บท
ตั้งค่า

ตอนที่4 เสี่ยงดวง

และแล้วก็กลับมาถึงบ้านหลังใหญ่ ฉันหาคำแก้ตัวต่างๆนานาเพื่อใช้ตอบกับหม่อมย่า ทว่า! เพียงแค่ก้าวลงจากรถ ป้าใจร้ายก็วิ่งถลาเข้ามาสวมกอดในทันที

“ดาว~เป็นไงบ้างลูก หมอว่าอะไรบ้าง”

งงสิ...จู่ๆก็มาเล่นบทป้าผู้แสนดี ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว

“ไหนๆ เจ็บตรงไหนนะ ขอป้าดูแผลหน่อย” ป้าครองขวัญผละกอดออก ดูมือฉันที่พันไปด้วยผ้าก๊อซ

“โห!! แผลใหญ่มากเลยเหรอ เจ็บไหมลูก~”

“ไม่ใหญ่เท่าไหร่ค่ะ ก็แค่เย็บห้าเข็ม”

หมับ! เธอสวมกอดฉันอีกครั้ง ก่อนจะกัดฟันแน่น พึมพำราวกับเป็นเสียงกระซิบ “อย่าได้เสนอหน้าพูดความจริงออกไปล่ะ ไม่งั้นหล่อนเจอดีกว่านี้แน่” แล้วเธอก็ผละกอดออก จับเรียวหน้าฉันด้วยความเอ็นดู ‘หือ~ว่าแล้วเชียว นั่นเป็นการแสดงจริงๆ คนอย่างป้าครองขวัญไว้ใจไม่ได้หรอก’

“จะกอดกันอีกนานไหม ป่วยก็กลับไปพักสะสิ หรือเรื่องแค่นี้ยังต้องให้ฉันบอกอีก” เสียงดุจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นั่นคือหม่อมย่าที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูบ้าน

“หม่อมแม่~อย่าไปดุดาวสิคะ เธอกำลังเจ็บอยู่”

“หล่อนก็อีกคน เอาเวลาไปดูแลลูกสาวกับลูกชายหล่อนเถอะ ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องยัยทัดดาว หลานคนนี้ฉันดูแลเองได้”

สงครามน้ำลายเริ่มอีกแล้ว ขืนฉันอยู่ต่อ มีหวังต้องโดนลูกหลงอีกแน่ “ดาวขอตัวก่อนนะคะ”

ฉันเดินอย่างนอบน้อมค้อมตัวเมื่อผ่านหม่อมย่า กลับเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปบนห้องนอนตัวเอง สิ่งแรกที่ทำคือการหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเพราะไม่ได้เอาติดตัวไปที่โรงพยาบาล ทว่าการแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่าข้อความไลน์ไม่ได้อ่านถึงหนึ่งร้อยสิบสองข้อความ ฉันจึงรีบเปิดเข้าไป เป็นกลุ่มไลน์คลาสเรียนในห้อง ที่กำลังพูดคุยสนทนากันเรื่องลงเรียนคลาสเสริมเก็บเกรดที่พึ่งเปิดให้ลงทะเบียนวันนี้เป็นวันแรก และวิชาทางเลือกที่เพื่อนคนหนึ่งเสนอคือ แบดมินตัน ถ่ายรูป และภาษาอังกฤษ ทั้งสามวิชานี้เป็นการเก็บเกรดให้นักศึกษาเลือกเรียนวิชานอกสาขาที่ตัวเองสนใจเพื่อเพิ่มเติมความรู้ จริงๆก็เป็นแค่วิชาปล่อยเกรดนั่นแหละ ใครบ้างที่ไม่อยากได้เกรดAแบบสบายๆ

‘แบดมินตันเหรอ...ฉันไม่ถนัดกีฬาด้วย วิชานี้คงต้องทิ้งไป’

‘วิชาถ่ายรูป เป็นวิชาที่น่าสนใจที่สุดในสามวิชานี้ ก็แค่ถ่ายรูปส่งงานให้อาจารย์ ไม่ต้องเรียนอะไรเยอะแยะ’ ฉันไม่รอช้าที่จะเข้าเว็บไซต์ของทางมหาลัย แต่กลับต้องผิดหวังเพราะ “เต็มแล้ว!” วิชาถ่ายรูปที่นักศึกษาทั้งมหาลัยต่างหมายปอง ถูกลงทะเบียนเต็มคลาสภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ไม่เหลือที่ว่างให้ฉันได้ลง ’ฮือๆ อยากจะร้องไห้ เมื่อเช้าน่าจะเช็คไลน์ในกลุ่มก่อน จะได้เตรียมตัวแย่ง’

‘แล้วEngล่ะ...ภาษาอังกฤษที่ฉันเรียนโคตรห่วยมาตั้งแต่เด็กๆ...ภาษาอังกฤษที่ไม่เคยเข้าใจเรื่องไวยากรณ์ ต่อให้ฟังเพลงฝรั่ง ดูหนังฝรั่งก็เถอะ คำศัพท์ยากๆพวกนั้นไม่เคยเข้าใจสักคำ ให้ตายเถอะ! ทางเลือกเหลือเพียงแค่แบดมินตัน กับ Eng จริงๆเหรอ แล้วจะลงเรียนอันไหนดี’

“เฮ้อ~ชีวิตทัดดาว...”

‘เอาวะ! ลองเสี่ยงดวงเอาล่ะกัน’ ความคิดตื้นๆไร้ทางออก ทำการเสี่ยงดวงด้วยการโยนหัวก้อยเป็นวิธีมาตรฐานสากลที่สุดแล้ว ถ้าออกมาเป็นหัวจะลงเรียนแบดมินตัน แต่ถ้าเป็นก้อยจะลงเรียนภาษาอังกฤษ การตัดสินเพียงแค่ครั้งเดียว...ตื่นเต้นกว่าตอนประกาศผลเอ็นทรานซ์สะอีก

มือบางดีดเหรียญขึ้นกลางอากาศ เหรียญหมุนติ้วขึ้นไปสูง แล้วหมุนทิ้งตัวลงมา ฉันใช้มือข้างที่เจ็บรับเหรียญอย่างลืมตัว แล้วใช้มืออีกข้างประกบปิดไว้ ค่อยๆแง้มทีละช้าๆ จนเห็นรูปหยักแหลมบนหน้าเหรียญ ไม่ต้องลุ้นแล้วล่ะ! ฉันเปิดมือออก เพราะด้านที่ตกลงมาเป็นก้อย นั่นก็หมายความว่าฉันต้องลงเรียนภาษาอังกฤษ

“อื้ม...ก็คงดีกว่าลงเรียนแบดมินตันละมั้ง ขอให้เจออาจารย์ใจดีด้วยเถิด สาธุ99 เพี้ยง!!” ให้กำลังใจตัวเองไว้ก่อน ถึงแม้ไม่จำเป็นก็เถอะ ฉันเปิดหน้าลงทะเบียน เลือกลงวิชาภาษาอังกฤษไปเลยจ้า เดี๋ยวนะ! ลงทะเบียนเสร็จถึงได้เห็นว่านักเรียนลงแค่หกคนเท่านั้น เอ๊ะ!...เอ๊ะ! หรือว่าอาจารย์จะโหด หรืออาจารย์ไม่ปล่อยเกรด...คิดถูกแล้วใช่ไหมที่ฉันลงเรียนไป โอ้มายก๊อด~ฉันน่าจะดูให้ดีก่อนลงทะเบียน ถอนวิชาตอนนี้ไม่ทันแล้วด้วย

ติ๋ง! เสียงไลน์แจ้งเตือนดังขึ้น ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ ชื่อไลน์ว่า ‘เจษ’ เป็นคนส่งข้อความมา ‘ดาวลงเรียนคลาสเสริมยัง’

‘เจษฎา หรือ เจษ’ เป็นเพื่อนผู้ชายร่วมคลาสในสาขาบัญชีที่ฉันกำลังเรียนอยู่ รู้ๆกันอยู่ว่า90%ของนักศึกษาบัญชีจะเป็นผู้หญิง ส่วนอีก10%เป็นนักศึกษาผู้ชาย และเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น นิสัยเป็นคนสนุกสนาน เพื่อนเยอะ ร่าเริง เป็นกันเองกับทุกคน หน้าตาก็ดูดี ทุกอย่างของเขาล้วนแต่ตรงกันข้ามกับฉันที่เก็บตัวอยู่คนเดียว เข้าสังคมไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับคนอื่นยังไง แต่มีเขาคนเดียวนี่แหละที่พยายามเข้ามาคุยกับฉัน ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยคุยตอบกับเขาก็เถอะ

‘อืม ลงแล้ว’ ฉันพิมพ์ตอบสั้นๆเข้าใจง่ายกลับไป

‘วิชาอะไร ทันถ่ายรูปป่ะ’

‘ลงengน่ะ’

‘งั้นเจษลงด้วย’ นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาพิมพ์มา จากนั้นก็หายเงียบไป “อะไรของหมอนี่”

‘หมอเหรอ...หมอคนเมื่อวานคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ คงรู้แล้วมั้งว่าฉันไม่ใช่ญาติยายคนนั้น หึ! คิดแล้วก็ตลกดี’

ช่วงเที่ยงในวันต่อมา

ฉันเตรียมอาหารเหมือนทุกครั้งๆอยู่ในครัว แต่ด้วยมือที่เป็นแผล ทำให้ทั้งพี่ออยและพี่แววเป็นคนทำอาหารสะส่วนใหญ่

เอี๊ยด~ เสียงรถยนต์ขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน

“มีแขกมาเหรอ พี่ออยกับพี่แววรู้ไหมว่า หม่อมย่านัดใครไว้”

“ไม่มีนะคะ หม่อมไม่ได้แจ้ง”

“อื้ม งั้นดาวไปดูเองค่ะ พวกพี่ทำงานต่อเถอะ”

ฉันเดินออกมาหน้าบ้าน เพ่งมองรถBMWรุ่นสปอร์ตคันสีเหลืองที่จอดนิ่งด้วยความสงสัย เพราะมั่นใจมาก ว่าแขกของหม่อมย่าไม่เคยมีใครขับรถคันนี้มาก่อน

ทว่า! ประตูด้านข้างคนขับก็ถูกเปิดออก ขาเรียวสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงก้าวลงมาข้างนึง แล้วตามด้วยอีกข้าง ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผู้หญิงแต่งตัวเก่งแน่ๆ

“ยัยด๋อย! จะยืนดูอีกนานไหม มาหยิบของเข้าบ้านสิ!!” เสียงแว้ดเรียกฉันแบบนั้นจะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่พี่เอวา เธอก้าวออกมายืนนอกรถเต็มความสูง จ้องฉันตาเขม็งจิกใช้ราวฉันเป็นทาสในเรือนเบี้ย

‘นี่จะเข้าปี2566 เขาเลิกทาสไปนานแล้วค่า มีมือก็หยิบเองสิคะ’ ฉันอยากตะโกนออกไปแบบนั้น แต่เลือกเก็บไว้ในใจดีกว่า เดินไปหาพี่เอวาอย่างว่าง่าย จังหวะนั้นประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิด ชายหนุ่มใส่ชุดสุภาพก้าวออกมาจากรถ

“นั่นใครเหรอน้องเอวา” เสียงละมุนเอ่ยถามพี่เอวาพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนมาให้ฉัน ต่างกับฉันที่ยืนอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง เพราะเขา..เขาคือไอ้ตำรวจคนที่ไปแหกปากในห้องฉุกเฉินเมื่อวาน

“น้องสาว ไม่สิๆ ลูกพี่ลูกน้องของไอเองค่ะดาร์ลิ้ง”

ขวับ! ฉันหันไปมองพี่เอวา แล้วหันไปมองชายคนนั้นอีกครั้ง ‘ดะ..ดาร์ลิ้ง!..แสดงว่าพี่เอวาคบกับนายคนนี้จริงๆ แล้ว...แล้วผู้หญิงคนเมื่อวานล่ะ...หนอย! ไอ้นี่มันคบซ้อนสินะ เลวจริงๆ’

“ชื่ออะไรเหรอครับ พี่ชื่อภาคนะ เรียกพี่ภาคก็ได้” ใบหน้าดูใจดี สุภาพ เต็มไปด้วยความมีน้ำใจ แต่หารู้ไม่! มันก็แค่อันธพาลป่าเถื่อนคนหนึ่งก็เท่านั้น

ริมฝีปากรูปหยักกระดิกรัวๆ คันปากอยากจะบอกพี่เอวาเต็มทน

“พี่เอวา ฉันมี...” ยังเอ่ยไม่จบประโยค ก็ถูกเธอดักคอสะก่อน

“มือหล่อนเจ็บอยู่ใช่ไหม...หิ้วถุงเสื้อผ้าฉันไปเก็บบนห้องดีๆล่ะ แต่ละตัวแบรนด์ดังทั้งนั้น อย่าทำให้เสียหายเชียว” เหมือนจะถามด้วยความเป็นห่วง แต่แท้จริงแล้วเชิดคางแหลมชี้ไปยังท้ายรถต่างหาก ‘ฉันลืมไปชั่วขณะว่าพี่สาวนิสัยเป็นยังไง เธอเก่งกาจออกขนาดนั้น คงไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่ฉันจะบอกหรอก’

“ค่ะพี่เอวา”

ฉันก้มไปหยิบถุงกระดาษนับสิบใบที่อยู่ในส่วนหลังรถ แต่ละใบส่วนแต่มีตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ดังทั้งนั้น ไม่รู้พี่เอวาจะซื้ออะไรกันนักหนา เสื้อผ้าแต่ละชุดแขวนอยู่บนห้องยังไม่ได้ใส่เลยด้วยซ้ำ ดองอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าเตียงสะอีก

“พี่ภาคเข้าไปหาหม่อมย่าข้างในดีกว่าค่ะ ไอจะโชว์หม่อมย่าว่าบอยเฟรนด์แฮนซัมขนาดไหน”

“ครับ แล้วพี่ต้องทำอะไรบ้าง”

“แค่บอกว่าทำงานเป็นตำรวจก็พอ”

“ได้ครับที่รัก”

สองคนควงแขนเดินเข้าไปในบ้าน ‘ที่รักเหรอ...ปากหวานจริงๆ คงเรียกแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนสินะ ถ้าพี่เอวารู้ความจริง รับรองบันเทิงแน่’

ฉันหิ้วถุงทั้งหมดเดินตามเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขกที่หม่อมย่ากับพวกคู่รักกำลังนั่งอยู่

“ยัยน้ำ! ทำไมให้ยัยทัดดาวหิ้วของแบบนั้น” เสียงดุทำให้ฉันต้องหยุดชะงัก หันไปมองต้นเสียง หม่อมย่ากำลังจิกตาใส่ฉัน แล้วหันไปจิกตาใส่พี่เอวา ‘ใบหน้านิ่งๆแฝงไปด้วยความน่ากลัว ให้ตายเหอะ! เห็นตั้งแต่ยังเด็กจนถึงป่านนี้ก็ยังเสียวสันหลังวาบ’

“หม่อมย่า~ไอใช้ยัยด๋อยสะเมื่อไหร่ ยัยนั่นเสนอหน้ามาช่วยถือเองต่างหาก ไม่เห็นจะต้องดุไอต่อหน้าบอยเฟรนด์เลยนะคะ” เสียงสองของพี่เอวาเอ่ยแง่งอน แล้วหันไปออดอ้อนผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาจับศีรษะเธอเพื่อเป็นการปลอบ “โอ้ๆไม่เป็นนะครับ” ฉันรู้สึกไม่อินกับการแสดงของพวกเขาเลย

“หล่อนไม่มีมือ! ถือเข้ามาเองเหรอ ไอ้ตอนไปซื้อก็เห็นยังหิ้วได้ แต่พอกลับถึงบ้าน ดันใช้ให้คนอื่นต้องไปหิ้วสมบัติตัวเองเนี่ยนะ มันถูกไหม!” ดูเหมือนหม่อมย่าไม่ได้สนใจที่พี่เอวากำลังน้อยใจสักนิด

“ไอบอกไปแล้วนะคะ ว่าไม่ได้ใช้ ยัยด๋อยนี่เสนอตัวถือให้ไอเองต่างหาก หม่อมย่าไม่เชื่อก็ถามหล่อนสิ”

ทั้งสามหันมามองฉันกันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะสายตาพี่เอวาที่จิกตาจิกปากขบฟันแน่น บอกเป็นนัยให้ฉันเออออตามที่เธอพูด

“จริงไหมยัยทัดดาว” หม่อมย่าถามซ้ำอีกครั้ง ฉันชำเลืองมองกลับ ก่อนจะตอบออกไปเบาๆ “จะ..จริงค่ะ”

“แกรนมาเทอร์ได้ยินชัดแล้วนะคะ หวังว่าไม่ต้องมาด่าไออีก”

“ถึงยังไงเมื่อวานยัยทัดดาวก็พึ่งไปทำแผลที่โรงพยาบาลมา ไม่ควรยกของหนัก วางของไว้ให้ยัยน้ำถือขึ้นไปเอง”

“โรงพยาบาลไหนครับ!!” จู่ๆแฟนหนุ่มของพี่เอวาถามแทรกด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก หม่อมย่าถึงกลับหันไปมองด้วยสายตาดุ แน่นอนว่าคนเจ้าระเบียบอย่างหม่อมย่าไม่ชอบพฤติกรรมแบบนั้น

“ขอ..ขอโทษครับ ผมแค่อยากรู้เฉยๆ” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเจื่อนๆ เอามือเกาท้ายทอยตัวเองเพื่อแก้เขิน

“ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลในเมืองสิคะ พี่ภาคจะสนใจทำไม” พี่เอวาเอ่ยตอบแทน

ขวับ! เขาหันมาเพ่งมองฉันในทันที ‘แย่ล่ะสิ...เมื่อวานเขาเห็นฉันก่อนหนีออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วย ต้องจำได้แน่ๆ ทำไงดี’

“อ๋อ...” แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เหมือนจะนึกออก ชายวางกล้ามมองฉันหัวจรดเท้าอีกครั้ง แล้วหยักยิ้มมุมปาก ท่าทางแบบนั้นเขาต้องจำฉันได้แล้วแน่ๆ เอาไงดีๆ

“ฉันขอตัวไปทำอาหารต่อในครัวนะคะ” ว่าแล้วฉันก็ทิ้งถุงพวกนั้นไว้ที่เดิม รีบหนีกลับเข้ามาในห้องครัว

สองสาวในครัวกำลังซุบซิบนินทาถึงเจ้านาย สะดุ้งโหยงเมื่อหันมาเห็นฉันเดินเข้ามาพอดี

“คุณดะ...ดาว”

“ค่ะ พี่ออยกับพี่แววกำลังนินทาใครอยู่เหรอคะ”

“เปล๊า~พวกพี่ไม่ได้นินทาใครกันเลยจริ๊งจริง” เสียงสูงขนาดนั้น สายตาเลิ่กลั่กแบบนั้น คำปฏิเสธคงเชื่อไม่ลง ฉันเปลี่ยนท่ามายืนกอดอก หรี่ตาจ้องเค้นให้สองสาวเอ่ยความจริงออกมา และแล้วก็ได้ผล เมื่อทั้งสองหันไปพยักหน้าใส่กันเบาๆ แล้วพากันหันมาหาฉัน

“เรื่อง...คุณเอวานะคะ” เสียงตอบค่อยๆหายไปในลำคอ

“เฮ้อ~เรื่องที่เจอแฟนพี่เอวาเมื่อวานใช่ไหมคะ” ฉันถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ เพราะเมื่อวานไม่ใช่ฉันแค่คนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ ยังมีพี่ออยด้วย ซึ่งเธอก็ต้องนินทาให้พี่แววที่เป็นเพื่อนสนิทฟังอยู่แล้ว

“คุณดาว! คุณดาวบอกคุณเอวาไปยังคะ” จู่ๆท่าทางของพี่ออยก็เปลี่ยนไป เธอตื่นเต้นรุดเข้ามาหาฉัน ไม่ใช่มาแค่คนเดียว พี่แววยังเดินเข้ามาควงแขนฉันอีกด้วย ทั้งสองคนกระพริบตาปริบๆ รอคำตอบที่พี่ออยถามมาเมื่อกี้

“ยังไม่ได้บอกค่ะ”

“คุณดาวอ่ะ! น่าจะบอกคุณเอวาไปเลยนะคะ พวกเราจะได้ดูละครสนุกๆ”

ฉันขึงตาใส่พี่ออย เธอลืมตัวเอามือปิดปากแทบไม่ทัน “อุ๊ปส์!”

“เห็นเจ้านายทะเลาะกันพวกพี่สนุกเหรอคะ” เสียงนิ่งเอ่ยถามพร้อมกับมองสองสาวสลับกัน พวกเธอทำหน้าจ๋อยในทันที “ไม่ค่ะ”

“เรื่องเจ้านายพวกเราอย่าไปยุ่งดีกว่าค่ะ อะไรจะเกิดก็เป็นเรื่องของพวกเขา”

“ค่ะคุณดาว”

ทั้งสองเดินกลับไปทำงานของตัวเอง ไม่มีคำนินทา ไม่มีเสียงพูดคุย ถึงแม้พวกเธอจะแอบชำเลืองมองฉันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ฉันก็ทำเป็นยี่หระ ไม่ขบขันเหมือนอย่างเคย เพื่อให้พวกเธอรู้ว่าการนินทาเป็นสิ่งไม่ดีและฉันไม่ชอบจริงๆกับเรื่องพวกนี้

“ขอโทษนะคะคุณดาว ต่อไปพวกพี่จะไม่นินทาเจ้านายอีกแล้ว” ทั้งคู่เดินมาต่อหน้าฉัน เสียงเศร้าสร้อยคงจะสำนึกผิดจริงๆ ฉันอมยิ้มมองทั้งคู่สลับกัน

“เอ๊ะ! คุณดาวแกล้งโกรธพวกพี่ใช่ไหม”

“แบบนี้ต้องโดนค่ะ” ทั้งคู่ไม่เอ่ยเปล่า ต่างเข้ามาจั๊กจี้ที่เอว แล้วพากันหัวเราะออกมาเสียงดัง กรีดร้องกันอย่างสนุกสนาน

“นี่!! พวกหล่อนหัวเราะอะไรกัน” จู่ๆก็มีเสียงดุ ทำให้พวกเราต้องหยุดชะงัก นั่นไม่ใช่ใครอื่นเป็นเจ้าของบ้านนี้นั่นเอง

“ขอโทษค่ะหม่อมย่า”

“รักษากิริยามารยาทให้เป็นกุลสตรีกันบ้าง”

“พวกเราผิดเองค่ะหม่อม”

“ใช่! พวกเธอผิดทั้งสามคนนั้นแหละ”

“ขอโทษค่ะ” ทั้งสามคนเอ่ยพร้อมเพรียงกัน

“ชิ๊! เดี๋ยวแขกจะกินข้าวเพิ่มอีกคน ไปจัดสำรับได้แล้ว”

“ค่ะหม่อม” สาวใช้ทั้งสองต่างยกจานชามออกไป หม่อมย่ามองค้อนใส่ฉัน ก่อนจะสะบัดเดินกลับไป ‘เกือบไปแล้วไหมล่ะ...เฮ้อ~’

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ฉันยกอาหารร้อนที่พึ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ไปเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร หม่อมย่า พี่เอวา และชายเจ้าชู้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“นี่แกงเผ็ดปลาช่อนสอง...ใจค่ะ” ฉันเสิร์ฟปลาตัวใหญ่ที่พึ่งทำใหม่ วางไว้กลางโต๊ะ แล้วหันไปหยิบกับข้าวอีกจาน ที่พี่ออยกำลังส่งให้มาทางด้านหลัง

“นี่ผัดปลาไหลผัดพริกนา...รกค่ะ” ฉันเอ่ยในขณะที่ลอบมองชายคนนั้น เป็นนัยเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังประชดประชันเขาอยู่

“ส่วนนี่หมูทอดแอบกิน! ที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อเช้าค่ะ”

แน่นอนว่าชื่อเมนูล้วนแล้วแต่ตั้งขึ้นใหม่ ประชดประชันผู้ชายหน้าไม่อายที่กำลังมองฉันอยู่ ส่วนสองสาวใช้ยืนอยู่ด้านหลังต่างพากันหัวเราะเบาๆ

และแล้วการทานอาหารก็เสร็จสิ้นลง หม่อมย่าและคู่รักหวานแหววต่างแยกย้ายกันไป พวกเราสามคนจึงช่วยกันเก็บจานบนโต๊ะอาหาร

“พวกพี่เก็บตรงนี้นะคะ เดี๋ยวดาวไปเก็บจานด้านในล้างรอไว้”

“ได้ค่ะคุณดาว”

ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องครัว ยืนล้างจานเก่าที่ใช้แล้ว เพื่อรอจานใหม่ที่สองสาวกำลังจะยกเข้ามา

หมับ!

จู่ๆก็มีแขนกำยำกอดเอวฉันมาจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว “ว้าย!!” ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะหันกลับไปหาเจ้าของแขน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel