บทที่ 2 ข้าเปล่าฟ้องนะ
ตั้งแต่เมิ่งเสี่ยวหรันมาถึงที่นี่ก็ยังไม่เคยพบหน้าสามี ทุกวันนางต้องตื่นแต่เช้าไปคารวะหยวนฮูหยินตามข้อปฏิบัติยิบย่อยที่อีกฝ่ายตั้งขึ้นมา ดูท่าอีกฝ่ายจะมีปมในใจเรื่องไม่มีทายาท คิดว่าในจวนตระกูลหยวนคงไม่มีคนเคารพนับถือนางเท่าไรจึงได้มาบังคับกะเกณฑ์เอากับหลานสะใภ้ ขนาดแม่สามีที่เมืองหลวงยังไม่เคยเรียกร้องมากขนาดนี้ อีกฝ่ายมีแต่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ไม่เคยมีข้อเรียกร้องให้ต้องรู้สึกลำบาก อ้อ...ยกเว้นการส่งนางมาที่นี่
ช่างเถอะ...ถือว่านางได้มีโอกาสออกมาท่องเที่ยวชื่นชมความงามของเจียงหนานก็แล้วกัน อีกอย่างหากนั่งรถม้าออกจากเมืองนี้ไปประมาณครึ่งวันก็จะได้เห็นทะเลว่าจะเป็นเหมือนที่เคยอ่านในตำราหรือไม่
“ทุกคนกำลังรออยู่ด้านในขอรับ” พ่อบ้านก้วนนำทางนางมาจนถึงเรือนกลาง
เมิ่งเสี่ยวหรันก้าวตามเข้าไป ในใจยังวาดหวังถึงแผนการท่องเที่ยวต่างๆ นานา ส่วนความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบหน้าสามีอีกครั้งนั้นหาได้มีสักกระผีก
“เหตุใดมาช้านัก ข้าให้คนไปตามตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงของน้าสามีดังขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามา นางยังไม่ทันเอ่ยตอบอะไร เล่อเข่อซิงก็พุ่งผ่านสวนออกไป
“พี่ชายกลับมาแล้ว”
เมื่อเมิ่งเสี่ยวหรันหมุนตัวกลับไปจึงพบว่าสตรีผู้นั้นกำลังคล้องแขนเว่ยเฉวียนอยู่ ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดเสื้อกันฝน สีหน้าเรียบเฉย แต่ดูเหมือนเล่อเข่อซิงหาได้รังเกียจหยดน้ำและรอยเปียกชื้นที่ซึมผ่านมายังแขนเสื้อของตน
“รีบเข้ามาด้านใน” หยวนฮูหยินเองก็กุลีกุจอต้อนรับหลานชาย
เมิ่งเสี่ยวหรันขยับตัวหลีกทางให้อย่างรู้งาน ทุกคนในห้องนี้ทำราวกับนางเป็นแค่อากาศธาตุ ในขณะที่เสียงของเล่อเข่อซิงยังคงดังเจื้อยแจ้ว ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวในเช้านี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น และสีหน้าเรียบตึงของชายหนุ่มเองก็คล้ายจะผ่อนคลายลง
รอจนเจ้าบ้านเข้าไปผลัดเปลี่ยนชุดที่บ่าวไพร่จัดเตรียมให้ไว้ในห้องด้านใน เมื่อกลับออกมาอีกครั้งโต๊ะอาหารก็ถูกผู้คนจับจองที่นั่งโดยรอบ เมิ่งเสี่ยวหรันเหลือบตามองร่างสูงของสามีที่นั่งตรงกลางระหว่างหยวนฮูหยินกับเล่อเข่อซิง
“เจ้ายังจะยืนเซื่องเซ่ออยู่ทำไม รีบมาคอยปรนนิบัติหลานชายตรงนี้” หยวนฮูหยินหันมาดุหลานสะใภ้ด้วยสีหน้ารำคาญ
“พี่ชายลองชิมจานนี้ ข้าเพิ่งไปขอวิธีทำมาจากภัตตาคาร...”
ในเมื่อมีคนคอยปรนนิบัติเขาอยู่แล้ว จะให้นางเข้าไปยืนเกะกะเพื่ออะไร
เมิ่งเสี่ยวหรันปรายตามองที่ว่างข้างๆ สามี มิใช่หน้าที่นี้ควรเป็นของอนุภรรยาหรือ ถึงแม้พวกเขาจะรักกันมาก่อนแล้วอย่างไร ในเมื่อเขาแต่งนางเข้ามาในฐานะภรรยาเอก ต่างจากสตรีอีกผู้หนึ่งที่เป็นได้แค่อนุภรรยาเท่านั้น
ทว่าในจังหวะที่นางแสร้งประท้วงเงียบๆ ใครบางคนกลับเหลือบตาขึ้นมามองพอดี
ได้!
คนที่เพิ่งประกาศตัวว่าเป็นฮูหยินใหญ่เดินลากขาไปยืนอยู่ด้านหลังคอยคีบอาหารให้พวกเขาอย่างว่าง่าย ทว่ายามใดที่คล้ายว่าสายตาของสามีจะตกอยู่บนร่าง นางก็จะแสร้งตีหน้าเศร้าให้เขารำคาญ
ใช่... นางจะทำให้คนผู้นี้รำคาญจนอกแตกตายไปข้าง
“เหตุใดครั้งนี้พี่ชายไปนานนัก ท่านเพิ่งกลับมาได้ไม่เท่าไรก็ต้องออกไปอีกแล้ว ข้ายังไม่หายคิดถึงด้วยซ้ำ”
“นั่นสิ ตอนนี้เจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นถึงผู้บัญชาการทหาร งานเล็กๆ น้อยๆ ไยต้องเปลืองแรงลงมือไปทำ” หยวนฮูหยินมิวายเอ่ยตำหนิ “ทำเช่นนี้ผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้ เจ้าอายุยังน้อยต้องยิ่งวางตัวให้น่านับถือ อย่าให้ผู้อื่นมาดูถูกเอาได้ ไหนๆ ก็กลับมาแล้ว อยู่เป็นเพื่อนซิงเอ๋อร์หลายๆ วันหน่อย นางบ่นคิดถึงเจ้าทุกวันจนยายแก่อย่างข้ารำคาญจะแย่แล้ว”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย” เล่อเข่อซิงพองแก้มด้วยท่าทางแง่งอน ดวงตาของนางใสกระจ่าง ผิวแก้มแดงเรื่อ
“เอาละๆ ซิงเอ๋อร์สู้อุตส่าห์ซุ่มฝึกซ้อมอยู่เป็นนาน รีบเอาอาหารแต่ละจานออกมาอวดเถอะ เด็กคนนี้ไม่ว่าอะไรก็มักจะคิดถึงเจ้าก่อนเสมอ”
เมิ่งเสี่ยวหรันลอบพยักหน้า มีสตรีที่ดีต่อตนเช่นนี้อยู่ข้างกายก็ยากที่จะไม่ไหวหวั่น
“ไม่เต็มใจปรนนิบัติ?”
สตรีที่ลอบบ่นในใจถูกน้ำเสียงห้าวลึกแผ่วเบานี้ดึงสติกลับมา เมื่อหันไปมองจึงพบว่าเขาเคาะตะเกียบกับจานอาหารที่อยู่ไม่ไกล
ท่านพิการรึไง
“ข้าคิดว่าซื่อจื่อน่าจะอยากชิมอาหารฝีมือแม่นางเล่อจึงไม่ได้เอื้อมไปคีบให้ ต้องขออภัยเจ้าค่ะ” เมิ่งเสี่ยวหรันแสร้งทำสีหน้าตกใจ มือที่ยื่นตะเกียบออกไปสั่นเล็กน้อย
“ชักช้าไม่ได้ความ” เสียงของหยวนฮูหยินไม่เบาแม้แต่น้อย
“พี่ชายอย่าโกรธพี่สะใภ้เลย นางเพิ่งแต่งให้ท่านได้ไม่นานย่อมไม่รู้ความชอบหรือกระทั่งนิสัยของท่าน ต่อไปข้าจะหมั่นพูดคุยกับนางให้มากๆ”
แต่ข้าไม่ต้องการ
เมิ่งเสี่ยวหรันแทบจะเผลอส่ายหน้า
“นางอยู่ในส่วนของนาง ไม่จำเป็นต้องออกมาวุ่นวาย” คำพูดของเว่ยเฉวียนประหนึ่งประกาศิตว่าเขาไม่ได้ใส่ใจภรรยาผู้นี้แม้แต่น้อย
เล่อเข่อซิงได้ยินเช่นนั้นไหนเลยจะยังสามารถเก็บซ่อนรอยยิ้มชอบใจบนใบหน้าเอาไว้ได้
“ข้ารู้น่ะว่าในใจของพี่ชาย นางไม่อาจเทียบกับข้าได้”
เฮ้อ!
เมิ่งเสี่ยวหรันคิดว่าตนเองแค่พ่นลมหายใจเบาๆ แต่เขากลับเหลือบตาขึ้นมามองทันที
แค่นี้ก็ไม่ได้หรือไร
คราวนี้หยาดน้ำใสฉาบรื้นดวงตากลมโตทอประกาย ไหล่เล็กๆ ของนางสั่นไหว เมิ่งเสี่ยวหรันกัดริมฝีปากมองผู้เป็นสามีด้วยสีหน้าตัดพ้อต่อว่า
ยิ่งเขาไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ นางก็จะยิ่งแสดงมารยา
จากนั้นมื้ออาหารในครอบครัวซึ่งมีหนึ่งสตรีที่เป็นเพียงคนนอกก็ดำเนินต่อไปภายใต้เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของสองสตรีต่างวัย เว่ยเฉวียนเพียงคีบอาหารกินเงียบๆ เท่านั้น
เมิ่งเสี่ยวหรันคิดว่าอีกไม่นานตนก็จะถูกปลดปล่อยวิญญาณแล้วแท้ๆ แต่...
“นายท่านเจ้าคะ ตอนนี้ฉือหมัวมัวเดินทางมาถึงแล้ว กำลังรอพบอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
เคร้ง!
เมิ่งเสี่ยวหรันได้ยินดังนั้นหัวใจพลันหล่นไปที่ปลายเท้า แต่โชคดีตะเกียบในมือยังถือไว้
เอ๊ะ...แล้วเสียงนี้มาจากผู้ใด
“รีบให้คนไปเชิญนางเข้ามา” เว่ยเฉวียนสั่งพลางหันมาด้านข้าง พอดีกับที่คนเป็นภรรยายื่นผ้าเช็ดปากให้
แน่นอนว่านางทำไปตามสัญชาตญาณ เพราะตอนนี้ดวงตายังแปะติดกับสีหน้าซีดเผือดของหยวนฮูหยินที่เพิ่งทำตะเกียบหลุดมือ ดูท่าชื่อของฉือหมัวมัวจะมีผลต่ออีกฝ่ายมากจริงๆ
“คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
“แม่นม ไยต้องมากพิธี” สีหน้าของชายหนุ่มอ่อนโยนยิ่ง แม้แต่มุมปากยังยกยิ้มจางๆ ร่างสูงรีบก้าวตรงไปรับอีกฝ่ายไม่ยอมให้ยอบกาย
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน ดูเหมือนซื่อจื่อจะคล้ำขึ้นอีกแล้ว ช่างทำให้บ่าวผู้นี้ปวดใจจริงๆ”
“แม่นม ข้าเป็นทหาร หากผิวกายขาวผ่องแล้วยังจะเหลือความน่าเกรงขามอะไรอีก” ชายหนุ่มเอ่ยตอบคล้ายอ่อนอกอ่อนใจ แต่รอยยิ้มกลับไม่ลบเลือนไปจากใบหน้า
“เอาเถิดเจ้าค่ะ ต่อไปท่านก็มีฮูหยินน้อยคอยดูแลแล้ว แค่นี้บ่าวก็เบาใจ”
“แม่นมฉือก็พูดเกินไป ที่นี่ยังมีข้าคอยดูแลหลานชายอีกคน” ในที่สุดหยวนฮูหยินก็เรียกสติคืนมาได้
“จะเหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านแต่งเข้าสกุลหยวนไปแล้ว จะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้อย่างไร ถึงใจอยากดูแลหลานชายแค่ไหนแต่ก็คงต้องเลี่ยงคำครหากระมัง”
“นี่เจ้า!” เพียงไม่กี่ถ้อยคำของฉือหมัวมัวก็ทำให้ผิงซูปี้หน้าแดงก่ำ “พี่สาวข้าปล่อยให้สะใภ้ใหม่เดินทางมาไกล ที่นี่ไร้ผู้อาวุโสคอยชี้แนะ อย่างไรข้าก็ยังต้องคอยอยู่ดูแลพวกเขาไปก่อน ต้องสั่งสอนให้นางรู้ธรรมเนียม”
“อ้อ ใช่ที่ท่านเรียกตัวฮูหยินน้อยให้ไปคารวะทุกวันนั่นหรือเจ้าคะ”
หยวนฮูหยินหันขวับมาทางเมิ่งเสี่ยวหรันทันที
ข้าเปล่าฟ้องนะ
“แม่นมเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดไม่มีใครแจ้งข้า” คราวนี้ชายหนุ่มเองก็หันกลับมามองภรรยาที่ยังยืนก้มหน้าด้วยท่าทางน่าสงสาร
“บ่าวดื้อรั้นอยากตามมาดูแลคุณชายกับฮูหยินน้อยเองเจ้าค่ะ แต่พอฮูหยินน้อยทราบว่าการเดินทางครั้งนี้ผ่านบ้านเดิมของบ่าว จึงอนุญาตให้หญิงชราได้กลับไปเยี่ยมเยียนลูกหลาน กระทั่งจ้างรถม้าให้คอยรับส่งบ่าว ความจริงแล้วฮูหยินน้อยให้บ่าวหยุดพักสักครึ่งเดือน แต่เป็นบ่าวเองที่มาก่อนกำหนด”
เว่ยเฉวียนหรี่ตามองเรือนร่างบอบบาง แต่ไม่ได้ต่อความยาว เพียงตบหลังมือหญิงชราเบาๆ
“แม่นมเพิ่งมาถึงคงเหนื่อยไม่น้อย รีบไปพักผ่อนก่อนเถอะ พวกเรายังมีเวลาพูดคุยกันอีกนาน” ชายหนุ่มกำลังจะหันไปเรียกคนเข้ามาแต่พลันนึกได้ว่าพ่อบ้านก้วนเพิ่งรายงานว่าเรือนพักของภรรยาของเขาคือที่ไหน และซอมซ่อเพียงไร
เมิ่งเสี่ยวหรันจะตกทุกข์ได้ยาก เป็นหรือตายย่อมไม่เกี่ยวกับเขา อีกอย่างก็เป็นเขาเองที่สั่งให้พ่อบ้านจัดการตามคำสั่งของผู้เป็นน้า ด้วยรู้ว่านางมีนิสัยอย่างไร
ในเมื่ออยากแต่งเข้ามานักก็ต้องทนให้ได้
“อาจต้องรบกวนให้แม่นมและฮูหยินน้อยรอสักหน่อย ตอนนี้เรือนพักใหญ่ปรับปรุงแล้วเสร็จพอดี ข้าจะรีบสั่งให้บ่าวไพร่ขนย้ายข้าวของขอรับ” พ่อบ้านก้วนรีบก้าวเข้ามาเอ่ยด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี ทำให้เมิ่งเสี่ยวหรันต้องลอบประเมินพ่อบ้านคนนี้ใหม่
นับว่ามีไหวพริบ
“รีบให้คนจัดการ” เว่ยเฉวียนรีบเอ่ยสำทับเมื่อเห็นสายตาคล้ายตำหนิของแม่นมที่เลี้ยงเขามากับมือ แม้รู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเก็บซ่อนท่าทางไว้ได้
“เช่นนั้นพี่ชายก็พาแม่นมไปพักด้านในก่อนดีไหมเจ้าคะ” เล่อเข่อซิงก้าวเข้ามายืนอีกด้าน ดวงหน้าอ่อนละมุนแต้มรอยยิ้มสดใส “ข้าน้อยมีนามว่าเล่อเข่อซิง ให้ข้าช่วยพยุงแม่นมเถอะเจ้าค่ะ”
“บ่าวอย่างข้าไหนเลยจะกล้ารบกวนแม่นาง” ฉือหมัวมัวเบี่ยงกายหลบเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เล่อเข่อซิงถึงกับหน้าเสียทันที
“นางยังเด็ก ข้าอยากให้แม่นมเมตตาช่วยสั่งสอนนางสักหน่อย” เว่ยเฉวียนเห็นท่าทางน้อยใจของหญิงสาวจึงได้เอ่ยเสียงเบากับผู้อาวุโส
“ไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่ให้ตามมาดูแลคุณชายกับฮูหยินน้อยเท่านั้น” คนแก่กว่าขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน
“ข้าย่อมไม่กล้ารบกวนแม่นม พี่ชายอย่าได้ลำบากใจเพราะข้าเลยนะเจ้าคะ”
“ที่บ่าวติดตามมาครั้งนี้เพราะมีถ้อยคำจากฮูหยินฝากมาถึงคุณชาย” ฉือหมัวมัวเอ่ยชัดเจนว่าต้องการพูดคุยกับผู้เป็นนายเป็นการส่วนตัว
ตั้งแต่ต้นจนจบเมิ่งเสี่ยวหรันทำเพียงแอบยกนิ้วชื่นชมแม่นมอยู่ในใจ อย่างน้อยสีหน้าราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมของหยวนฮูหยินยามนี้ก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจของนางไปได้อีกหลายวัน ไหนจะได้พักเรือนใหญ่ที่สะดวกสบายขึ้นมาโดยไม่ต้องเปลืองแรงนั่นอีก
ฉือหมัวมัวเปรียบเสมือนเทพจงขุย10ของนางจริงๆ
เมื่อเข้ามาถึงห้องด้านใน หญิงชราก็เป็นฝ่ายเปิดปากทันที
“คุณชายทำเช่นนี้ไม่ถูก สตรีจะได้รับการยกย่องในเรือนหลัง บ่าวไพร่ให้ความเคารพเชื่อฟังหรือไม่ ส่วนหนึ่งอยู่ที่การประพฤติตนปกครองคน แต่อีกส่วนคือท่าทีของผู้เป็นสามี”
“แม่นมก็ทราบว่าข้าไม่เต็มใจแต่งกับนาง” เว่ยเฉวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“แต่ท่านก็แต่งนางเข้ามาแล้ว คุณชายอยากเห็นนางต้องทุกข์ระทมเหมือนฮูหยินอีกคนหรือเจ้าคะ”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ท่านแม่เลือกเอง เหมือนกับนาง เป็นเพราะนางอยากแต่งเข้ามาก็ต้องได้รับบทเรียน ไม่มีผู้ใดตอบแทนปลายดาบด้วยดอกไม้ โดยเฉพาะข้า ในเมื่อนางกล้าวางอุบาย...”
“คุณชายทราบได้อย่างไร บางทีฮูหยินน้อยเองก็อาจจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วยเช่นกัน”
“นางน่ะเหรอ” เว่ยเฉวียนแค่นเสียงเย้ยหยัน “หากนางไม่อยากแต่งกับข้าแล้วเหตุใดจึงยอมรับนัดหมายที่ท่านแม่จัดการ ไหนจะภาพวาดที่พวกท่านคอยส่งมาและคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ ก่อนข้าไปถึงเมืองหลวงพวกท่านก็ส่งคนไปพูดคุยเจรจากับตระกูลเมิ่งเอาไว้แล้ว เพียงแต่เพราะข้าไม่ยอมคล้อยตาม นางจึงได้ใช้วิธีสกปรกเช่นนั้น แต่แม่นมกลับชื่นชมสตรีมากมารยา จะไม่ให้ข้ารู้สึกผิดหวังได้อย่างไร นางก็แค่อยากกอดตำแหน่งฮูหยินเอกเพื่อเชิดหน้าชูตา...” เหมือนมารดาของเขา สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็ใส่ใจแค่หน้าตาของตนเองและฐานะของบุรุษที่แต่งให้เท่านั้น
“แล้วคุณชายต้องการสตรีแบบใด สดใสร่าเริงแบบแม่นางเล่อผู้นั้นหรือ ท่านแน่ใจนะว่าต่อไปภายภาคหน้านางจะสามารถยืนเคียงข้างท่านได้ จะสามารถดูแลปกครองเรือน สานสัมพันธ์กับฮูหยินตระกูลอื่นและสั่งสอนบุตรหลานได้ดี แค่การวางตัววันนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านางไร้มารยาท”
“แล้วภรรยาผู้หนึ่งต้องมีความสามารถใดกันแน่ ไม่ใช่แค่ครองใจสามี คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง ดูแลงานบ้านงานเรือน ทำอาหาร ดูแลเสื้อผ้าให้ ข้าขอถามว่าแค่นี้ฮูหยินน้อยของแม่นมทำได้หรือไม่ นางเคยเข้าครัวหรือ เคยสนเข็มเองหรือไม่ แค่เรื่องพื้นฐานเหล่านี้นางยังทำไม่ได้”
“คุณชายยังไม่เคยเปิดใจให้นาง ไม่ยอมให้นางได้แสดง...”
“ใช่ ข้าตัดสินไปแล้วว่านางไร้ความสามารถ แต่ในเมื่อแม่นมชื่นชมนางนัก เช่นนั้นก็บอกนางให้เตรียมตัวไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเจ้าเมืองพรุ่งนี้”