ตอนที่ 2 ทำงานวันแรก (1)
2
ทำงานวันแรก
การเริ่มงานในวันแรกเมื่อหลายปีก่อนเป็นอย่างไร การเริ่มงานใหม่ในวันนี้ก็ไม่ต่างกัน ทั้งตื่นเต้นกับบรรยากาศใหม่ ๆ และลุ้นว่าจะได้เจอเจ้านายแบบไหน
“คุณวาทีใจดี แม้หน้าตาจะดูนิ่งและอ่านยากสักหน่อย แต่อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชิน” นี่คือคำบอกกล่าวของเลขาฯ คนเก่าที่ยื่นใบลาออกแล้ว แต่ทำงานต่ออีกสามวัน ก่อนจะพาเธอไปพบประธานบริษัท
“ค่ะ” มัตสยาตอบรับเสียงหนักแน่น ยืนตัวตรงแด่วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ “พร้อมแล้วค่ะ”
อนุรักษ์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางไล่ความประหม่าของคนที่จะมาทำหน้าที่แทนตัวเอง “อย่าเกร็งไปเลย บอกแล้วว่าใจดีน่ะ” พูดจบก็เดินนำไปเคาะประตูห้องทำงานที่เขาเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วน
“เข้ามา”
สิ้นเสียงอนุญาตอนุรักษ์ก็เปิดประตูเดินนำมัตสยาเข้าไปอย่างคุ้นเคย “พาเลขาคนใหม่มาแนะนำครับ”
“อื้อ” แม้จะตอบรับ แต่คนที่นั่งทำงานอยู่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ถึงอย่างนั้นอนุรักษ์ก็ไม่ได้คิดจะรอแต่พูดแนะนำต่อทันที “นี่คุณมัท มัตสยาที่จะมาทำหน้าที่เลขาของคุณแทนผมครับ”
“อื้อ” ยังคงตอบรับสั้น ๆ เหมือนเดิม แต่พักหนึ่งชายหนุ่มก็ปิดแฟ้มงานแล้วเงยหน้าขึ้นมาปรายตามองเลขาฯ สาวคนใหม่เล็กน้อย แล้วหันไปถามเลขาฯ ผู้รู้ใจที่กำลังจะวางมือ “วันนี้”
พูดเพียงเท่านั้นอนุรักษ์ก็ร่ายตารางงานที่แสนจะแน่นเอี๊ยดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวให้คนเป็นเจ้านายได้รับรู้ วาทีลุกขึ้นหยิบเสื้อสูทขึ้นมาใส่แล้วเอ่ยขึ้นลอย ๆ
“ไปพบลูกค้ากับผม” พูดจบก็เดินนำออกไป มัตสยาที่ยังยืนงงจึงถูกอภิรักษ์บอกย้ำ “ไปสิครับคุณมัท จากนี้เจ้านี้มันคือของประจำกายคุณมัทนะครับ”
“มัทเหรอคะ นึกว่าบอสให้คุณ...” มัตสยารับตารางนัดหมายต่าง ๆ ของวาทีมาจากอภิรักษ์มาอย่างงง ๆ เล็กน้อย
“ต้องเป็นคุณสิ ผมลาออกแล้วนะ รอแค่ไม่กี่วันก็จะออกแล้ว รีบ ๆ ไปครับ ผมแจ้งคนขับรถไว้แล้วนะ” อภิรักษ์เร่ง เพราะรู้ดีว่าเจ้านายไม่ชอบคนชักช้าและไม่ตรงต่อเวลาเป็นที่สุด
“ค่ะ” มัตสยารับคำแล้วรีบตามเจ้านายคนใหม่ที่เดินนำออกไปก่อนแล้วอย่างเร่งรีบและไปทันเขาที่หน้าลิฟต์พอดี “ขอโทษนะคะที่ตามมาช้า” หญิงสาวเอ่ยปากพร้อมกับโค้งศีรษะอย่างรู้สึกผิด ความประทับใจในงานแรกเหมือนจะติดลบไปแล้ว
“คุณมัทใช่ไหม” วาทีถามหลังจากที่เดินเข้ามาในลิฟต์และมันก็กำลังเคลื่อนลงไปชั้นล่าง
“ค่ะ”
“ตั้งใจทำงานล่ะ ประเภทสวยแต่ไม่ได้เรื่องผมไม่นิยมหรอกนะ แม้จะเป็นคนที่ไอ้แดนแนะนำมาก็เถอะ” วาทีบอกโดยที่สายตายังมองตรงไปที่ประตูลิฟต์สีเงินสะท้อนให้เห็นหญิงสาวรูปร่างสมส่วนในชุดทำงานที่ดูทะมัดทะแมงแต่สวยและทันสมัย
“ค่ะ ฉันจะทุ่มสุดตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองค่ะ” มัตสยารับคำด้วยสีหน้าและท่าทางจริงจัง งานนี้ไม่ใช่แค่พิสูจน์ความสามารถตัวเอง แต่ทำเพื่อแดนไทคนที่แนะนำเธอมาที่นี่ด้วย
“อื้อ” ชายหนุ่มรับคำสั้น ๆ แล้วยืนทำหน้านิ่งเรียบเหมือนเคย และช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เองที่ทำให้มัตสยาได้พิจารณาเจ้านายคนใหม่อย่างเต็มตาเสียที ถ้าไม่นับสีหน้าที่นิ่งเรียบเขาคือผู้ชายที่หล่อมาก ๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว เป็นดารานายแบบได้สบาย
เสียงสัญญาณของลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูสีเงินที่เปิดออกบ่งบอกว่าถึงจุดหมายแล้วทำให้มัตสยาเลิกสนใจรูปร่างหน้าตาของเจ้านายใหม่ทันที แล้วตั้งใจเดินตามเขาไปที่รถ แม้อภิรักษ์จะบอกว่าแจ้งคนขับแล้วแต่เธอเพิ่งมาเลยไม่รู้ว่ารถคันไหนและใครคือคนขับ
พอขึ้นไปนั่งบนรถ สิ่งที่มัตสยาทำคือดูตารางนัดของเจ้านายคนใหม่อย่างละเอียดรวมถึงอ่านข้อมูลสำคัญ ๆ ที่เธอต้องจดจำเกี่ยวกับเจ้านายคนนี้ ซึ่งอภิรักษ์ก็ทำให้มันง่ายขึ้นโดยการทำเป็นเลคเชอร์ให้เธอมาเสร็จสรรพ กลับไปเธอจะกราบขอบคุณเขางาม ๆ และเลี้ยงข้าวสักมื้อ
มัตสยาอ่านไปเรื่อยโดยรวม ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยทำมามากนัก แต่จากที่อภิรักษ์ชอบมีดอกจันไว้เสมอนั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นคนค่อนข้างเนี้ยบและจริงจังมาก ๆ คนหนึ่ง ทว่าพออ่านมาถึงหัวข้อหนึ่ง หญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกค้าห้ามให้เขาพบหรือรับนัดโดยที่ไม่ผ่านความเห็นของชายหนุ่มเด็ดขาด และเมื่อมีกรณีต้องห้ามก็ต้องมีที่ยกเว้นเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นก็คือคุณนายนิลมณีแม่ของชายหนุ่มนั่นเอง มัตสยามาร์กเอาไว้แล้วอ่านส่วนอื่น ๆ ต่อ อยู่ ๆ โทรศัพท์มือถือที่เธอได้มาจากอภิรักษ์ก็ดังขึ้น มัตสยากดรับพร้อมกับแนะนำตัวเสร็จสรรพ เหมือนทางนั้นจะชะงักเล็กน้อย แต่เพราะมัตสยาแนะนำตัวแล้วว่าเป็นเลขาฯ ของวาทีเธอจึงคุยต่อ “ฉันจะนัดกินข้าวกับวาทีเที่ยงนี้ค่ะ”
“ให้แจ้งคุณวาทีว่าใครต้องการนัดคะ” มัตสยาถามเพราะเธอต้องไปแจ้งรายละเอียดให้กับวาทีทราบอีกต่อหนึ่ง
“มินลิค่ะ”
“คุณมินลินะคะ” มัตสยาทวนชื่อยังไม่ทันจะได้พูดอะไร วาทีที่นั่งอยู่ข้างก็โบกมือเป็นการบอกปฏิเสธ
“ค่ะ” เมื่ออีกฝ่ายตอบรับ มัตสยาก็รู้ว่าควรจัดการกับผู้หญิงรายนี้ยังไงทันที “ดิฉันต้องขอโทษจริง ๆ นะคะแต่เที่ยงนี้คุณวาทีมีประชุมใหญ่น่าจะลากยาวหลายชั่วโมงเลยค่ะ คงไม่สะดวก” เรื่องนี้เธอไม่ได้โกหกแต่มันคือเรื่องจริง แต่จะยาวจริงไหมหรือนานแค่ไหนอันนี้เธอก็ไม่ทราบแต่เมื่อจะปฏิเสธมันก็ต้องยาวไว้ก่อน
“ก่อนเที่ยงล่ะคะ” อีกฝ่ายยังพยายามและมีน้ำเสียงที่เริ่มขุ่นเข้มขึ้นมาเล็กน้อย
“คุยงานกับลูกค้าอีกสามรายค่ะ” มัตสยายิ้มให้คนในสายทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็นเลยสักนิด แต่ถ้าเห็นจริง ๆ ก็จะรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนที่ใจเย็นที่คิดว่าสามารถจะจัดการกับปัญหาตรงหน้านี้ได้แน่นอน
“แล้วช่วงเย็น”
“ประชุมเสร็จคุณวาทีต้องบินไปดูงานที่ต่างจังหวัดต่อเลยค่ะ”
“จังหวัดไหนคะ” ปลายสายถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“หลายจังหวัดเลยค่ะ เป็นการบินแบบไฟลต์ต่อไฟลต์เลยค่ะ”
“งั้นก็ช่างเถอะ แค่นี้ล่ะ”
เมื่ออีกฝ่ายวางสายมัตสยาก็ถอนหายใจ การโกหกนี่ใช้พลังงานไปเยอะเหมือนกันนะ แต่เอาจริง ๆ กับเจ้านายคนก่อนเธอไม่เคยต้องมาโกหกเรื่องแบบนี้เลย
“เย็นนี้มีบินเหรอ” วาทีที่ได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวสองคนตลอดเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเคย