บท
ตั้งค่า

ตอนที่5 ทะเลาะ

“หึ! ว่าไงจ๊ะคนสวย?”

ฉันผลักเจ้าของมือออกไปทันที แน่นอนว่านั่นคือ ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้ที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาว่าพี่เอวาตามมาด้วยหรือเปล่า เพราะถ้าพี่เอวามาเห็นเข้า คงได้ปรี๊ดบ้านแตกแน่ๆ

“หาใครเหรอน้องคนสวย ชื่อทัดดาวใช่ไหม ถ้าพี่จำไม่ผิด” เขาทำหน้ายิ้มเยาะได้ใจ นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววเจ้าเล่ห์ พลางลูบไล้รูปคางตัวเอง ในขณะที่ฉันเดินหนีไปมุมโต๊ะอีกฝั่งเพื่อให้ห่างจากเขา

“มีอะไรไม่ทราบ”

“แหมๆ เสียงแข็งแบบนั้น รังเกียจพี่เหรอ”

“มีหน้ามาถามอีกเหรอ...คนเจ้าชู้แบบนาย ฉันไม่อยากยุ่งด้วยหรอก”

“แสดงว่าเมื่อวานเป็นเธอจริงๆสินะ ตอนแรกก็ว่าหน้าคุ้นๆอยู่ ยอมรับออกมาเองแบบนี้ก็ดี คุยกันง่ายหน่อย” เขาไม่เอ่ยเปล่า กลับเดินเข้าหาฉันช้าๆ มีดที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉันหยิบมันชูปลายแหลมไปทางเขาด้วยสัญชาตญาณ ไม่รู้ไอ้บ้านี่จะทำอะไร ฉันต้องระวังตัวไว้ก่อน

แต่มีเหรอคนเป็นตำรวจจะสะทกสะท้านกับคนถือมีดด้วยอาการสั่นเทาเพราะกลัว

“ออกไปสะ! ฉันไม่มีอะไรจะคุยด้วย” ขาค่อยๆก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ

“จุ๊ๆ ไม่เอาสิ วางมีดลงก่อน เดี๋ยวผีผลักหรอก” เขาก็ยังเยื้องย่างเข้ามาหาฉันช้าๆเช่นกัน

“ถ้าไม่ออกไป ฉัน...ฉันจะตะโกนร้องเรียกให้คนมาช่วย!!” คำขู่ของฉันได้ผล เมื่อเขาหยุดเดิน ฉันยังไม่ทันได้สบายใจ ไอ้บ้านั่นก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง

“เอ๊ะ! น้องเอวา” เขามองผ่านไปด้านหลัง เรียกพี่เอวาทำให้ฉันหันมองตาม และหลงกลคนเจ้าชู้เข้าจนได้ เขาฉวยโอกาสตอนที่ฉันเผลอ เข้ามาคว้ามีดออกไปจากมืออย่างง่ายดาย

“เอามีดคืนมา!!”

มีเหรอที่คนเจ้าชู้จะยอมคืนมีดให้ มันถอยห่างวางมีดลงบนโต๊ะไกลออกไปเพื่อไม่ให้ฉันเอื้อมถึง แล้วยืนท้าวสะเอวยิ้มเยาะ มองฉันหัวจรดเท้า จู่ๆมันชำเหลืองมองผ่านไปด้านหลังฉัน ก่อนจะรีบก้าวเข้ามาสวมกอด

หมับ!

“ปล่อยนะ! ออกไป!” ฉันทั้งผลักทั้งดิ้น แต่สู้แรงผู้ชายไม่ได้ ทันใดนั้น!

“กรี๊ดดดดด” เสียงหวีดร้องทำให้ฉันหยุดชะงัก ชายเจ้าชู้ยอมปล่อยแต่โดยดี ฉันหันกลับไปมองต้นเสียงพร้อมทั้งเบิกตาโพลง เพราะนั่นคือพี่เอวาที่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“อีด๋อย! หล่อนทำอะไรกับบอยเฟรนด์ของไอ!” ใบหน้าถมึงทึงจ้ำอ้าวตรงมาหาฉัน

“ไม่...”

เพี้ยะ!! พี่เอวาตบ...ตบลงที่แก้มของฉัน...ตบโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไรสักคำ และยังเป็นครั้งแรกด้วยที่ลงไม้ลงมือถึงขนาดนี้

“คุณดาว!!” เสียงสองสาวเอ่ยเรียก พร้อมกับวิ่งมายืนกันฉันออกห่างจากพี่สาวใจร้าย

ทั้งเจ็บ...ทั้งแค้นที่พี่สาวเห็นผู้ชายดีกว่าน้องสาวที่อยู่ร่วมกันมาเป็นสิบๆปี ถึงแม้จะดุด่าบั่นทอนจิตใจมาตลอดก็เถอะ ฉันพอจะทำใจได้เพราะเข้าใจว่าพี่สาวมีนิสัยเป็นแบบนี้ แต่สำหรับคราวนี้ต่างออกไป...เธอถึงขั้นลงไม้ลงมือกับฉันเพราะผู้ชาย...ผู้ชายเฮงซวยที่เธอรักนักรักหนา ฉันจะไม่ทนอีกแล้ว...หันกลับไปจ้องพี่เอวาด้วยนัยน์ตากราดเกรี้ยว เธอสะดุ้งเฮือกหนึ่งก่อนจะปรับเป็นสีหน้าบูดบึ้งเหมือนเดิม

“หล่อนมองไอแบบนั้นทำไม!! หล่อนก็แค่เด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ มาอยู่ใต้ชายคานี้ได้เพราะหม่อมย่าสงสารหรอก อย่ากำเริบให้มันมากนักอีด๋อย” พี่เอวาไม่เอ่ยเปล่า ยังใช้นิ้วชี้ผลักหน้าผากฉันเป็นการเหยียดหยามอีกด้วย เออ!! ใครจะไปยอมได้ ฉันปัดมือเธอทิ้งทันที

“ใช่!! ฉันไม่มีพ่อแม่ ฉันอยู่อย่างเจียมตัวยอมทำทุกอย่างเพื่อทดแทนหม่อมย่าที่ให้อยู่บ้านหลังนี้ แล้วพี่ล่ะ พี่มีทั้งพ่อทั้งแม่ทำไมไม่ย้ายออกไปอยู่เฉพาะครอบครัวพี่ ไม่อายบ้างเหรอที่มาเกาะหม่อมย่ากิน โดยไม่คิดที่จะทำอะไรทดแทนเลย”

ฉันเองยังตกใจตัวเองที่เอ่ยออกไปแบบนั้น...ไม่รู้กินรังแตนที่ไหนมา ระเบิดอารมณ์ใส่พี่เอวาเป็นครั้งแรก เล่นเอาทุกคนเงียบไปตามๆกัน

“หนอย~ อีด๋อย!!อี...อีเสร่อ..อีตอแหล แกกล้าดียังไงพูดกับไอแบบนั้น แกมันก็เป็นขี้ข้าคนนึงในบ้านเท่านั้นแหละ มากอดแฟนไอเพื่อคิดจะแย่งสินะ สันดานต่ำจริงๆ ไอ้เด็กไม่มีพ่อแม่สั่งสอน”

โอ้โห!! คำว่าของเธอ ทำให้ฉันเดือดยิ่งกว่าเก่า คงคิดว่าแฟนตัวเองวิเศษวิโสมากสินะ ถ้าตรงหน้ามีไอ้บ้านั่นกับขี้หมา ฉันยอมเลือกเอาขี้หมามาทาตัวสะยังดีกว่าให้ไปกอดไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นสะอีก

“พี่เอวาเห็นว่าฉันกอดเขาเหรอ!! เห็นท่าทางเมื่อกี้คิดว่าฉันกอดเขาจริงๆเหรอ”

คำถามทำเอาพี่เอวานิ่งไปเลย แน่นอนว่าภาพที่เห็นมันไม่ได้บ่งบอกสักนิดว่าฉันเป็นฝ่ายกอดผู้ชาย

“น้องทัดดาวให้ท่าพี่ครับ”

ขวับ! ทุกคนต่างหันไปมองเสียงที่แทรกขึ้นมา ต่างพากันเลิกคิ้วสงสัย ร่วมทั้งฉันด้วย

“ครับ...น้องทัดดาวเป็นคนนัดให้พี่มาที่ห้องครัว เพื่อให้ท่าพี่..พี่เป็นผู้ชายจะอดใจได้ยังไง” เขาเอ่ยคำโกหกด้วยสีหน้าหนักแน่น และดูเหมือนพี่สาวของฉันจะเชื่อสะด้วย

“ไม่จริง!! พี่เอวา อย่าไปเชื่อนะคะ ดาวไม่เคยทำแบบนั้น”

“ชัทอัพ!! ไอเชื่อในสิ่งที่เห็น หล่อนมันก็แค่ผู้หญิงร่าน! อีด๋อย!!” เธอเอ่ยพร้อมกับง้างมือขึ้น ทำท่าทางจะตบฉันอีกครั้ง แต่สาวใช้ทั้งสองต่างกอดฉันไว้แน่น ยืนกันด้านหน้าเพื่อรับฝ่ามือแทน

“หยุดเดี๋ยวนี้ยัยน้ำ!!” เสียงดุดังราวกับเป็นระฆังทองช่วยชีวิต หม่อมย่ามาได้ในจังหวะที่มือพี่สาวใจร้ายจะฟาดลงมาพอดี

“หม่อมย่ามาก็ดีค่ะ จัดการยัยด๋อยนี่เลยค่ะ หล่อนให้ท่าพี่ภาค เมื่อกี้ไอเห็นมันกอดพี่ภาคกับตาตัวเอง”

“ไม่จริงนะคะหม่อมย่า ดาวไม่เคยทำอะไรน่าเกลียดแบบนั้น”

“น่าขายหน้ามั๊ย! พี่น้องทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย” หม่อมย่ามองฉัน แล้วหันไปมองพี่เอวา ต่อด้วยสายตาดุจ้องไปดูชายหนุ่มตัวต้นเหตุ

“หม่อมย่าจะหาว่าไอเฟคเหรอ พี่ภาคก็บอกมาแล้วว่ายัยด๋อยมันให้ท่า ทำไมหม่อมย่าไม่เชื่อไอ เอาแต่เข้าข้างยัยนี่อยู่ได้”

“หล่อนคิดว่าน้องสาวมีนิสัยอย่างนั้นเหรอ” สายตาจริงจังมองเค้นคำตอบจากพี่เอวา แต่เธอกลับเงียบไป ยืนขบเม้มริมฝีปากเถียงไม่ออก

“ยัยทัดดาวกลับขึ้นห้องไปพักผ่อนสะ ส่วนหล่อนสองคนก็ไปเก็บโต๊ะอาหารต่อให้เรียบร้อย ส่วนหล่อนยัยน้ำ...เรื่องแฟนหล่อนคราวหน้าไม่ต้องพามาที่บ้านนี้อีก”

“หม่อมย่า!!” พี่เอวาแว้ดเสียงแหลมพร้อมกระทุ้งเท้าไม่พอใจ ก่อนจะหันไปคว้ามือแฟนหนุ่ม แล้วรีบจูงกันออกไป เดินผ่านตัวหม่อมย่าโดยไม่มีคำกล่าวลาผู้ใหญ่แม้แต่น้อย สมควรแล้วที่หม่อมย่าจะไม่ให้เข้ามาบ้านอีก

หม่อมย่าหรี่ตามองที่แก้มฉัน เพราะมันน่าจะเป็นรอยฝ่ามือ “หล่อนก็หาน้ำแข็งประคบแก้มสะด้วย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่ต้องให้ฉันพูดซ้ำ” ฉันยังไม่ทันอ้าปากตอบ หม่อมย่าก็เดินออกไปเลย ถึงจะดูเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ แต่หม่อมย่าก็มักจะเข้าข้างฉันเสมอ อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันยังไม่ได้เอ่ยคำแก้ตัว หม่อมย่าก็เลือกที่จะเข้าข้างฉันก่อน โดยไม่ถามอะไรให้มากความ

เมื่อเรื่องวุ่นวายสงบลงแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันทำงานของตนเอง ฉันหยิบน้ำแข็งใส่ผ้าขนหนู แล้วมาประคบลงบนแก้มที่โดนตบ จากนั้นก็ขึ้นไปบนห้อง หยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทที่ชื่อ ‘ณตา’ เพื่อนสาวที่เรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล จนถึงมอปลายในโรงเรียนหญิงล้วน มีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นเพื่อนสนิทของฉัน บอกเล่ากันทุกเรื่อง ร่วมไปถึงเรื่องครอบครัวและความรักด้วย แต่ไม่รู้เธอจะเห็นฉันเป็นเพื่อนสนิทเหมือนกันหรือเปล่า เพราะเธอเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ มีแฟนมาแล้วหลายคน ยิ้มเก่ง ร่าเริง ครอบครัวอบอุ่น ต่างกับฉันลิบลับ

‘ฮัลโหล~คุณทัดดาวหายศีรษะไปนานหลายเดือนเลยนะเจ้าคะ คงลืมเพื่อนคนนี้แล้วสิ’ เสียงถากถางเอ่ยก่อนที่ฉันจะกล่าวเซย์ฮัลโหลด้วยซ้ำ

“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แค่ที่มหาลัยยุ่งเรื่องกิจกรรมเด็กปีหนึ่งก็เท่านั้นเอง” อย่างที่รู้ๆกันว่ากิจกรรมเด็กปี1เยอะตลอด แม้แต่จะกลับบ้านยังแทบไม่มีเวลาเลย ฉันจึงต้องเช่าหอพักใกล้ๆกับมหาลัย

‘เหรอๆแม่คนเก่ง คิดว่าสอบเอ็นได้มหาลัยดังในกรุงเทพแล้ว จะลืมเพื่อนต่างจังหวัดอย่างฉันสะอีก’

“ใครจะลืมณตาได้ล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”

‘เฮ้อ~น่าอิจฉาชะมัด ดาวเป็นคนเดียวในห้องที่สอบเข้ามหาลัยดังได้ ส่วนฉันนี่สิต้องเรียนมหาลัยเอกชนที่นี่ต่อ รู้งี้ตอนนั้นไปติวกับดาวก่อนไปสอบเอ็นก็ดีหรอก’

อย่างที่เธอว่า ฉันต้องขยันเรียนอย่างหนัก เพื่อสอบเอ็นทรานซ์ให้ได้คะแนนเยอะๆเพื่อเข้ามหาลัยที่หม่อมย่าวางแผนไว้ให้ และก็เป็นดังหวัง ส่วนณตาเธอสอบเอ็นได้คะแนนน้อยมากๆ ไม่สามารถเข้ามหาลัยมีชื่อที่ไหนได้สักแห่ง จึงต้องเรียนต่อมหาลัยเอกชนในอยุธยา

“เฮ้อ~บ่นเรื่องนี้อีกแล้ว ฉันก็แค่มีดีเรื่องเรียนเท่านั้นแหละ เรื่องอื่นไม่ได้เรื่องสักอย่าง”

‘เอ๊ะ! น้ำเสียงแบบนั้นมีเรื่องอะไรอีกใช่ไหม’ เธอสมเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ แค่ได้ยินเสียงฉัน ก็ราวกับอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง

“อืม พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย”

‘เหลามาเลยจร้า...ฉันมีเวลาทั้งวันฟังเรื่องของเธอ’

แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ให้ณตาฟังทั้งหมด เธอตั้งใจฟังมาก ไม่มีคำถามแทรกขัดเลยสักคำ

‘พี่เอวานิสัยไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เห็นผู้ชายดีกว่าน้อง แย่ที่สุด ถ้าเป็นฉันนะจะตบกลับทันที ไม่สนหรอกว่าเป็นพี่สาว’

“จะตบกลับได้ไง ฉันทำร้ายใครไม่เป็นหรอก”

‘รู้ตัวไหมว่าดาวแสนดีเกินไป ฉันอดเป็นห่วงดาวที่ไปเรียนถึงกรุงเทพไม่ได้หรอกนะ กลัวคนอื่นจะหลอกดาว โดยเฉพาะผู้ชาย! ผู้ชายในกรุงเทพเชื่อใจไม่ได้สักคน ดาวต้องระวังตัวไว้’

“ณตาก็รู้ ฉันไม่ถนัดคุยกับผู้ชาย อีกอย่างหน้าตาฉันก็ไม่ได้สวย คงไม่มีผู้ชายที่ไหนมาหลอกฉันหรอก ถ้าสวยเหมือนพี่เอวาว่าไปอย่าง” ฉันหน้าตาพื้นๆ ไม่แต่งหน้าแต่งตัว แน่นอนว่าผู้ชายที่ไหนจะมาสนใจ ส่วนพี่เอวานะเหรอ...เธอเรียนมหาลัยเอกชนในกรุงเทพ เรื่องผู้ชายคงมีมาจีบไม่ขาดสาย แต่ไม่เข้าใจทำไมต้องมาเป็นแฟนกับไอ้ตำรวจคนนั้นด้วย

‘ว่าแต่จะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ ฉันอยากไปเที่ยวกับดาวก่อนจัง แต่อาทิตย์นี้กับอาทิตย์หน้าฉันไม่ว่างสะด้วย ต้องทำงานกะใหม่ในเซเว่น พี่เขาสั่งห้ามลาหยุด’

“อาทิตย์หน้าก็ต้องกลับกรุงเทพแล้ว ขอโทษนะที่คงไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน น่าเสียดายอะ”

‘ไว้ปิดเทอมใหญ่ ค่อยไปเที่ยวด้วยกันก็ได้’

“นั่นสิ”

‘งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องรีบไปทำงานก่อน’

“ไหนบอกว่าว่างทั้งวันไง โกหกกันชัดๆ”

‘ฮ่าฮ่า ถ้าบอกว่าไม่ว่างดาวจะยอมเล่าเรื่องให้ฟังเหรอ แค่นี้ก่อนนะ’

เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับหน้าจอมือถือ ถึงแม้นานๆจะได้คุยกับณตา แต่ความรู้สึกรักเพื่อนเป็นห่วงเพื่อนยังคงมีให้เสมอไม่เสื่อมคลาย

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...

ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพ เพราะอีกสองวันจะเป็นวันเปิดเรียนในเทอมสอง เก็บสัมภาระเตรียมไว้เรียบร้อย ก็มีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว กับกระเป๋าผ้าสะพายข้างก็เท่านั้น ของใช้ชิ้นใหญ่ๆที่จำเป็นขนไปไว้ที่หอพักตั้งแต่เทอมแรกแล้ว

กับพี่เอวา...ฉันไม่ได้เจอเธออีกหลังจากวันนั้น เธอกลับกรุงเทพไปก่อนที่จะเปิดเรียน คงเบื่อเต็มทนที่จะเจอหน้าฉัน ก็ดี...ฉันจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าเธอเหมือนกัน

ฉันเดินลงมาข้างล่าง เข้าไปหาหม่อมย่าที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น ส่วนพี่ออยกับพี่แววยืนทำความสะอาดอยู่หน้าตู้โชว์เครื่องสังคโลกที่ส่งต่อมาจากรัชกาลที่5

“ดาวไปก่อนนะคะหม่อมย่า ลาค่ะ” ฉันยกมือไหว้พร้อมย่อเข่าด้วยความสุภาพเรียบร้อย

“หล่อนจะไปยังไง”

“ให้วินมอไซค์ไปส่งที่คิวรถตู้ในเมืองค่ะ”

“อื้ม ฉันกำลังจะไปซื้อของในเมืองพอดี หล่อนก็นั่งรถไปพร้อมฉันก็แล้วกัน”

ฉันยืนมองตาปริบๆแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะปกติหม่อมย่าไม่ชอบออกไปไหนนอกบ้าน หากไม่มีงานสำคัญอะไรจริงๆ น่าแปลกที่วันนี้จะไปซื้อของด้วยตัวเอง

“เอ๊ะ! หม่อมไม่ได้แจ้งว่าจะไปข้างนอกนะคะ” พี่แววเอ่ยแทรกขึ้น แม้แต่คนรับใช้ยังสงสัย และยืนยันคำตอบให้ฉันเป็นอย่างดีว่าหม่อมย่าไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าจะไปซื้อของจริงๆ

“ฉันจะไปไหนต้องรายงานหล่อนด้วยเหรอ”

นั่นไง! มีหงุดหงิดกลบเกลื่อนด้วย ‘หึ! จริงๆก็คงอยากไปส่งฉันแหละ บอกแล้วว่าหม่อมย่าใจดีกับฉันที่สุด’

เอ่ยจบก็เดินสะบัดเชิดไปทางประตู สาวใช้ทั้งสองคนหันมาส่งยิ้มน้อยๆกับฉัน เพราะรู้ทันว่าหม่อมย่าแกล้งโกรธ

“นี่หล่อนน่ะ! ทำไมยังไม่เดินตามฉันมาอีก” ก่อนจะเดินพ้นประตูไป ไม่วายที่หม่อมย่าจะหันมาดุฉันเสียงแข็ง

“ค่ะๆ ตามไปเดี๋ยวนี้คะ” ฉันลอบโบกมือเบาๆ “ไปก่อนนะ” เป็นการอำลาพี่ทั้งสองคน ก่อนจะรีบเดินตามหม่อมย่าไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel