...เมียรักสวมรอยแค้น… บทที่3...
“ญาขอคิดก่อน ไม่เกินพรุ่งนี้ญาต้องมีทางออกให้ทุกคน”
ญาดาคิดอะไรเงียบๆ เธอไม่เคยร้ายกับคนอื่นก่อน แต่ก็ไม่เคยยอมให้ใครมาทำร้าย ยี่หวาตายทั้งที่แบกความทุกข์ไว้เต็มบ่า คงไม่สามารถนอนหลับตาสนิท ดังนั้นใครก็ตามที่ถีบยี่หวามายืนตรงจุดนี้ คนเหล่านั้นต้องได้สัมผัสไฟนรก และคั่งแค้นไม่ต่างจากพี่สาวของเธอ
“ไม่คิดจะกลับไปดูดำดูดีเมียเก่าบ้างเหรอคะคุณป้อง”
ฉันทาถามสามีที่เธอฉกมาจากภรรยาแต่งของเขาหน้าด้านๆ ปกป้องยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบ ถอนใจแรงๆ “กลับไปก็ทะเลาะกัน ผมเบื่อ”
“ให้ฉันไปจัดการไหมคะ หย่าๆ กันเสียก็จบ ป๊าเริ่มบ่นแล้ว ป๊าไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
ถึงปกป้องจะหอบผ้ามาอยู่กับฉันทาในบ้านหลังใหม่แล้ว แต่เขายังติดพันธะทางกฎหมายกับยี่หวาอยู่ คนรอบตัวทุกคนรู้ ไม่มีใครพูดต่อหน้า แต่ลับหลังเธอกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา ในระยะยาวมันไม่ดีกับธุรกิจที่ทำอยู่ แถมปกป้องยังอาจจะเสียชื่อเสียง ฉันทาไม่เข้าใจยี่หวานัก หล่อนจนแทบไม่มีกิน ไม่รู้จะยื้อสามีไว้ทำไม ในเมื่อเธอเต็มใจจ่าย
“อย่าเลยครับ ฉันจะเสียชื่อเปล่าๆ ให้ผมจัดการเองดีกว่า”
ปกป้องตอบเสียงสุภาพ เขารู้ดี ฉันทาไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูกน้องรับใช้ของหล่อนอันธพาลดีๆ นี่เอง
ยี่หวาคงทานไม่ไหว เผลอๆ จะเจ็บตัวด้วย หากยั่วโทสะฉันทาบ่อยๆ
“อย่าให้นานนักนะคะ ฉันไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องฉันลับหลังนักหรอก”
ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่แคร์ แต่เมื่อถลำมาบนเส้นทางนี้แล้ว ทางเดียวที่ฉันทาจะเชิดหน้าเหมือนเก่าได้ เธอต้องได้ปกป้องมาครอบครองทั้งตัวและพันธะทางกฎหมาย
“ขอเวลาผมสักเดือนนะฉัน”
“นานกว่านั้น ฉันจะลงมือเองนะคะ” ฉันทาสำทับ พร้อมกับยิ้มเหี้ยม ปกป้องผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ทางออกของเขา คงเจ็บปวดทุกฝ่าย ผิดที่เขาหลงระเริงไปกับความสะดวกสบาย จนกลับไปใช้ชีวิตยากลำบากแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขานึกถึงแววตาของบุตรชาย ปกปักคงเกลียดเขาเข้าไส้
บทที่4.แผนแรก
บ่ายแก่ๆ แสงแดดจัดจ้าจนแม้แต่นกยังต้องหาที่หลบ บ้านไม้กึ่งปูนกึ่งไม้ ด้านบนคือไม้เนื้อแข็ง ด้านล่างที่ต่อเติมทีหลังด้วยปูนมีอาคันตุกะมาเยือน ร่มสีดำดูดแสงแดดจนคนที่หลบใต้ร่มยังแสบผิว เสียงสุนัขเฝ้าเรือนเห่าดังขรม คนในบ้านเดินเอื่อยๆ ออกมาหยีตามองฝ่าเปลวแดดถึงกับยิ้มกว้าง พลางตวาดสุนัขเสียงลั่น
“จะเห่าอะไรนักหะ นั่นยี่หวาเอง จำไม่ได้หรือไงวะ”
ญาดายิ้มกร่อยๆ ส่งให้ มารดาในความทรงจำทรุดโทรมลงตามวันเวลา แปลกอะไรล่ะ เธอจากบ้านหลังนี้ไปตอนสิบขวบ บัดนี้เธออายุยี่สิบหกปีแล้วนะ แม่ไม่แก่ลงเลยสิน่าแปลกมากกว่า
“เข้ามาสิหวา ยืนตากแดดทำไมล่ะ” เย็นตากวักมือเรียกบุตรสาว พลางตะโกนเรียกหลานชาย “ปกแม่มารับแล้ว ลงมาดูสิ”
เสียงวิ่งตึงๆ ดังจากบันได จนกระทั่งเด็กชายวัยสี่ขวบมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ปกปักยืนเอียงคอมองมารดา เขารู้ดีว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ไม่คิดจะพูดออกมา มือเล็กๆ สวมกอดมารดาพลางสะอื้นไห้
ญาดาทรุดตัวนั่ง รวบหลานรักมากอดแนบอก หยดน้ำตาเธอไหลออกมาเหมือนลืมปิดก๊อก
“เอ้า ทำเหมือนไม่เคยเจอกัน จากกันแค่ไม่กี่วันเองนะ ร้องไห้ทำไมล่ะ”
ญาดาฝืนยิ้ม ยังกอดหลานชายไว้เหมือนเดิม “หวากับลูกไม่เคยห่างกันนานแบบนี้นี่คะ” ปกปักเอียงคอมองมารดาซ้ำ เด็กชายทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา ญาดาเลยรีบยกมือปิดปาก พร้อมกับมองสบตาเขา
“นั่นสิ แม่ก็ว่าแปลก จู่ๆ ก็ส่งหลานมาหาแม่ มีปัญหาอะไรกับพ่อป้องหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ หวาแค่ติดธุระ”
“อ้อ ดีแล้ว พ่อป้องเขาทำงานคนเดียว หาเลี้ยงตั้งสามคน อะไรที่ทนได้ก็ทนไปเถอะ”
เพราะแม่ปลูกฝังยี่หวาแบบนี้หรือเปล่า ยี่หวาเลยพยายามทน ทนจนทนไม่ไหว และตัดสินใจทิ้งโลกนี้ไปดื้อๆ ญาดาเม้มปาก ลุกขึ้นยืนและกำมือปกปักไว้แน่น หลานคนนี้จะต้องไม่เหมือนมารดาเขา ญาดาจะคุ้มครอง ปกป้องเขาให้สู้คน