บทที่ 3 ข้าจะให้พี่ชายหย่ากับนาง!
เมิ่งเสี่ยวหรันคิดว่าตนเองจะได้พักแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับต้องเร่งรีบเตรียมตัวเพื่อไปงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนท่านเจ้าเมือง นางแค่มาที่นี่ตามคำสั่งของแม่สามี ตั้งใจจะอดทนต่อการรังแกจากคนอื่นๆ และสร้างความรำคาญจนสามีหาทางส่งตัวนางกลับเมืองหลวงโดยที่ชื่อเสียงของนางยังคงดีงามไม่ด่างพร้อย นั่นจึงจะนับว่าเป็นปณิธานสูงสุด
หนึ่งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่านางเป็นภรรยาเอกที่ประพฤติอยู่ในกรอบและน่าสงสาร
สองทำให้สามีรำคาญให้ได้มากที่สุด
เมื่อก้าวมาถึงหน้าประตูจวนก็พบว่าเล่อเข่อซิงและหยวนฮูหยินออกมารออยู่ก่อนแล้ว นางรู้ข่าวตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่าเขามีสตรีในดวงใจ ดังนั้นจะมีคนโง่ที่ไหนอยากได้สามีที่รักมั่นต่อหญิงอื่นจนถึงขั้นวางอุบายเพื่อให้ได้แต่งงาน แต่ก็นั่นแหละ...ดูเหมือนสมองของเว่ยเฉวียนจะมีปัญหาจึงไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องนี้
วันนี้เล่อเข่อซิงสวมคลุมผ้าไหมเจียงหนานตัวสั้นสีชมพูอ่อน ตรงชายเสื้อและแขนเสื้อล้วนปักลายขั้วผลท้อ กระโปรงแปดจีบสีเหลืองปักลายกลีบดอกท้อ ยามเยื้องย่างจึงดูพลิ้วไหวน่ามอง บนศีรษะประดับปิ่นโมรา นางสวมต่างหูทองคำแท้แกะสลักลวดลายดอกไม้ ทั่วทั้งตัวฉาบไปด้วยรัศมีความน่ารักสดใสสมกับเป็นหญิงสาวที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นได้ไม่กี่วัน ต่างจากเมิ่งเสี่ยวหรันที่เลือกโทนสีเย็นตา เสื้อคลุมตัวสั้นเหมือนกันแต่เป็นสีท้องฟ้ายามสางเหมือนพุงปลากับกระโปรงสีครามเข้มจับจีบซ้ายขวา ขับให้ผิวกายเนียนขาวผ่องละเอียดดุจกลีบดอกไม้ เรือนผมดำขลับถูกเกล้าเป็นมวยเรียบง่าย เผยให้เห็นเครื่องหน้าประณีตราวกับช่างฝีมือชั้นเลิศค่อยๆ บรรจงแต่งแต้ม แลดูงดงาม แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความอ่อนหวานถ่อมตน
เมื่อยืนใกล้กันจึงเห็นได้ว่าเล่อเข่อซิงดูจะกลายเป็นเด็กน้อยลงทันใด แต่นางกลับชอบใจเพราะยิ่งเป็นเช่นนี้เว่ยเฉวียนก็จะยิ่งรู้สึกเอ็นดูตน
ทว่าความดีใจที่ฉายชัดบนใบหน้าคงอยู่ได้ไม่นานเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ก้าวออกมากลับสวมเสื้อผ้าสีครามเฉกเช่นผู้เป็นฮูหยินเอก หล่อเหลางดงามสมกันยิ่ง
“พี่ชายจะไปพร้อมกับพวกเราเลยหรือไม่เจ้าคะ” เล่อเข่อซิงปรี่เข้ามาจับมือหนาเขย่าไปมา “ท่านนั่งรถม้าไปกับพวกข้านะเจ้าคะ”
“เจ้าไปกับท่านน้าเถอะ ข้าตั้งใจจะขี่ม้าเพราะขากลับยังต้องเข้าไปตรวจค่ายทหาร”
“งั้นข้าขอตามไปด้วย” นางยิ้มประจบพลางยักคิ้วหลิ่วตา “ข้าให้สาวใช้เตรียมชุดไปเปลี่ยนหลังเลิกงานแล้วขี่ม้าไปกับท่านนะเจ้าคะ”
“เจ้าอยากไปแน่หรือ” ปากเขาถามนาง แต่สายตากลับเหลือบไปมองสตรีที่แสร้งยืนก้มหน้าน้อยๆ ด้วยท่าทางสำรวม นางกำลังแสดงให้ผู้ใดดูกัน คิดว่าเขาไม่เข้าใจแผนการของนางหรือ เมื่อวานพ่อบ้านก้วนมาแจ้งแล้วว่าเมิ่งเสี่ยวหรันส่งสาวใช้มาถามว่าเตรียมชุดแบบใดสีอะไรไว้ให้เขา เว่ยเฉวียนใช้ชีวิตอยู่ในจวนโหวที่อนุภรรยาชิงดีชิงเด่นแย่งชิงความโปรดปรานย่อมต้องเคยผ่านหูผ่านตาอุบายตื้นๆ เหล่านี้
เมิ่งเสี่ยวหรันย่อมไม่สนใจบทสนทนาของพวกเขา ตอนนี้นางแค่แสดงให้ผู้คนโดยรอบเห็นว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกรังแกก่อนก็เท่านั้น เมื่อแสดงบทบาทได้ตามต้องการ นางก็คร้านจะยืนคอยจนเมื่อยขาจึงย่างเท้าขึ้นรถม้าก่อนเป็นคนแรก
จวนของท่านเจ้าเมืองอยู่ห่างจากจวนผู้บัญชาการเพียงสองช่วงถนน นั่งรถม้าไม่นานพวกเขาก็มาถึงงาน เพียงเว่ยเฉวียนก้าวเข้าไปด้านในก็มีแต่คนออกมากล่าวทักทาย ราวกับชายหนุ่มเป็นตัวดึงดูดผู้คนก็ไม่ปาน ด้วยธรรมเนียมทางใต้มิได้เคร่งครัดนัก ในงานจึงมิได้จัดแบ่งเป็นฝั่งบุรุษหรือสตรี ครั้นเห็นนางก้าวตามหลังเขาเข้ามาจึงพาให้ผู้คนแปลกใจไม่น้อย สตรีบางคนถึงขั้นมองระหว่างนางกับเล่อเข่อซิงที่อยู่อีกด้านของสามีสลับไปมาจนลูกตากลอกกลิ้ง แลดูตลกยิ่งนัก
“เป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านผู้บัญชาการมาเยือนในครั้งนี้”
“ท่านเหอกล่าวหนักเกินไปแล้ว ในเมื่อวันนี้เป็นวันดีข้าย่อมต้องมาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง” เว่ยเฉวียนเอ่ยตามอย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากท่าทางขึงขังที่มักแสดงออก ราวกับตอนนี้เขากลายเป็นคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ชอบเข้าสังคมพบปะสหาย
“หากท่านแม่ได้ยินเข้าต้องปลื้มใจแน่ๆ เจ้าค่ะ” ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองเป็นฝ่ายตอบรับก่อนจะเคลื่อนสายตาไปด้านหลัง “ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้คือ...”
“เมิ่งเสี่ยวหรัน นางคือภรรยาของข้า”
น้ำเสียงห้าวลึกของเขาไม่ดังมาก แต่ราวกับทั่วทั้งงานกำลังเงี่ยหูฟัง พวกเขาต่างพอรู้มาบ้างว่าเว่ยเฉวียนผูกสมัครรักใคร่กับเล่อเข่อซิง ข่าวลือพวกนี้แพร่สะพัดไปทั่วเจียงหนาน ยิ่งหลังจากย้ายมาประจำการที่นี่ เล่อเข่อซิงก็ไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง หญิงสาวหลายคนที่แอบหลงใหลในตัวเขาจึงพากันผิดหวังไปตามๆ กัน
แล้วตอนนี้ไยจู่ๆ ภรรยาของเขาก็โผล่มาเป็นตัวเป็นตนได้เล่า
“มิใช่ว่าท่านกับเข่อซิง...” เด็กสาวที่ยืนอยู่หลังภรรยาของท่านเจ้าเมืองโพล่งขึ้นมาก่อนจะถูกผู้เป็นมารดาถลึงตาใส่
“พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ วันนี้ฮูหยินของข้าเตรียมการแสดงไว้หลายชุด” เหอซีเยี่ยนรีบผายมือเชิญเข้าไปด้านใน คนกลุ่มใหญ่จึงพากันเคลื่อนขบวนตาม
“เข่อซิง...” เหอซวีอดใจไม่ไหวแอบดึงมือสหายไว้ “ท่านผู้บัญชาการแต่งงานตั้งแต่เมื่อไร ไม่ใช่ว่าเจ้ากับเขาคบหาดูใจกันอยู่หรือ”
ตั้งแต่มาถึงเมืองนี้หยวนฮูหยินก็พาเล่อเข่อซิงไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่เป็นประจำเพื่อแสดงตัวให้ผู้คนเห็นความสำคัญ ด้วยนิสัยร่าเริงของนางจึงทำให้สนิทสนมกับหญิงสาวในวัยเดียวกันค่อนข้างง่าย และทุกคนก็พร้อมจะเข้ามารุมล้อมนาง ตำแหน่งฮูหยินของผู้บัญชาการทหารย่อมหอมหวานไม่น้อย ในเมื่อพวกนางไม่อาจแย่งชิงมาได้ก็จำใจต้องผูกมิตรกับอีกฝ่ายเอาไว้ อย่างน้อยก็ยังสามารถลอบสอบถามความเคลื่อนไหวต่างๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วเว่ยเฉวียนแทบจะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงในเมือง แต่บางคนกลับเห็นว่าเขามักไปเหลาสุรากับผู้ใต้บังคับบัญชา ถึงขนาดว่าที่หอนางโลมก็ไม่เว้น
ดังนั้นคนผู้นี้จะบอกว่าเข้าหาได้ยากก็ไม่ใช่ แต่จะเรียกว่าเข้าหาง่าย พวกเขาก็ไม่เคยฝ่าเข้าไปในเหลาสุราได้เลยสักครั้ง
ช่างชวนให้ผู้คนกระวนกระวายนัก
เล่อเข่อซิงเห็นสหายดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็น และหากไม่มองพลาดไปก็ย่อมมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังสมน้ำหน้านาง มือบางกำเข้าหากันแน่น
“เป็นแค่การจัดการของครอบครัว พี่ชายมิได้เต็มใจจะแต่ง”
“อ้อ...” เหอซวีพยักหน้ารับ “หมายความว่าพวกเขาฐานะเหมาะสมคู่ควรกันสินะ”
“เอ๊ะ เจ้านี่” เล่อเข่อซิงหันไปถลึงตามองสหาย เรื่องชาติกำเนิดคือปมใหญ่ในใจของนาง ฐานะของนางแม้จะถือว่ามีกินมีใช้ แต่ก็เป็นเพียงครอบครัวพ่อค้าธรรมดา ยิ่งต่อบิดามารดาด่วนจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก สมบัติที่เหลืออยู่ก็มีไม่มาก อาศัยแค่เบี้ยหวัดทหารของพี่ชาย ไหนเลยจะเพียงพอให้ซื้อของฟุ่มเฟือยได้ ที่นางยังเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ก็เพราะความดีของเล่อเนี่ยนเจิน พี่ชายแท้ๆ ที่เสียสละชีวิตปกป้องเว่ยเฉวียนไว้ หลังจากเขารับนางมาก็ดูแลอย่างดี เบี้ยหวัดที่มอบให้นับว่าไม่ยิ่งหย่อนกว่าสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ ในเมือง
“ข้าพูดอะไรผิดไปล่ะ” เหอซวีแย้มยิ้มยินดี “เจ้าไม่เห็นท่าทางการวางตัวของสตรีผู้นั้นหรือ ตั้งแต่นางย่างเท้าเข้ามาข้ายังแทบไม่เห็นชายกระโปรงของนางสะบัด เคยได้ยินมาว่ากิริยาอย่างนี้ฝึกสอนแค่ในวังเท่านั้น”
“พี่ชายไม่มีทางชอบสตรีบอบบางเช่นนั้นหรอก” เล่อเข่อซิงเชิดปลายคางขึ้น อย่างน้อยตั้งแต่ที่เขากลับมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้สนใจเมิ่งเสี่ยวหรัน “พวกเขาแยกเรือนนอนกันด้วยซ้ำ”
“ก็เพราะพวกเขาเป็นชนชั้นสูงเหมือนกันอย่างไรเล่า” เหอซวีลอบขำความคิดตื้นเขินของสหาย “มีแต่ครอบครัวเล็กๆ ที่ต้องนอนเบียดในห้องเดียวกันเท่านั้น เจ้านี่นะ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือไร”
“แต่พี่ชายก็ไม่...”
“ข้าไม่เถียงกับเจ้าก็ได้ ต่อไปเจ้าจะทำอะไรก็ต้องมองสีหน้าของนาง ถึงแม้ท่านผู้บัญชาการจะโปรดปรานเจ้าแค่ไหน แต่อย่างไรฐานะอนุภรรยาก็ต่ำศักดิ์กว่า”
“ข้าจะให้พี่ชายหย่ากับนาง!” เล่อเข่อซิงโพล่งออกมาด้วยความคับข้องใจ นางกับเขารักใคร่กันมาก่อน แต่กลับถูกสตรีหน้าไม่อายผู้นั้นเข้ามาแทรกกลาง
เมิ่งเสี่ยวหรันมิได้ให้ความสนใจว่าเล่อเข่อซิงหายไปไหน นางเดินตามเว่ยเฉวียนอย่างสำรวม พูดคุยทักทายกับฮูหยินทั้งหลายอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะตามไปมอบของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่ามารดาของท่านเจ้าเมือง ของขวัญที่มอบให้นี้นางสอบถามจากพ่อบ้านก้วนแล้ว เห็นอีกฝ่ายจัดการได้เหมาะสมดีนางจึงไม่ได้เอ่ยปากทักท้วงใดๆ สิ่งที่ให้สาวใช้ไปสอบถามนอกจากเรื่องของขวัญก็คือชุดที่สามีจะสวม อย่างน้อยต่อหน้าบุคคลอื่นในชนชั้นสูงนางก็ควรแสดงความสมัครสมานกับเขาไว้ เพราะอย่างไรสองตระกูลก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ท่าทางถ่อมตนไม่ถือตัว กิริยามารยาทนอบน้อมอ่อนหวานทำให้ผู้สูงวัยเอ็นดูหญิงสาวได้ไม่ยาก โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าที่ดึงมือบางไปพูดคุยอยู่นาน เมิ่งเสี่ยวหรันเหลือบตามองหาร่างสูง เมื่อเห็นว่าเขากำลังพูดคุยกับกลุ่มขุนนางในท้องที่อยู่จึงหันกลับมาพูดคุยกับฮูหยินท่านอื่น พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ดังนั้นในจังหวะที่นางหันกลับไปสนใจคู่สนทนาจึงไม่ทันได้เห็นดวงตาคมที่ย้ายมายังจุดที่ตนยืนอยู่
จู่ๆ คำพูดของฉือหมัวมัวก็ผุดขึ้นมา
“มีแต่ฮูหยินน้อยที่เหมาะสมจะยืนเคียงข้างท่าน”
เฮอะ น่าขันนัก
งานเลี้ยงวันนี้เต็มไปด้วยความครื้นเครง ตระกูลเหอนับว่าเป็นตระกูลใหญ่ในลุ่มน้ำ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมากหน้าหลายตา
“หยวนฮูหยินมีวาสนาเสียจริง ได้หลานสะใภ้ที่สง่างามเหมาะสมกับท่านผู้บัญชาการยิ่งนัก” ภรรยาของแม่ทัพเลี่ยวซึ่งเคยหยิ่งผยองคิดว่าอย่างไรตำแหน่งผู้บัญชาการทหารตงหนานย่อมไม่พ้นมือของสามีนางหันมาเอ่ยกับผิงซูปี้ยิ้มๆ “ตอนนี้ท่านคงเบาใจให้หลานสะใภ้ดูแลจวนแทนแล้วกระมัง มิใช่ท่านเองก็จากบ้านมานานแล้วหรือ”
ผิงซูปี้ได้ยินดังนั้นสีหน้าพลันเรียบเฉยขึ้นทันใด “นางเพิ่งแต่งเข้ามา เรื่องการจัดการเรือนยังไม่ได้ความ ข้ายังไม่กล้าปล่อยให้นางดูแลจวนใหญ่ขนาดนี้หรอก ตอนนี้ต้องช่วยแบ่งเบาภาระเพราะหลานชายเองก็ได้รับพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้โดยตรง เขาต้องทุ่มเทให้กับงานจะปล่อยให้เรื่องในบ้านวุ่นวายไม่ได้”
“แต่ข้าได้ยินว่านางมาจากตระกูลใหญ่มิใช่หรือ” ฮูหยินอีกคนเอ่ยขึ้น “เรื่องเหล่านี้ตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงย่อมต้องสั่งสอนบุตรี จะขาดตกบกพร่องได้ยังไงกัน”
“เฮอะ นางยังขาดประสบการณ์อีกมาก”
“แต่ดูแล้วก็น่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนดีกว่าสตรีที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนาง” ฮูหยินอีกคนแสร้งปรายตามองไปยังเล่อเข่อซิงที่รวมกลุ่มอยู่กับเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน
ตอนนี้แต่ละคนต่างดูออกว่าหยวนฮูหยินไม่พอใจหลานสะใภ้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเพียบพร้อมคู่ควรมากกว่าเล่อเข่อซิง
“ข้าเป็นน้าก็ต้องรักใคร่หลานชาย เขาชอบคนไหนข้าก็พึงใจคนนั้น”
ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันก้มหน้าจิบชา ในใจเริ่มสงสารฮูหยินจากเมืองหลวงผู้นั้นที่ต้องจากบ้านมาไกลแต่กลับไม่มีผู้ใดต้อนรับ
“พวกเจ้าอย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย ไปดูเหล่าเด็กๆ อวยพรฮูหยินผู้เฒ่าดีกันดีกว่า”
หลังบ่าวไพร่ยกอาหารขึ้นโต๊ะ ทางเจ้าบ้านก็จัดให้มีการแสดงต่างๆ แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าในงานใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องเปิดโอกาสให้เด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนแสดงความสามารถโดยยกเอาการอวยพรเจ้าของวันเกิดเป็นข้ออ้าง
ยามนี้เมิ่งเสี่ยวหรันกำลังอยู่ด้านข้างผู้เป็นสามี คอยคีบอาหารให้อีกฝ่ายราวกับภรรยาทาส แต่ดวงตางดงามหาได้สนใจคนข้างๆ และบรรยากาศไม่เป็นมิตรที่เขาแผ่ออกมา นางเอาแต่มองการแสดงของเด็กสาวที่ออกมาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่า บางคนออกมาบรรเลงพิณ บ้างก็ออกมาอ่านบทกลอนที่เตรียมไว้ เป็นเพราะตระกูลเมิ่งเปิดสถานศึกษา ทำให้เมิ่งเสี่ยวหรันคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งในเมืองหลวงก็ยังมีการจัดงานชมบุปผาที่เปิดโอกาสให้เด็กสาวออกมาแสดงความสามารถเพื่อเตรียมหาคู่ครองอยู่เนืองๆ
อืม...ดูเหมือนคนเจียงหนานจะชอบบทกลอนแปดอักษร
เอ๋...วิธีการบรรเลงพิณแบบนี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่เมืองหลวงกำลังนิยมกัน
เอ๊ะ...สตรีผู้นี้คุ้นหน้าเหลือเกิน
เมื่อมีสตรีผิวขาวลออดั่งเกล็ดหิมะแรกฤดูในชุดสีแดงก้าวขึ้นบนเวที เมิ่งเสี่ยวหรันพลันลืมตัวหันไปถามผู้เป็นสามี
“นั่นมิใช่แม่นางเล่อหรอกหรือเจ้าคะ”