...เมียรักสวมรอยแค้น… บทที่3.
ปานพาญาดาไปอยู่ห่างไกลจากสังคมเมือง พ่อลูกที่บุกป่า พลิกฟื้นแผ่นดินแห้งแล้งจนมีทุกอย่างในวันนี้ หล่อหลวมให้ญาดาแกร่งและกล้ามากกว่าพี่สาวที่โตมากับสังคมเมืองและความสะดวกสบาย ญาดาไม่เคยน้อยใจที่มารดาไม่ได้เลือกตัวเอง เธอคิดว่าตลอดว่าผู้ใหญ่มีเหตุผล และการที่ครอบครัวแตกแยก ไม่ใช่ความผิดของทั้งพ่อและแม่
เทิดเลยก้มหน้าทำตามคำขอของบุตรสาวนายจ้าง ที่เขาเองก็รักหล่อนประหนึ่งลูกในไส้
ชุมชนเล็กๆ มีชาวบ้านอาศัยอยู่ร่วมกันไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน ความเคลื่อนไหวในบ้าน ไม่ว่าจะลึกลับซับซ้อนแค่ไหน คนในชุมชนย่อมรู้และเห็นคาตา เหมือนกับเรื่องของยี่หวา ภรรยาผู้น่าสงสาร สามีที่เป็นข้าราชการทอดทิ้ง หลงระเริงไปกับหญิงใหม่ที่ร่ำรวยเงินทอง ความสงสารกัดกินใจคนรอบตัวยี่หวา แต่สุดปัญญาที่จะยื่นมือมาช่วย มันเป็นเรื่องปัญหาครอบครัว และความมักมากของเพศชาย
“พ่อหนุ่มเป็นคนที่ไหลล่ะ ทำไมอยากรู้เรื่องแม่หนูคนนี้”
เทิดยิ้มขรึมใส่ตาคนสอดรู้ “ผมเคยรู้จักกับพ่อแม่หนูคนนี้ครับ และอยากสืบข่าวไปบอกเขาเอาบุญ” ทุกคนรอบตัวรู้ว่าภรรยาของปกป้องเป็นคนบ้านแตกมีมารดาผู้ให้กำเนิดปกป้องคุ้มครองแค่นั้น แต่ยี่หวาอยู่ไกลตามารดา และไม่อยากทำให้เย็นตาพลอยไม่สบายใจไปด้วย เลยไม่ได้นำเรื่องร้อนหูนี้ไปปรึกษาเย็นตาเหมือนทุกครั้ง
“อ้อ...อืม แต่แหม ฉันไม่อยากพูดถึงหรอกนะ เวทนาแม่หนูนั่นแหละ”
คนพูดกระอึกกระอัก ทำท่าเหมือนอยากเล่าและไม่อยากเปิดปากเลยสักนิด
“ป้าคิดว่าทำบุญเถิดนะครับ สงสารคนไกลลูก เพื่อนผมน่าจะอยากรู้ว่าแม่หนูยี่หวาสุขสบายไหม”
“โอ้ย ไม่สบายหรอก ผัวมีเมียน้อย ยังไงก็หน้าชื่นอกตรมแน่ๆ”
เทิดหรี่เปลือกตาลง รู้สึกโกรธแทนบุตรสาวนายจ้าง หล่อนจะทุกข์มากขนาดไหนถึงได้คิดสั้นเช่นนั้นได้
“ผมได้ข่าวมาว่า สามีหนูยี่หวาเป็นถึงคนมีตำแหน่ง ไม่น่ามีนิสัยมักง่ายแบบนั้นได้นะครับ”
“นี่พ่อหนุ่ม เมียที่ไม่มีอะไรเลย กับเมียที่ร่ำรวยทรัพย์สิน เป็นพ่อหนุ่ม จะเลือกคนไหนล่ะ”
จะโทษก็ต้องโทษที่ยี่หวามีแต่ตัว ทำให้สามีสบายไม่ได้
ไม่มีใครอยากลำบากหรอก หากมีตัวเลือกที่ดีกว่า สงสารแต่คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่แบบปกปักนั่นแหละ เลยพลอยซวยไปด้วย ครอบครัวแตกแยกเพราะมารดามีให้บิดาได้ไม่เท่าที่เขาต้องการ
“ถ้าผู้ชายมีสันดานแบบนั้นก็น่าจะเป็นเวรกรรมของแม่หนูยี่หวาแหละครับ หากฝ่าฟันมาด้วยกันตั้งแต่เริ่ม มาทิ้งขว้างกันเพราะอยากสบายตอนนี้ ก็ไม่น่าไปตบแต่งแม่หนูยี่หวามานี่ แบบนี้เท่ากับหลอกลวงนะครับ”
“มันก็จริงนั่นแหละ แต่เมียแต่งที่กอดความขมขื่นไว้ ไม่รู้จะทนได้นานแค่ไหน”
คนเล่ามองขาด ไม่ใครก็ใครก็ต้องคิดแบบนี้ คนสมัยนี้ไม่รู้จักอาย อะไรที่ผิดศีลธรรมไม่ได้ทำให้ต่อมความรู้สึกสะเทือน ตราบใดที่คนรอบตัวบูชาวัตถุมากกว่าค่าความเป็นคน
“ฉันก็ว่า ทำไมไม่หย่าไปเสีย เรียกเอาเสียให้คุ้ม ยังไงฝ่ายที่มาทีหลังเขาก็ยอมจ่าย รวยแบบนั้นจะซื้อผัวสักคนขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง”
เสียงสนับสนุนทำให้เทิดกำมือแน่น สังคมไม่ช่วยกันรุมประณามคนมาใหม่ แต่ดันไปสนับสนุนให้คนเก่าถอนตัว
“สงสารเด็ก ต้องมารับรู้เรื่องแย่ๆ ของพ่อ แม่”
“เด็ก” เทิดคราง “แม่หนูนั่นมีลูกด้วยเหรอครับ”
“มีสิ จะสี่ขวบแล้วมั้ง โรงเรียนก็ยังไม่ได้ไปเรียน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่กล้าถาม เรื่องในครอบครัวเขา”
เทิดเค้นความคิด เขาเห็นของใช้เด็ก แต่แน่ใจว่าไม่มีเด็กอยู่ในบ้านหลังนั้น หลายวันผ่านไปแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนไหว บ้านหลังเล็กนั่นยังไม่มีสิ่งมีชีวิต เขาคงต้องตามหาเด็กคนนั้นก่อน ส่วนสามีของยี่หวา คงต้องให้ญาดาตัดสินใจ
ทุกอย่างที่เทิดบอกเพิ่มความแค้นในใจญาดาสิบเท่า
“หลานคงอยู่กับแม่ หวาคงไม่คิดส่งไปให้พ่อเด็กหรอก”
“คุณญาจะเอาไงครับ บอกคุณท่านก่อนดีไหมครับ”
“อย่าเลยลุงเทิด พ่อคงแล่นมาเป่าสมองไอ้หมอนั่น ญาไม่อยากให้พ่อติดคุกตอนแก่ ญาจะจัดการหมอนั่นเอง นรกมันสบายไปสำหรับคนชั่วพวกนั้น”
“แล้วคุณญาจะทำไงครับ”