมี...พี่ช่อไม้”
เดวิดพูดภาษาฝรั่งเศสผสมภาษาไทย เขาช่วยนายบุญมีเอาเรือพายออกมาจากที่ซ่อน แล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นเรือที่มีเพียงสองที่นั่ง ซึ่งนายบุญมีเป็นคนหามาเตรียมไว้เพื่อหลบหนีข้ามไปฝั่งประเทศไทย...
เดวิดรับหนูน้อยกล้วยไม้มาอุ้มแล้วปล่อยให้เด็กน้อยนั่งเกาะขาเขาไว้ แล้วเขาก็ยื่นมือให้ภรรยาของนายบุญมีเกาะเพื่อจะได้ข้ามเข้าไปนั่งบนเรือได้ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับคืนมาคือ…
“ฉันฝากยัยหนูของฉันด้วยนะนายทหาร” นางช่อไม้ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอสะอื้นไห้เสียงดังฮือๆ เมื่อเห็นลูกอยู่ในอ้อมกอดของนายทหาร
“ยื่นมือมาให้ผมเถอะพี่ช่อไม้ ไปด้วยกันนะครับ” เดวิดเป็นทหารของฝรั่งเศสซึ่งถูกพวกทหารจีนแดงตามล่าและเขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่นายบุญมีช่วยชีวิตเอาไว้และช่วยให้เขาหลุดพ้นจากหน่วยงานข้าศึกจีนแดง
“ฮืออ...นายทหาร...ยัยหนูเป็นดั่งดวงใจของฉัน...ฉันขอฝากกล้วยไม้ให้คุณดูแลแทนฉันด้วยนะคะ” นางช่อไม้กำชับบอกเดวิดด้วยเสียงสั่นเครือ
“อย่าร้องไห้เลยช่อไม้ เราจะต้องได้เจอลูก และได้ไปอยู่ที่ประเทศไทย บ้านเกิดของพี่แน่นอน...พี่สัญญา พี่จะพาเธอไปเจอลูกให้ได้”
นายบุญมีจุกอกหายใจไม่ออกเมื่อเอ่ยคำสัญญาที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เขาสงสารเมียรักที่เอาแต่ร้องไห้ จึงเข้าไปยืนเคียงข้างเมียกอดเมียไว้ด้วยความรัก และปลอบขวัญด้วยเสียงกระซิบให้เมียได้ยินเพียงคนเดียว
“พี่บุญมี...ฉันสงสารลูกค่ะ” เสียงสะอื้นสั่นเครือกระซิบบอกสามี เธอทำตามสามีบอก ให้หยุดร้องไห้โดยการยกมือขึ้นปิดเรียวปากไว้แน่นกลัวใครจะได้ยิน...นางช่อไม้ได้แต่จ้องสบสายตาบ้องแบ๊วของลูกสาว ใจจะขาดตายเสียให้ได้เมื่อนึกถึงวันข้างหน้า ถ้าการจากกันครั้งนี้เป็นการจากที่ไม่มีวันได้พบเจอหน้าลูกอีก นางช่อไม้ไม่อยากจะนึกถึงเลยว่าลูกสาวของเธอจะประสบปัญหาอะไรบ้าง และลูกของเธอจะอยู่ได้ไหมโดยที่ไม่มีพ่อและแม่คุ้มครอง
“แม่จ๋า...หนูไม่ไป หนูจะอยู่กับแม่...ฮืออ”
เด็กน้อยไร้เดียงสารับรู้เหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นแม่ไม่ยอมลงเรือ หนูน้อยกล้วยไม้ก็ส่งเสียงร้องไห้ ร่างน้อยตะเกียกตะกายไม่อยากจะไปกับชายหนุ่มอุ้ม
“อึกก...ลูกแม่ อย่าร้องไห้ ไปกับนายทหารนะ ไปรอแม่กับพ่อที่ประเทศไทยนะ”
นางช่อไม้หัวใจร้าว เอ่ยเสียงสั่นเครือปลอบขวัญลูกรัก เรี่ยวแรงที่จะยืนต่อแทบไม่มีเมื่อเห็นน้ำตาของลูกจึงทรุดนั่งบนพื้นหญ้าที่มีน้ำขัง
“ฮืออ...หนูไม่ไป...พ่อจ๋า...หนูจะอยู่กับพ่อ”
ดวงหน้าบ้องแบ๊วเขรอะไปด้วยน้ำตาหันไปมองหน้าพ่อ แววตากลมโตลูกนัยน์ตาดำขลับมองอ้อนวอนขอให้พ่อช่วย
“คัทลียาของคุณเด ไม่ร้องไห้เสียงดังนะ”
เดวิดใช้วงแขนแข็งแรงโอบกอดเด็กน้อยให้ความอบอุ่น เสียงนุ่มหูคุ้นเคยกระซิบชิดกระหม่อมบาง ปลอบขวัญให้เด็กน้อยหายหวาดกลัวและเชื่อฟังเขาให้มากที่สุด
“อึกก!!”
เด็กน้อยกล้วยไม้ทำตามคำสั่งของคุณเด มือใหญ่ที่เคยจูงหนูน้อยเดินเล่นตามหมู่บ้านลูบศีรษะน้อยอย่างอ่อนโยน และกดให้ศีรษะของเด็กกล้วยไม้แนบลงบนหน้าอกอันแข็งแกร่ง
“ลูกรักของพ่อ...อย่าดื้อกับคุณเดวิดนะ” นายบุญมี มีความหวังน้อยนิด เขารับรู้โชคชะตาของตัวเองและภรรยา เขาทำผิดต่อประเทศชาติของภรรยา เป็นกบฏลักลอบแอบช่วยเหลือศัตรูของประเทศชาติ…
นายบุญมีมองลูกสาวตัวน้อยที่เอาแต่สะอึกสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมกอดของเดวิด นายบุญมีมั่นใจได้ว่าเดวิดจะเป็นผู้ดูแลคุ้มครองลูกของเขาได้เป็นอย่างดี
“ไม่ค่ะ...หนูไม่ไปกับคุณเด”
หนูน้อยไม่เชื่อฟังพ่อส่งเสียงสะอื้นไห้ ก่อนผงกหัวขึ้นมองปลายคางของคุณเด แล้วหันมองหน้าพ่อกับแม่ เมื่อเห็นพ่อแม่ช่วยกันดันหัวเรือ เด็กน้อยก็ดิ้นและส่งเสียงร้องวี้ดๆ มือน้อยทุบตีหยิกข่วนแขนกำยำของเดวิด
“เป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเดวิดนะลูก...พ่อสัญญาว่า พ่อกับแม่จะรีบตามหนูไป จำได้ไหมที่พ่อเคยเล่าให้หนูฟัง ว่าเราทั้งสามจะไปเจอกันที่ประเทศไทย บ้านเกิดของพ่อ”
นายบุญมีละสายตาจากดวงหน้าของลูก เขาเงยหน้าขึ้นแววตาหม่นมองความมืดด้านหน้าที่เห็นแสงไฟระยิบระยับซึ่งเป็นแผ่นดินไทย บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
“ฮืออ”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ ให้พ่อ แต่ก็ไม่ยอมที่จะเชื่อฟังในสิ่งที่พ่อพูด กล้วยไม้ไม่ยอมที่จะนั่งอยู่บนเรือ ซึ่งเดวิดก็รีบอุ้มหนูน้อยเข้ามานั่งคร่อมบนหน้าตักเมื่อเห็นเด็กหัวดื้อกำลังจะปีนขอบเรือ
“นายทหารฉันฝากลูกสาวฉันด้วยนะคะ”
นางช่อไม้ย้ำคำฝากฝังลูกสาวอีกครั้ง นางก็รับรู้ชะตาชีวิตของตัวเอง ซึ่งนางพร้อมที่จะเดินตามรอยเท้าของสามีและพร้อมที่จะตายไปกับสามี
“ไม่ต้องห่วงนะครับ...ผมจะปกป้องดูแลกล้วยไม้ด้วยชีวิตของผมเองครับ”
ความดีของสองสามีภรรยามีล้นหัว ชีวิตทั้งชีวิตคงชดใช้บุญคุณไม่จบสิ้น เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มถูกพวกทหารฝั่งจีนแดงยิงได้รับบาดเจ็บเจียนตาย เขาหนีหัวซุกหัวซุนจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งในหมู่บ้านนั้นก็มีนายบุญมีที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน และพวกเขาสองสามีภรรยาก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ครั้งนั้น ถ้าไม่ได้นายบุญมีกับนางช่อไม้ช่วยไว้ ป่านนี้ เขาคงกลายเป็นผีเฝ้าลุ่มแม่น้ำโขงไปนานแล้ว
“ขอบคุณ นายทหารมากนะคะ”
นางช่อไม้เจ็บหัวใจ นางยื่นมือเข้าไปจับดวงหน้าจิ้มลิ้มเช็ดน้ำตาให้กับลูกพร้อมทั้งกระซิบบอกลูกรักให้เป็นเด็กดี เชื่อฟัง อย่างอแงกับคุณเดวิดเด็ดขาด
“ถึงที่หมายแล้ว...ผมจะพากล้วยไม้ไปรอพวกพี่ๆ ตามที่เราเคยคุยกันไว้นะครับ”
เดวิดให้คำมั่นสัญญาด้วยชายชาติทหาร เขาวางไม้พายไว้ข้างลำตัวแล้วยื่นมือรับเอาแผนที่จากมือของนายบุญมี เปิดอ่านเพียงแวบเดียวก็พับเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่า
“รีบไปเถอะครับ ขืนชักช้าอาจไปไม่ทันเวลาคนที่รออยู่ฝั่งไทยได้ครับ”
ผู้ใหญ่บุญมีน้ำตาคลอกอดเมียรักไว้แน่น รับรู้ถึงความรู้สึกของภรรยาที่เอาแต่สะอึกสะอื้นไห้ เขากระซิบเสียงสั่นเทาบอกให้เมียมองจดจำใบหน้าของลูกรักไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นายบุญมีเจ็บปวดหัวใจเมื่อเขาช่วยดันหัวเรือให้ลอยออกไปกลางแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
“ไม่! หนู่ไม่ไป...ฮืออ...แม่จ๋าพ่อจ๋า...หนูไม่ไป...คุณเดปล่อยหนู”
เด็กน้อยนั่งตรงกลางตักของเดวิด เขาใช้สองแขนกำยำทั้งสองข้างโอบคนตัวเล็กไว้ มือใหญ่ก็จับไม้พาย ออกแรงพายเรือไปตามแม่น้ำโขงที่ไหลเชี่ยว
ดวงหน้าคมสันเริ่มเครียดกับเหตุการณ์ที่สะเทือนหัวใจ เขาก้มหน้าลงมองเด็กน้อยที่เอาแต่สะอึกสะอื้นไห้ แววตาสีฟ้าน้ำทะเลเหลือบขึ้นมองความมืดด้านหน้า จุดมุ่งหมายของเขาคือฝั่งตรงข้ามที่เป็นประเทศไทย เดวิดปลอบขวัญหนูน้อยโดยการพูดเบาๆ ชิดกระหม่อมน้อย บอกให้หนูน้อยหยุดร้องไห้
“ไม่เอานะดวงใจของคุณเด ไม่ร้องไห้นะ...ดะ...” คำว่า ‘เด็กน้อยของคุณเด’ ถูกเสียงระเบิดกลบเสียสนิท
บึมม!! บึมมม!!!
เครื่องบินที่บินผ่านไปมาบนท้องฟ้าได้โยนระเบิดใส่ตรงบริเวณที่มีสองผัวเมียที่ยืนโบกมือลาอยู่ข้างขอบตลิ่งหลายลูกติดๆ กัน
“พี่บุญมี! พี่ช่อไม้!”
เดวิดก้มหมอบใช้ร่างกายปกป้องเด็กน้อยกลัวว่าเด็กจะถูกสะเก็ดระเบิด เขาเอียงหน้ามองบนฝั่งที่มีแสงไฟลุกโชน ช็อกกับภาพที่เห็น หัวใจฉีกขาดเหมือนร่างกายของสองผัวเมียที่ถูกแรงกระแทกของระเบิด
เดวิดไม่มีแรงที่จะพายเรือต่อไปได้ เรือลำน้อยนิ่งแต่ลอยไปตามน้ำใส ซึ่งแม่น้ำโขงก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเมื่อเลือดและเศษเสื้อผ้าและเนื้อหนังของพี่บุญมีและพี่ช่อไม้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยกระเด็นกระจัดกระจายตกลงสู่แม่น้ำ ช่างเปรียบเสมือนสองผัวเมียได้ล่องลอยตามเรือของเขาที่ลอยลิ่วๆ ไปตามแรงน้ำที่ไหลเชี่ยว
“พ่อจ๋าแม่จ๋า”
เด็กน้อยร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเดวิด เสียงระเบิดดังตูมๆ ทำให้ร่างน้อยสั่นสะท้านหวาดกลัว รีบขดตัวเข้าหาความปลอดภัยจากผู้ชายตัวใหญ่ที่หนูน้อยหวังเป็นที่พึ่งยามไม่มีพ่อแม่
“ไม่ร้องไห้นะ...คุณเดอยู่นี่แล้ว”
เดวิดกอดปลอบขวัญหนูน้อยด้วยเสียงอบอุ่น เขารีบจับใบหน้าเล็กให้หันหน้ามามองตากัน แต่หนูน้อยไม่ยอม เขาจึงอุ้มหนูน้อยให้นั่งบนตัก หันหลังให้แล้วมือของเขาก็ปิดหน้าปิดตาของกล้วยไม้ทันทีเมื่อเด็กน้อยหันไปมองอะไรบางอย่างที่ลอยมาตามน้ำ
“กรี๊ดด!! พ่อจ๋าแม่จ๋า!!”
เด็กน้อยชักดิ้นชักงออยู่ในอ้อมกอดของเดวิด หนูน้อยพยายามที่จะลงจากตักของชายหนุ่มเพื่อที่จะไปเก็บเศษเสื้อผ้าของพ่อแม่ที่ลอยมาตามน้ำ เด็กน้อยวัยหกขวบถึงจะไร้เดียงสา แต่ก็ใช่ว่าหนูน้อยจะไม่รู้ว่าพ่อและแม่ไม่ได้อยู่กับเธอแล้ว และคำมั่นสัญญาที่พ่อแม่บอกไว้ก็ไม่มีความหมาย เพราะพ่อและแม่ได้จากเธอไปแล้ว
“คัทลียา!!”
เสียงกรีดร้องของเด็กน้อย ลูกสาวคนเดียวของสองผัวเมียผู้มีพระคุณดังโหยหวน ทำให้เดวิดรีบคว้าร่างน้อยมาแนบกาย เขาไม่อยากให้เด็กน้อยเห็นร่างกายของพ่อแม่ที่มีแต่แขนขาและคอลอยมาตามน้ำนั้น ช่างน่าอนาถใจที่สุด เขากลัวว่าภาพการเสียชีวิตของพ่อแม่ของหนูน้อยจะเป็นภาพที่ติดตาของเด็กน้อยไปจนตลอดชีวิต จึงรีบใช้มือปิดหน้าของเด็กไว้ แล้วเอ่ยเสียงให้นุ่มหู อบอุ่นให้มากที่สุด ปลอบขวัญเด็กน้อย
“พ่อจ๋า...แม่จ๋า...พ่อกับแม่จากหนูไปแล้ว แล้วหนูจะอยู่กับใคร...ฮืออ...”
“คัทลียาของคุณเด อย่าร้องไห้เลย นิ่งซะนะคนดี”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นฟังแล้วปวดหัวใจ ทำให้เดวิดกอดกระชับร่างน้อยให้ความอบอุ่นให้มากที่สุดเท่าที่เด็กน้อยจะหายกลัวและตัวสั่นงันงกอยู่ใต้ร่างของเขา...
