บท
ตั้งค่า

ตอนที่3 ศาสตราจารย์

เมื่อสามชั่วโมงก่อน

“ศาสตราจารย์ครับ เตรียมรถไปอยุธยาไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

นายคนนี้ชื่อ ‘เมฆา’ หน้าเข้ม คิ้วหนา ผิวขาว สูงแค่ร้อยแปดสิบ นิสัยดี ทำงานเก่ง มันเป็นหมอผู้ช่วย เป็นเลขา เป็นลูกน้อง เป็นเพื่อน เป็นหมอรุ่นน้อง เป็นลูกจ้าง ทำงานให้ผมผู้เป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ และเป็นคนรวยที่มีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง สืบต่อมาจากฝั่งป๊าโฮป

“อื้มเข้าใจแล้ว” ผมปิดแฟ้มเอกสารที่กำลังอ่านอยู่บนโต๊ะทำงาน ลุกขึ้นยืนจัดเสื้อสูทให้เรียบร้อยก่อนจะเดินนำออกจากห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง

วันนี้ผมต้องไปสัมมนาอธิบายวิธีการใช้กล้องผ่าตัดสอดใส่แกนองคชาตเทียมให้เคสผู้ป่วยที่เป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศแก่โรงพยาบาลในตัวเมืองอยุธยา ถึงจะน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นงาน เป็นหน้าที่หมอชื่อดังจบนอกอย่างผม ต้องคอยให้คำแนะนำกับโรงพยาบาลต่างๆในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการแพทย์การรักษาให้ดีให้ทันสมัยขึ้น

ตึ๋ง! ลิฟต์เปิดชั้นหนึ่ง ประตูค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นร่างบางสวมเสื้อกาวน์สีขาวทับบนชุดเดรสชีฟอง ใบหน้าสะสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ทาลิปสติกสีแดงฉูดฉาด พรมด้วยน้ำหอมกลิ่นแรง ยืนส่งยิ้มหน้าบานอยู่หน้าประตู ผมหันไปด้านข้าง ลอบถอนหายใจด้วยความเอือมระอา

“หมอคะ ลัดดามีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”

“เรียกผมว่าศาสตราจารย์ ไม่ใช่หมอเฉยๆ” ผมเอ่ยตอบในขณะที่เดินออกมาจากลิฟต์ มีเมฆาเดินตามหลังมาติดๆ

“ขอโทษค่ะ ลัดดาลืมตัว” เธอเอ่ยในขณะที่เดินตามติดตัวผมเป็นตังเม แล้วเกี่ยวปอยผมทัดหูข้างหนึ่ง เมื่อรู้ว่าผมกำลังชำเลืองมองเธอด้วยหางตา

‘ลัดดา’ หมอสาวสวยชำนาญการด้านต่อมไร้ท่อเหมือนผม ถ้าจำไม่ผิดเธอน่าจะอายุยี่สิบแปด เข้ามาทำงานที่นี่ได้สามปี หลังจากที่ม๊าจอมขวัญเกษียณตัวเองไปเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงพยาบาลแทน เธอมักจะมาตีสนิท อ้างเคสผู้ป่วยแสร้งเข้ามาปรึกษาชวนคุย จริงๆแล้วก็แค่เคสพื้นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ ซึ่งแน่นอนโรคพวกนี้ หมอเฉพาะทางรับมือได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องมาปรึกษาผมหรอก

“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” น้ำเสียงเบื่อหน่ายถามหญิงสาวที่เดินเคียงมา เธอไม่รู้ตัวหรอกว่าผมเบื่อเธอมากขนาดไหน อ๋อ! แต่ไม่ใช่กับเธอคนเดียว หมายถึงผู้หญิงทั่วไปที่มักเข้ามาอ่อยผมด้วย เข้าใจอยู่ว่าผมมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม แต่จะให้เล่นกับผู้หญิงร่านคอยแจกของฟรีพวกนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก มันสกปรก!

“ลัดดาเอาเคสคนไข้มาให้ศาสตราจารย์ดูค่ะ มันน่าแปลกนะคะที่จู่ๆคนไข้ดูแลสุขภาพทั้งการกิน ทั้งออกกำลังกาย แต่กลับเป็นเบาหวานได้ ระบบย่อยในร่างกายต้องไม่ดีแน่ๆ ศาสตราจารย์ดูสิคะ” เสียงเล็กเอ่ยพร้อมกับเปิดแฟ้มประวัติคนไข้ที่ถือติดมือมาด้วย กางออกเพื่อให้ผมได้เห็นข้อมูลด้านใน

ผมหยุดชะงัก หันไปด้านหลังพยักพเยิดกับเมฆา เขารู้หน้าที่ดี เดินมารับแฟ้มคนไข้ไปจากลัดดา ไอ้เรื่องที่เธอพูดมาเมื่อกี้ มันก็แค่พื้นฐานทั่วไป ‘น่าเบื่อจริงๆ’

“ไว้ว่างๆผมจะดูให้ก็แล้วกัน”

“ศาสตราจารย์จะไปสัมมนาใช่มั๊ยคะ ลัดดาขอไปด้วยคนนะคะ อยากฟังเรื่องการสอดกล้องช่วยผ่าตัด” เธอทำเสียงออดอ้อน หรี่ตาลง ทำปากงุ้ม ราวกับเป็นแมวน้อย

‘ไปตายสะไป!!’ ผมพูดในใจ ใครจะด่าออกไปให้เสียภาพลักษณ์ล่ะ ยิ่งพ่อของเธอเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลด้วยแล้ว มีหวังถอนหุ้นออกไปหมดกันพอดี

“ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าศาสตราจารย์ให้ลัดดาไปด้วยสินะคะ รอลัดดาสิบนาที ขอไปเอากระเป๋าสะพายที่ห้องก่อน” เธอวิ่งหน้าระรื่นออกไป

มีเหรอที่ผมจะรอ ผมจ้ำอ้าวเดินมาหน้าโรงพยาบาล เหล่าพนักงานต่างยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ผมไม่ได้สนใจหรอก เพราะวินาทีนี้การหนีจากสกังก์ปากแดงสำคัญที่สุด ‘สกังก์...ฉายานั่นผมตั้งให้เธอเอง เพราะตัวสกังก์มักจะปล่อยกลิ่นแรงๆออกมา มันเหมือนกับน้ำหอมที่เธอพรมรอบตัวนั่นแหละ แรงพอๆกัน’

“ศาสตราจารย์ไม่รอคุณลัดดาเหรอครับ” เมฆาที่จ้ำอ้าวตามมาติดๆตะโกนถาม

“อยากรอก็รอไปเองดิ”

ผมมาถึงรถเบนซ์เอสคลาสคันสีดำรถหรูที่สตาร์ทเครื่องรออยู่แล้ว รีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะหลัง โดยที่คนขับรถไม่ทันได้เดินมาเปิดประตูรถให้เหมือนอย่างเคย ส่วนเมฆาก็รีบขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างเบาะคนขับ ทันใดนั้น! ก็เหลือบไปเห็นสกังก์วิ่งร้อนรนมาแต่ไกล จึงรีบเร่งให้คนขับออกรถทันที

“เฮ้อ~ผู้หญิงน่าเบื่อแบบนี้ทุกคนเลยหรือไงวะ” บ่นพึมพำตามประสา แต่ไอ้เมฆาดันนั่งขบขันเบาๆอยู่ด้านหน้า ผมใช้เท้ากระแทกใส่เบาะที่มันนั่งอยู่

“ตลกอะไร...มีอะไรตลกมากนักหรือไง” เสียงหงุดหงิดเอ่ยพร้อมกับถีบเบาะรถหนังแท้เกรดพรีเมี่ยม

“เปล่าครับศาสตราจารย์” เสียงละห้อยทำให้ผมต้องใจอ่อน เปลี่ยนมานั่งกอดอกไขว้ห้างแทน

“เบื่อมากนักก็เลิกเป็นหมอสิ” เสียงแผ่วเบาบ่นอยู่ด้านหน้า ทำให้ผมเบิกตาโพลง

“ไอ้เมฆา มึงพูดว่าอะไรนะ!!” ผมสบถคำหยาบเมื่อไหร่ นั่นแสดงว่าความโกรธทะลุถึงร้อยองศาพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น เมฆามันรู้ดีว่าผมเป็นตระกูลมาเฟีย มันจึงรีบหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มแก้มปริ ใช้น้ำเย็นเข้าสู้

“ผมแค่พูดว่า ถ้าศาสตราจารย์เบื่อมากนัก ทำไมไม่ลองไปทำอย่างอื่นบ้างล่ะครับ เช่น ไปเป็นอาจารย์เจอเด็กวัยรุ่นอะไรแบบนี้” คำพูดของมันได้ผล ผมกลับใจเย็นลงราวกับคนละคน

“ห๊ะ! ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องเป็นอาจารย์”

“พอดีเพื่อนผมมันได้เป็นอธิการบดีในมหาลัยตั้งแต่ยังหนุ่ม มันกำลังหาอาจารย์ไปสอนภาษาอังกฤษอยู่ ผมก็เลยลองๆพูดกับศาสตราจารย์ก็เท่านั้น”

“ผมเนี่ยนะ!...เป็นถึงหมอใหญ่จบนอก มีความรู้ความสามารถเรียกว่าอัจฉริยะก็ว่าได้ ให้ไปสอนแค่ภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นเคมมิสทรีหรือไบออโลจีสะยังจะดีกว่า พอจะเหมาะสมกับผมหน่อย”

“ครับๆ คงไม่ได้สินะ” เมฆาหันกลับไปนั่งปกติ

‘อาจารย์เหรอ...ปกติก็สอนพวกหมอฉลาดๆอยู่แล้ว อธิบายแค่ครั้งเดียวพวกหมอก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องอธิบายซ้ำ จะให้ลดตัวไปสอนพวกเด็กมหาลัยสมองพื้นๆเนี่ยนะ...ไม่เอาด้วยหรอก’

ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง

รถเบนซ์คันหรูก็มาถึงยังโรงพยาบาลใจกลางเมืองอยุธยา เหล่าหมอและพยาบาลต่างพากันยืนต้อนรับกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้บริหารของทางโรงพยาบาลที่มาต้อนรับด้วยตัวเอง เมื่อทักทายกันเสร็จ ผมก็ให้เริ่มสัมมนาเรื่องสอดกล้องทันที เพื่อไม่ให้เสียเวลา หากมีแพทย์คนไหนจะเอ่ยถามในช่วงหลังจบการบรรยาย

เวลาล่วงไปถึงสองชั่วโมง ในที่สุดการบรรยายก็เสร็จสิ้นในช่วงแรก ผมขอตัวมาเดินรับลม เพื่อเตรียมตัวที่จะบรรยายต่อในรอบบ่าย

“ผมจะไปน้ำอุ่นมาให้นะครับศาสตราจารย์” เมฆาเอ่ยบอกในขณะที่ผมกำลังถอดเสื้อสูทตัวนอกส่งไปให้เขา “อืม”

ผมเดินเล่นตามสวนหย่อมหน้าโรงพยาบาล หาที่ปลอดคนเพื่อให้สมองผ่อนคลาย ทันใดนั้น! ก็ได้ยินเสียงเรียก จึงได้รีบวิ่งไปดูต้นเสียง พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางร้อนรนกำลังช่วยยายตัวเอง ผมไม่รีรอที่จะรีบเข้าไปช่วย

ตัดมาปัจจุบัน

ในขณะที่กำลังดูอาการคนไข้อยู่ จู่ๆก็มีตำรวจเข้ามาโวยวายถึงในห้องฉุกเฉิน ไม่มีใครสักคนที่จะเข้ามาดุด่าหรือห้ามเขา อย่างกับกลัวอะไรอย่างนั้นแหละ แต่ก็พอเดาได้ คนมียศอุกอาจถึงขนาดนี้ จะต้องมีอิทธิพลในโรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่กับเชื้อสายมาเฟียอย่างผม

“ฉิบหาย! ยายผมเลือดออกด้วย!!” เขาชี้ไปที่หน้าอกของคนไข้ มีเลือดติดอยู่ที่เสื้อของเธอจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เลือดคนไข้ แต่เป็นเลือดยัยเด็กกะโปโลนั่นต่างหาก

“ใคร!...คุณเป็นใคร” เสียงกดต่ำเอ่ยพร้อมกับยืนกอดอกประจันหน้ากับคนในเครื่องแบบ

“คุณล่ะเป็นใคร ไม่รู้เหรอว่าผมเป็นตำรวจคุมที่นี่” สีหน้าเหยียดๆมองผมไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยืนทิ้งขาข้างนึง ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เลิกคิ้วรอให้ผมตอบ

“ถ้าไม่ใช่ญาติคนไข้ เชิญออกไปครับ” ผมเอ่ยสั้นๆประโยคเดียวเน้นทุกคำให้ชัดเจน แล้วสะบัดหน้าหันมาตรวจคนไข้ต่อ

“นั่นยายกู!!” คนขี้โมโหคงเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่จริงๆ ถึงกับสบถออกมาเป็นคำหยาบ

“เหรอ...งั้นเชิญญาติคนไข้ไปรอข้างนอก มันรบกวนการตรวจของหมอ หากผิดพลาดขึ้นมา ญาติคนไข้ต้องรับผิดชอบเองนะครับ” ผมเอ่ยในขณะที่กำลังปรับสายน้ำเกลือให้คนไข้ เดี๋ยวนะ! นายตำรวจคนนี้เป็นหลาน แล้วยัยเด็กนั่นล่ะ เป็นอะไรกับคนไข้

“....” ทุกคนเงียบราวกับอยู่ในป่าช้า คนวางกล้ามคงหน้าชาเถียงอะไรไม่ออก เดินกระแทกรองเท้าคอมแบทออกไป พร้อมกับแฟนสาว ‘โธ่ๆคิดว่าจะแน่สักแค่ไหน’

แปะ! แปะ! จู่ๆเสียงปรบมือก็ดังไปทั้งห้องฉุกเฉิน ผมละสายตาจากคนไข้ กวาดสายตามองรอบๆ ทั้งหมอทั้งพยาบาล รวมถึงคนไข้เตียงอื่นต่างพากันยิ้มหน้าบาน

‘ไม่เห็นต้องดีใจอะไรกันขนาดนั้น ว่าแต่เด็กคนนั้นล่ะ เธอไปไหนแล้ว’

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาผมกลับชะเง้อมองหาเด็กคนนั้น รู้สึกเป็นห่วงมือเธอที่มีเลือดออก ไม่รู้แผลนั่นไปโดนอะไรมา

“ศาสตราจารย์เก่งไปเลยครับ ไล่ตำรวจคนนั้นออกไปได้ นับถือๆ” หมอที่ยืนตรงข้ามผมเอ่ยพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ มือหนาเสยผมตัวเอง ก่อนจะหันไปตอบเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แค่เรื่องธรรมดา”

“กรี๊ดศาสตราจารย์เท่ไปเลยค่ะ” เสียงพยาบาลต่างพากันร้องแว้ดๆ น่ารำคาญ ผมจึงหันมาตรวจคนไข้ต่อ

“น้ำตาลในเลือดคนไข้สามร้อยห้าสิบเจ็ดค่ะศาสตราจารย์” พยาบาลคนที่พึ่งเดินเข้ามาเจาะเลือดคนไข้เอ่ยแทรกขึ้น

“น้ำตาลในเลือดยังเป็นอันตรายอยู่ คงต้องฝากหมอเจ้าของคนไข้ดูแลเป็นพิเศษ”

ใช่ครับ! คนไข้เป็นของหมอท่านอื่น ถึงแม้ผมจะเป็นถึงศาสตราจารย์ที่ต่างพากันนับหน้าถือตา แต่ก็ไม่อาจจะก้าวก่ายการรักษาได้ นอกจากแค่ดูอาการเบื้องต้นก็เท่านั้น

ไม่นานหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจอาการ ผมจึงหลีกทางหลบไปยืนปลายเตียงแทน แต่สายตากลับชำเลืองหาเด็กคนนั้น ในเมื่อเป็นญาติคนไข้ เธอต้องนั่งรออยู่แถวนี้แน่ๆ

“โชคดีนะคะที่ศาสตราจารย์ช่วยคนไข้ได้ทันเวลา” หมอจารุณีเจ้าของคนไข้เอ่ยพร้อมกับหันมาส่งยิ้มอ่อนๆ

“เพราะญาติคนไข้ต่างหากที่ตะโกนร้องเรียก ไม่งั้นผมคงไม่ได้ยิน”

“ศาสตราจารย์หมายถึงเด็กผู้หญิงที่พันผ้าก๊อซใช่ไหมครับ” หมอผู้ชายเอ่ยแทรก

“อื้ม เด็กคนนั้นแหละเป็นคนตะโกนเรียก แถมยังทำCPRแบบผิดๆอีก ดีนะคนไข้ไม่เสียชีวิตไปสะก่อน” ผมเอ่ยแกมทีเล่นทีจริง นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วอดขำออกมาไม่ได้

“ไม่ใช่ครับศาสตราจารย์ นั่นไม่ใช่ญาติคนไข้ แต่เธอเป็นคนไข้ครับ แผลที่มือเธอ ผมเป็นคนเย็บให้เอง เพราะเธอโดนจานกระเบื้องบาดมาเย็บไปตั้งห้าเข็มแหนะ ศาสตราจารย์เข้าใจผิดแล้ว”

“....” ผมยืนนิ่ง คิดตามในสิ่งที่หมอคนนั้นเอ่ยบอก ‘แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ญาติ แต่กลับเข้าไปช่วยคนแปลกหน้าเนี่ยนะ แถมตอนนั้นหน้าเธอก็ดูเป็นกังวลเป็นห่วงมากด้วย ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอทั้งนั้น จะบ้าตาย!’ มือหนากุมขมับตัวเอง พร้อมกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอ “หึ!”

“ศาสตราจารย์หัวเราะอะไรเหรอคะ”

ผมได้ยินเสียงเอ่ยถาม ทำให้ได้สติ เอามือลงเปลี่ยนไปล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

“เปล่า...ไม่มีอะไร หมดเรื่องแล้ว ผมคงต้องไปสัมมนาต่อ”

ผมเอ่ยจบก็รีบเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไม่ได้เดินไปตึกสัมมนา แต่กลับเดินมายังหน้าเคาน์เตอร์ที่เป็นจุดลงประวัติของคนไข้

“กรี๊ดศาสตราจารย์สวัสดีค่ะ...ฉันเป็นแฟน..เฮ้ย! หมายถึงคนติดตามอ่านงานวิจัยของศาสตราจารย์บ่อยๆนะคะ” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นักศึกษาแพทย์ก็กระดี๊กระด๊าขึ้นมาอย่างระงับความดีใจไว้ไม่อยู่

“แฮ่ม! ครับๆ” ผมตอบแบบขอผ่านไปที เธอคงอ่านสีหน้าผมออก จึงเงียบไป

“ศาสตราจารย์มีอะไรให้ฉันช่วยมั๊ยคะ” นั่นคือประโยคที่ผมรออยู่

“อยากจะดูประวัติคนไข้ที่เข้ามาเย็บแผลที่มือหน่อย”

“ชื่ออะไรเหรอคะ”

“ถ้ารู้แล้วผมจะมาถามคุณเหรอ”

“ขอโทษค่ะ”

“ช่างเถอะๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่น น่าจะเข้ามาห้องฉุกเฉินก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมง อ๋อ! ใส่เสื้อยืดสีขาว ปล่อยผมยาว ท่าทางเซ่อซ่า ไม่แต่งหน้า ตัวสูงระดับอกผมได้มั้ง คุณช่วยเช็คประวัติเธอให้หน่อย”

น่าแปลกที่ผมกลับจำรายละเอียดของเธอได้แม่นเพียงแค่เจอกันครั้งแรก เด็กเหรอ...เธอเด็กจริงๆนั่นแหละ

“....” นักศึกษาแพทย์ยืนทำหน้างง เลิกคิ้วด้วยความฉงน หันไปมองเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “จำได้ไหมว่าคนไข้คนไหน”

“เด็กผู้หญิงที่พึ่งช่วยคนไข้ที่เป็นเบาหวานเมื่อกี้ไง” ผมเอ่ยย้ำอีกครั้งพยายามให้ข้อมูลกับพวกเธอ แล้วมันก็เป็นผล เพราะพวกเธอ “อ๋อ!” ขึ้นมาพร้อมกัน

“น้องคนนั้นนี่เอง ศาสตราจารย์รอสักครู่นะคะ”

“....” ผมตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย รออย่างใจจดใจจ่อ ไม่คิดว่าเวลาแต่ละวินาทีจะนานขนาดนี้มาก่อน

“เจอแล้วค่ะ” นักศึกษาแพทย์ส่งกระดาษที่เขียนด้วยลายมือมาให้ ผมคว้ามาอ่านในทันที

‘ชื่อทัดดาว อายุ19ปี’

“แค่นี้! กระดาษเอสี่กลับมีข้อมูลคนไข้แค่สองบรรทัดเนี่ยนะ!!” คนขี้หงุดหงิดแหงนไปถามนักศึกษาแพทย์ด้วยเสียงตวาด

“ขอโทษค่ะ คนไข้เข้ามาห้องฉุกเฉิน บวกกับต้องเย็บมือข้างที่ถนัด ทำให้เธอเขียนประวัติได้แค่นั้น” เสียงสั่นเครือตอบในขณะที่กำลังกลั้นน้ำตาไว้ คนขี้หงุดหงิดเห็นท่าทางน่าสงสาร เลยรีบปรับอารมณ์ให้ปกติ

“ช่างเถอะๆ ขอบใจมาก” ผมยื่นเอกสารกลับไปให้เธอ แล้วเดินไปยังตึกสัมมนา

‘ทัดดาวเหรอ...อายุ19 น่าจะเรียนปีหนึ่งอยู่สินะ...เด็กสมัยนี้ดูภายนอกเซ่อซ่า แต่จริงๆแล้วกลับมีน้ำใจเหมือนเธอทุกคนหรือเปล่า...เรื่องไปเป็นอาจารย์สอนน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel