ตอนที่ 1 มรสุมชีวิต (1)
1
มรสุมชีวิต
มัตสยานั่งมองลูกน้อยที่กำพร้าพ่อตั้งแต่ยังแบเบาะ สลับกับคนเป็นพ่อที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากที่สามีของเธอทิ้งไปไม่นาน คนเป็นพ่อก็ลื่นล้มจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและตอนนี้ก็กลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทำให้ตอนนี้มัตสยากลุ้มใจเอามาก ๆ ทั้งลูกน้อยทั้งคนเป็นพ่อ เธออยากออกไปหางานทำ แต่ยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดี
“เชื่อแม่เถอะว่าดูแลได้ พ่อแกก็ไม่ได้ดูแลอะไรมากมาย จริงไหมหลานยาย” นางมินตราหันมาหยอกล้อหลานสาววัยกำลังน่ารัก อย่างเอ็นดูระคนสงสาร ไม่คิดว่าครอบครัวของลูกสาวจะมาพังทลายลงเพราะมือที่สาม
“ไม่ได้หรอกค่ะ” มัตสยาแย้ง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามันลำบากมากแค่ไหน ลำพังแค่ลูกสาวของเธอวันไหนงอแงก็เล่นเอาไม่ได้พักเลยทีเดียว ถ้าปล่อยให้แม่ที่อายุมากแล้วมาดูแลผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้กับเด็ก
แบเบาะคงได้เหนื่อยจนล้มป่วยไปอีกคนแน่ “มัทว่าจะจ้างคนมาเลี้ยงยัยหนู เอาแค่ช่วงที่มัทไปทำงานก็พอ”
“เปลืองเปล่า ๆ เก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า ตอนนี้เสาหลักมีแค่แกแล้วนะมัท” นางมินตรามองลูกสาวอย่างเห็นใจ ลูกก็ยังเล็กผัวก็มาทิ้งงานก็ยังไม่มีทำ
“ค่ะ” มัตสยาพยักหน้ามองอีกสามชีวิตที่ตัวเองจะต้องดูแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ เรื่องงานบางทีเธออาจจะต้องให้ญารินดาเพื่อนสนิทลองช่วยดูให้อีกแรง ไม่สนหรอกว่าการที่จะได้งานมาจะเป็นเด็กเส้นหรือไม่เส้น ขอเอาตัวให้รอดจากวิกฤตในครั้งนี้ให้ได้ก่อน
และในขณะที่นั่งใคร่ครวญอยู่นั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น “แม่ดูยัยหนูให้หน่อยนะคะจะไปดูก่อนว่าใครมา” นางมินตราไม่ได้ตอบรับ แต่ยกหลานสาวขึ้นมาอุ้มและหยอกล้อ ทำให้หนูน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ
มัตสยาเดินไปชะเง้อคอมองไปก่อนจะขมวดคิ้วกับรถตู้ไม่คุ้นตาที่จอดรออยู่หน้าบ้าน “มาหาใครคะ” เธอถามชายที่ยืนหันหลังให้ และพออีกฝ่ายหันมาเธอถึงกับเปิดยิ้ม เพราะเป็นคนขับรถที่แสนจะคุ้นตา “ยัยวายเหรอคะ”
“ใช่ครับ” อีกฝ่ายตอบรับกลับมาอย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเมื่อก่อนหญิงสาวไปเที่ยวเล่นที่บ้านของเจ้านายบ่อย ๆ
“งั้นเข้ามาเลยค่ะ” มัตสยารีบเปิดประตูบ้านให้รถตู้คันใหญ่ได้วิ่งเข้าไปในบ้าน โดยที่พอเธอปิดประตูเสร็จก็รีบวิ่งไปหาคนที่กำลังลงจากรถ “ยัยวาย...”
“ไงแก” ญารินดาที่ในอ้อมแขนมีลูกน้อยวัยสามเดือนหันมาทักทายคนที่วิ่งเข้ามากอดเธออย่างดีใจ
“นาดามาให้น้าอุ้มหน่อยเร็ว น่ารักตัวโตเท่าพี่ของขวัญแล้วนะเนี่ย” มัตสยายกเด็กน้อยแก้มยุ้ยมาอุ้มและหอมให้สมกับความคิดถึง ก่อนจะหันไปทักทายชายหนุ่มรูปหล่อที่จูงมือลูกสาวคนโตอย่างน้องนาเดียร์ลงจากรถ “สวัสดีค่ะพี่แดนน้องนาเดียร์”
“สวัสดีค่ะ น้องของขวัญล่ะคะ” เด็กน้อยยกมือไหว้แล้วถามหาน้องน้อยอีกคน
“ในบ้านกับคุณยายค่ะ” บอกแค่นั้นเด็กน้อยก็วิ่งฉิวเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย “เข้าบ้านกันเถอะ ฉันกำลังคิดถึงแกอยู่พอดี”
ญารินดามองหน้าเพื่อนที่ดูหม่นเศร้าแล้วพยักหน้ารับ ตบบ่าอีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ “แสดงว่าใจเราตรงกันสินะ ว่าแต่คุณลุงเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวถามขณะเดินเข้าไปข้างในบ้าน
“ได้มาอยู่บ้านเหมือนสีหน้าจะสดใสขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ยังบ่นเก่งเหมือนเดิม” ตอนท้ายมัตสยากระซิบเบา ๆ เพราะคนที่พวกเธอกำลังพูดถึงนั่งเล่นกับหลานอยู่ที่โซฟา
ญารินดากับแดนไทยกมือไหว้ผู้สูงวัยทั้งสองแล้วถามสารทุกข์สุกดิบพวกท่านเล็กน้อย ก่อนจะหันมาคุยกับมัตสยาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
“พี่เชนได้มาหาลูกบ้างไหม” ญารินดาถามถึงอดีตสามีของเพื่อนรัก เท่าที่รู้ตั้งแต่คลอดเคยมาครั้งเดียวจากนั้นก็เงียบหายไปเลย จนตอนนี้น้องของขวัญก็เจ็ดเดือนเข้าไปแล้ว
“ช่างเถอะ เลิกกันแล้วไม่มาก็อย่ามาวุ่นวาย”
“แต่เขาเป็นพ่อน่าจะรับผิดชอบบ้างนะ” ญารินดาแย้ง เธอรู้ดีว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้มันยากลำบากมากแค่ไหน
“ตัวพี่เชนไม่เท่าไหร่หรอกแก แต่แฟนใหม่เขาน่ะสิ พี่เชนมาเยี่ยมลูกครั้งเดียวโทรมาต่อว่าฉันว่าอยากได้ผัวคืนเอาลูกมาอ้างโน่นนี่นั่นบลา ๆๆๆ ฉันทนไม่ได้เลยด่าไปทั้งผัวทั้งเมีย งี่เง่ามากก็ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันดีที่สุด” คิดแล้วมัตสยาก็ได้แต่ส่ายหน้า ถ้าให้อดีตสามีมาร่วมรับผิดชอบลูกแล้วต้องมาประสาทเสียเพราะแฟนใหม่ของอีกฝ่าย สู้เธอเลี้ยงคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ
ญารินดาที่เพิ่งรู้เรื่องฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “ฉันก็ว่างั้นแหละ แล้วแกจะเอาไงต่อ” หญิงสาวมองหลานสาวตัวน้อยที่ตอนนี้คนเป็นยายและตา รวมถึงลูกสาวคนโตของเธอกำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
“ว่าจะปรึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี ฉันอยากไปทำงาน...” พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดีด้วยซ้ำแดนไทที่ตอนนี้รับหน้าที่ดูแลลูกสาวคนเล็กอยู่ก็แทรกขึ้น “พี่ช่วยได้นะ”