ตอนที่6 ละลาย
และแล้วก็เปิดเรียนวันแรก
ฉันแต่งตัวด้วยเสื้อนักศึกษาตัวหลวม กระโปรงพลีทปิดถึงหัวเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาว แต่งหน้าเบาๆแค่แป้งฝุ่นผสมกันแดด ทาลิปมันบางๆป้องกันปากแห้ง มัดผมส่วนบนกลางศีรษะ ปล่อยส่วนล่างยาวสยาย ไม่ลืมที่จะหยิบสมุดบัญชีเล่มหนาติดตัวไปด้วย เดินประมาณหนึ่งกิโลเมตรก็ถึงมหาลัยของฉัน
‘อื้ม~ไม่คิดว่าเปิดเรียนวันแรกนักศึกษาจะเยอะขนาดนี้’ ฉันถึงกับต้องบ่นออกมา เพราะตั้งแต่ประตูทางเข้ามหาลัยลากยาวมาถึงตึกหน้าคณะกลับเต็มไปด้วยนักศึกษาผู้หญิงที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกัน ทั้งม้าหินอ่อนตัวประจำก็ดันถูกพวกเธอยึดไปครอง ฉันจึงต้องยืนหลบใต้ต้นไม้ใกล้ๆ รอให้ถึงเวลาเข้าเรียน
“น่าเสียดายเนอะที่พวกเราลงเรียนengไม่ทัน”
“นั่นดิ ใครจะไปคิดว่าอาจารย์คนใหม่จะดูดีขนาดนั้น”
“ใช่ๆ จะจ้างใครถอนวิชาออก แล้วฉันเสียบแทบได้บ้างไหมเนี่ย เสียดายชะมัด”
บนสนทนาที่ฉันได้ยินพวกเธอเอ่ยกัน วิชาengที่ว่าอย่าบอกนะว่าเป็นตัวเดียวกับที่ฉันลงไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู กดเข้าไปหน้าลงทะเบียน
พระเจ้าจอร์จ!! ตอนแรกที่ลงเรียนกันแค่หกคน ตอนนี้กลับกลายเป็นแปดสิบคนเต็มคลาส แถมยังขึ้นเป็นตัวอักษรสีแดงห้ามถอนรายวิชาออกอีก นี่มันอะไรกัน...เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้พวกเธอนินทาถึง ‘อาจารย์คนใหม่’ ใช่ไหม ฉันจึงเข้าไปหาข้อมูลของคณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ดูข้อมูลอาจารย์ทุกคน และรายวิชาที่พวกเขากำลังสอนอยู่ ทว่า! กลับไม่มีรายละเอียดอาจารย์คนใหม่ที่พวกเธอพูดถึงเลย เป็นไปได้ไหมว่าพวกเธอจะเข้าใจผิด
“พวกเราไม่ได้ลงเรียน แต่แอบเข้าไปในคลาสได้ไหม ฉันอยากเห็นอาจารย์ใกล้ๆ”
“อย่าแรดให้มันมากนัก...เพราะฉันเองก็คิดแบบหล่อนค่า ฮ่าฮ่า”
‘อะไรจะกรี๊ดกร๊าดกันขนาดนั้น พ่อแม่ส่งให้มาเรียน ไม่ใช่เอาเวลามานั่งดูอาจารย์สักหน่อย คิดได้แค่นี้เหรอ’ แน่นอนว่านั่นคือคำพูดที่ฉันเอ่ยกับตัวเองในใจ ใครจะกล้าพูดโง่ๆให้มีเรื่องล่ะ
จู่ๆก็มีคนมาสะกิดไหล่ซ้ายจากทางด้านหลัง ฉันหันกลับไปมอง ทว่ากลับว่างเปล่า
“แฮร่!!” ชายหนุ่มมาแลบลิ้นปริ้นตาให้ฉันอีกฝั่ง ฉันลอบถอนหายใจ เพราะเขาคนนั้นคือ เจษ เพื่อนร่วมคลาสของฉันเอง
“ดาวเห็นยังว่าคลาสภาษาอังกฤษที่ลงไว้เต็มแล้ว ดีนะที่ผมลงทันด้วย”
“อืม เห็นแล้ว” ฉันตอบเขาในขณะที่กำลังหันมาเก็บมือถือใส่กระเป๋าสะพายข้าง
“เริ่มเรียนอาทิตย์หน้าดาวรู้แล้วใช่ไหม”
“อื้ม รู้แล้ว ขอตัวก่อนนะ ฉันจะไปเข้าห้องเรียน” ฉันเดินจากมาเลย ไม่รู้สิฉันต้องพูดอะไรต่อเหรอ ทักทายกันธรรมดาก็น่าจะพอแล้วใช่ไหม ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเขา..ไม่อยากรู้เรื่องอะไรของเขาด้วย
หลังเลิกเรียน...
“จะกลับแล้วเหรอ?”
เจษถามในขณะที่ฉันกำลังจะผลักประตูออกจากห้องเรียนเป็นคนแรก แน่นอนว่าเพื่อนในห้องยังคงจับกลุ่มคุยกันอยู่ ฉันพยักหน้ารับ
“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ”
“ว่าจะไปซื้อของนะ”
“เอาร่มมาด้วยเปล่า วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝน...” เขาเอ่ยในขณะที่กำลังก้มไปหยิบอะไรสักอย่างจากกระเป๋าที่วางอยู่ใกล้โต๊ะเลคเชอร์ ฉันไม่อยากฟังต่อ จึงเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้มหาลัยที่สุด เพื่อซื้อของจำเป็น นั่นก็คืออาหารสด ไว้ทำกับข้าวกินเอง ทั้งประหยัดและอร่อยถูกปากด้วย
...19.00 น.
ฉันซื้อของเพลินไปหน่อย สรุปซื้อแค่เนื้อหมูมาเท่านั้น เวลาหลายชั่วโมงในห้างหมดไปกับการที่ฉันเดินคิดเมนูในหัว และเมื่อจะกลับห้อง ถึงได้รู้ว่าฝนกำลังตกหนักมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฟ้าร้องเป็นระลอกๆดูท่าทางจะไม่หยุดตกง่ายๆ ส่วนหน้าห้างตรงริมฟุตบาทฝั่งถนนมีน้ำท่วม ฟังไม่ผิด! ในกรุงเทพนี่แหละที่น้ำท่วมเพราะระบายน้ำออกไม่ทัน ทำให้รถติดเป็นขบวน ขยับเคลื่อนทีละนิดอย่างกับมดที่กำลังเดินเป็นแถว ‘แล้วเมื่อไหร่ฉันจะถึงห้องล่ะ’ ฉันตัดสินใจยอมเดินผ่าฝนมายืนหน้าห้างตรงป้ายรถเมล์ที่ฝูงคนกำลังหลบฝนอยู่ เพื่อรอเรียกแท็กซี่ ถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่าอีกนานกว่าจะมีแท็กซี่วิ่งผ่านมาสักคัน ก็ยังดีกว่าให้ฉันเดินกลับหอพักกลางสายฝนจริงไหม
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...
ฝนที่ตกหนักก็กลายเป็นตกปรอยๆ ท้องถนนที่น้ำท่วมขังก็ค่อยๆไหลระบายออก รถที่ติดแออัดก็เริ่มวิ่งได้สบาย จนตอนนี้ถนนกลายเป็นโล่ง...โล่งแบบไม่มีรถวิ่งมาเส้นนี้เลย ‘ฉันจะกลับหอยังไงเนี่ย หนักกว่าเก่าอีก’
วินาทีนี้พึ่งจะมีรถเมล์วิ่งผ่านมาแค่คันเดียว ผู้คนที่ยืนรอกันอยู่ ต่างพากันเบียดเสียดแย่งกันขึ้นไปอัดกันในรถ แล้วในที่สุดก็เหลือเพียงฉันกับถุงหมูสดในมือที่ยังคงยืนรอแท็กซี่ให้วิ่งผ่านมา ถึงจะมีผ่านมาบ้างแล้ว แต่ก็ขึ้นป้ายไม่ว่างกันทั้งนั้น ฉันก็ทำได้เพียงรอต่อไป ไม่รู้คืนนี้จะถึงห้องก่อนเที่ยงคืนหรือเปล่า
ขณะที่กำลังยืนถอนหายใจพลางก้มมองพื้น ใช้ปลายรองเท้าผ้าใบขีดเขี่ยน้ำบนพื้นเล่น ก็ได้ยินเสียงทักขึ้น “จะไปไหนจ๊ะน้องสาว” เสียงหยอกเย้าที่ทำให้ฉันต้องแหงนไปมองต้นเสียง นั่นเป็นชายวัยรุ่น ผิวคล้ำ ไว้หนวด ตัวผอมสูง สวมใส่เสื้อช็อปสีเลือดหมู เหมือนกับเรียนมหาลัยช่าง เอาเหอะ! ฉันไม่รู้จักเขา...เขาคงไม่ได้ถามฉันหรอกมั้ง เพื่อให้แน่ใจ ฉันหันกลับไปมองด้านหลัง ดูว่าเขาพูดกับใคร แต่กลับว่างเปล่า เพราะมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่
“พี่ถามน้องนั่นแหละ” เขาไม่เอ่ยเปล่า กลับเดินตรงเข้ามาหาฉัน
“....” บรรยากาศชวนอึดอัดสุดๆ ทั้งที่มีแสงสว่างจากป้ายโฆษณาด้านหลังสว่างจ้า มันก็ยังดูวังเวงเพราะหน้าตาของชายแปลกหน้าที่เข้ามาทัก
“พี่ถามว่าน้องจะไปไหนเหรอ” ดูเหมือนเขาจะเริ่มไม่พอใจ ที่ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา จึงพยายามกดเสียงต่ำถามอีกครั้ง
“กะ..กำลังรอแท็กซี่”
“อ๋อ...” เขาเอ่ย พร้อมกับพ่นลมหายใจลากยาว อย่างกับโรคจิต ท่าทางเขาน่ากลัว บวกกับตรงนี้ไม่มีใครด้วย ฉันกลัวฉันจะร้องไห้แล้วนะ...
“ให้พี่ไปส่งไหม”
“อือ! ไม่เป็นไร” ฉันเอ่ยพร้อมกับกำลังหันหลังเพื่อเดินหนี
ทว่า! มือหนากับก้าวเข้ามาคว้ามือฉันไว้ ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด มืออีกข้างที่ถือถุงหมูอยู่ก็หันกลับไปเหวี่ยงใส่หัวเขาเต็มๆ ฉิบหาย!! เขาถึงกับปล่อยมืออัตโนมัติ ซวนเซถอยหลังพร้อมกับเอาอีกมือกุมขมับบริเวณที่ถูกหมูเหวี่ยงใส่
“ขะ..ขอโทษค่ะเป็นอะไรไหม” ถึงฉันจะแอบเป็นห่วง แต่ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปใกล้คนน่ากลัว
“หนอย!! อีตัว! กล้าทำกูเหรอ...มึงก็แค่อีตัวอย่ามาทำเป็นหวงตัวนักเลย”
“อีตัว?”
สายตาของเขามองต่ำไล่จากใบหน้าลงไปเรื่อยๆเป็นคำตอบ ฉันก้มหน้าลงมองการแต่งกายตัวเอง เบิกตาโพลงก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ
“ว้าย!!” มือสองข้างยกปิดหน้าอกในทันที เพราะเสื้อนักศึกษาตัวสีขาวโดนน้ำเปียกจนแนบเนื้อเผยให้เห็นบราเซียตัวสีดำลายลูกไม้ เพราะแบบนี้สินะเขาถึงเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็น ’คุณตัว’
แต่เมื่อเขาเห็นฉันกำลังเผลอ ก็ก้าวขายาวๆเข้ามาหาฉันอีกครั้ง กระชากมือบางข้างนึงชูขึ้นระดับใบหน้าเขา
“หอพี่อยู่ใกล้ๆ พวกเราไปสนุกกันดีกว่า”
“ไม่นะ!! ปล่อยฉัน...ฉันไม่ไป ฉันไม่ใช่คุณตัว ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่า!!” เสียงแหลมตะโกนดังแข่งกับหยดฝน พร้อมกับพยายามสะบัดมืออย่างแรง แต่มีเหรอที่จะสู้แรงผู้ชายได้ ยิ่งสะบัดเขาก็ยิ่งบีบแรงขึ้น และดูเหมือนเขาจะได้ใจ ยืนหยักยิ้มมุมปาก พร้อมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ที่เห็นฉันทำอะไรไม่ได้
ทันใดนั้น!
ก็ปรากฏเงาร่างสูงถือร่มยืนอยู่ระหว่างกลาง เขาบังแสงป้ายโฆษณาสะมิด ฉันหยุดชะงักหันไปมองว่าคือใคร แต่ยังไม่ทันเห็นหน้าชัดๆ เขาก็หันไปหาผู้ชายที่กำลังบีบมือฉันอยู่
“คิดจะทำอะไรผู้หญิงคนนี้” เสียงกดต่ำทำให้ฉันรู้สึกคุ้นหู
“มึงเป็นใครวะ อย่ามายุ่งเรื่องผัวเมียเขากำลังง้อกันอยู่!!”
“ไม่จริงค่ะ ฉันไม่รู้จักผู้ชายคนนี้” ฉันรีบเอ่ยแทรก ตอนนั้นชายน่ากลัวก็ออกแรงกระชากตัวฉันเข้าไปหาเขา แต่คนมาใหม่กลับคว้ามือเขาก่อน แล้วบิดข้อมือเขาจนต้องยอมคลายออกจากมือฉัน ร่างสูงค่อยๆก้าวเข้ามายืนแทรกตรงกลางหันหลังให้ ยิ่งเห็นแผ่นหลังกว้างก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคุ้น
“โอ๊ย! ปล่อยกู...ปล่อยสิว่ะ..กูเจ็บ..ซี๊ดส์!” ชายน่ากลัวใบหน้าเหยเก แสดงความเจ็บอย่างเห็นได้ชัด แล้วชายคนใหม่ก็ผลักมือเขาไปอย่างแรง ทำให้เซถอยหลังล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปบนแอ่งน้ำขังเปียกไปทั้งตัว
“รีบไสหัวไปสะ ก่อนที่ผมจะเรียกตำรวจ” คำขู่ร่างสูงเป็นผล ชายน่ากลัวพยายามลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชี้หน้าเขาเหมือนจะขู่กลับ แล้วรีบวิ่งหนีไปโดยไม่กล้าหันหลังกลับมาอีก
“ขอบคุณนะคะที่เข้ามาช่วยฉันไว้” ฉันรีบเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้เป็นการขอบคุณ เสี้ยวใบหน้าเขาหันมามองฉัน ทำให้เห็นได้ชัดขึ้นว่าเขาสวมแว่นสายตา
“หัดระวังตัวสะบ้างสิ” เขาเอ่ยพร้อมกับหันกลับมา แสงไฟจากป้ายโฆษณาช่วยให้ฉันได้เห็นใบหน้าเขาถนัดขึ้น นัยน์ตาสีนิลภายใต้แว่นตากำลังฉายแววคมปลาบยิ่งกว่าใบมีด คิ้วสีดำที่เรียงเส้นสวย จมูกโด่งคมเป็นสันลากยาวถึงปลายจมูกมน ริมฝีปากหนาหยักได้รูปสีชมพูอ่อน สันกรามเรียวสวยราวกับไปเหลามาก็ไม่ปาน ทุกอย่างบนใบหน้าเข้ากันได้ดีกับเส้นผมหนาสีดำขลับที่กำลังสะท้อนวิบวับตามสีป้ายโฆษณา ประกอบกับชุดสูทภูมิฐานที่เขาสวมใส่อยู่ ชวนให้ทุกอย่างดูน่ามอง น่าค้นหาในแบบฉบับหนุ่มใหญ่ ใช่...เขาทั้งหล่อ..ทั้งมีเสน่ห์จนทำให้ฉันแทบจะหลอมละลายสะตรงนี้ ตึกตัก!! หัวใจเจ้ากรรมเต้นเบาๆหน่อย เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก แต่น่าแปลกที่ในเสี้ยวความรู้สึกกลับเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน
“ไม่ได้ยินที่ผมพูดเหรอ”
“คะ..อ่ะ..เออ ได้ยินค่ะ” ฉันถึงกับพูดติดอ่าง เมื่อเขาหรี่ตามองฉันราวกับกำลังกระชากวิญญาณ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อ เขาก็หันกลับแล้วเดินจากไป ร่างกายฉันราวกับไม่ใช่เป็นของตัวเอง รีบวิ่งตามเข้าไปติดๆ คว้าชายเสื้อสูทห้ามเขาไว้ก่อนที่จะเดินห่างไปไกล
“พวกเราเคยเจอกันหรือเปล่าคะ”
ร่างสูงหันกลับมาหาฉัน ด้วยใบหน้านิ่ง
“เด็กสมัยนี้ยังใช้มุกเก่าๆจีบผู้ชายกันอีกเหรอ”
“จะ...จีบเหรอ?”
“ไปกินข้าวกันไหม ผมกำลังหิวอยู่พอดี” แววตาเย็นเยียบถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยน เล่นเอาฉันเกือบจะหยุดหายใจเมื่อจ้องสบตากับเขาเต็มๆ ‘ไม่เป็นไรแน่นะ...ถ้าฉันไปกับเขา’
“เงียบไปแบบนั้น คงไม่ได้สินะ งั้นก็กลับระวังๆด้วย” เขาหันกลับไปอีกครั้ง
“ไปค่ะ...ฉันไป” ไม่รู้เอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากไหน ดันตอบพรวดพราดออกไปทันที ร่างสูงหันกลับมาหาฉัน มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงแม้จะไม่ใช่สายตาลามก แต่มือฉันก็ยกปิดหน้าอกตัวเองอัตโนมัติ
“งั้นรีบไปกันดีกว่า” ร่างสูงไม่เอ่ยเปล่า กลับคว้ามือฉันให้เดินตามเขาไป
เอ๊ะ! เขาจะพาฉันไปไหน ไม่ใช่ว่าจะพาเข้าโรงแรมแถวนี้หรอกใช่มั๊ย...ฉันคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่ยอมเดินตามผู้ชายที่พึ่งจะเจอกันครั้งแรกอย่างว่าง่าย...เพราะความหล่อเป็นเหตุจริงๆ
