4
ตอนที่ 1
สิงหรัฐ ศิริสกุลชัย นั่งไขว่ห้างจ้องมองผู้เชี่ยวชาญด้านการดูเพชรพลอย กำลังใช้กล้องส่อง ‘สร้อยรัตนามณี’ อันเป็นสมบัติอันล้ำค่าชิ้นสำคัญของตระกูล ‘รัตนนาวิน’ ที่ไม่ได้ล่วงรู้ว่ากำลังถูกทายาทลำดับที่หนึ่งฉวยมาโดยไม่บอกกล่าว เพื่อถลุงในบ่อนของจักรวาล ไกลเลิศหล้า หนุ่มวัยสามสิบทายาทนักการเมืองดังในเมืองปากน้ำ
“ของแท้ครับคุณเนย์ ราคาตอนนี้ไม่น่าจะหนี สามหรือสี่สิบล้าน นี่ยังไม่นับรวมกับมูลค่าทางด้านจิตใจที่เป็นสมบัติตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษด้วยนะครับ”
เขายิ้มน้อย ๆ รับคำแล้วมองเพื่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้กวี บอดี้การ์ดหนุ่มและอีกสารพัดหน้าที่ ยกกระเป๋าหนังแท้ที่ด้านในมีเงินสดจำนวนยี่สิบล้าน แล้วยื่นให้
“ทำให้มันเสีย แล้วเอาทุกอย่างที่มันมีมาให้ฉันทีนะเพื่อน ถึงเวลาที่ไอ้เลวนี่จะต้องไม่เหลืออะไรแม้แต่ศักดิ์ศรีของมันแล้ว”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพื่อน ว่าแต่ต่อไปจะเอาอะไรดี ตึกหรือว่าบ้านดีล่ะ”
จักรวาลเอ่ยยิ้มๆ และไม่แม้แต่จะเปิดกระเป๋านับเงิน
“อะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นบ้านจะดีกว่า ฉันอยากให้พวกมันไม่มีที่ซุกหัวนอนไปตามๆ กัน อยากรู้นักว่าความเป็นหม่อมราชวงศ์ที่พวกมันภาคภูมิใจนักหนาจะทำให้อิ่มท้องได้หรือเปล่าเวลาไม่มีเงิน!”
“ได้เลย!”
เมื่อเพื่อนรับคำมั่นเหมาะแล้ว เขากับผู้เชี่ยวชาญก็รวบสร้อยเก่าแก่ลงกล่องแล้วออกทางด้านหลังของบ่อน เพราะไม่อยากให้ใครเห็น ก่อนจะแยกกันตรงลานจอดรถ เมอร์เซเดส–เบนซ์ S400 Hybrid AMG Premium ถูกบอดี้การ์ดหนุ่มควบออกไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเจ้านายมีนัดกับลูกค้าคนสำคัญที่ห้องอาหารหรูในโรงแรม ‘The Grand Convention Hotel Bangkok’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายกิจการของเจ้านายที่ได้รับเป็นมรดกจากพ่อแม่ที่เป็นคนริเริ่มไว้ให้มาเป็นสิบปีแล้ว
“ขอบใจนะกวี ไปพักเถอะ”
ห้าทุ่มนิดๆ รถเขาจอดกึกลงตรงหน้าประตูคฤหาสน์หรูหราทรงโคโลเนียลสีขาวสี่ชั้น ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมจากยุโรป ราคากว่าสองร้อยล้านบาท และทุกครั้งเมื่อก้าวเข้ามาด้านใน ภาพแรกที่เขาคิดถึงนั่นคือ แม่กับน้องสาวจะนั่งเลือกชุดจากแคตาล็อกที่ส่งตรงมาจากอิตาลี
ภาพพ่อนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศชั้นสอง แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืน ก็ยังคงนั่งทำนั่นทำนี่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่วันนี้ไม่มีภาพเหล่านั้นให้ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว และไม่มีมาสามปีแล้ว แม้จะโหยหาและอยากให้ทุกคนกลับมาอยู่ในบ้านอันแสนอบอุ่นและเป็นบ้านที่ทุกคนรักสักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางที่ความต้องการจะเป็นจริงขึ้นได้
“ยังไม่หลับค่ะคุณเนย์ ป้าบอกให้นอนยังไงก็ไม่ยอม บอกว่าจะรอคุณพ่อก่อน”
น้อยแม่บ้านใหญ่วัยห้าสิบที่มีร่างกายตรงกันข้ามกับชื่อรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่ม เมื่อเจ้านายหนุ่มเอ่ยถาม แล้วพยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้าวขึ้นไปตามบันไดโค้งวนไปหาชั้นสอง
“คุณพ่อขา!!!”
เด็กน้อยวัยสามขวบครึ่งนาม ‘สิริรัตนา ศิริสกุลชัย’ หรือ ‘น้องเนเน่’ ที่คุณพ่อหนุ่มวัยสามสิบรักเท่าชีวิต เพราะเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาหลงเหลืออยู่ในตอนนี้ หากไม่นับลุงป้าน้าอาทั้งฝ่ายพ่อกับแม่ที่มักจะมาคอยวุ่นวายด้วยความหวังดี จนบางครั้งสร้างความรำคาญให้เขาก็มี
“ว่าไงครับลูกสาวพ่อ ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอนอีกคะ”
คุณพ่อวางสูทไว้ปลายเตียง แล้วทรุดกายลงนั่งใกล้ร่างเล็กๆ ในชุดนอนผ้าฝ้ายสีฟ้าซึ่งเป็นสีโปรดของหนูน้อย
“พรุ่งนี้วันเสาร์คุณพ่อบอกว่านอนดึกสุดได้ถึงเที่ยงคืนค่ะ”
“เหรอจ๊ะลูกสาวพ่อ! ไหนมาให้หอมแก้มที อื้ห์มมมม ชื่นใจคุณพ่อ ทีนี้ก็นอนได้แล้วนะครับ พี่ต้อยจะได้ลงไปนอนสักที”
“ค่ะคุณพ่อ”
ลูกน้อยมักจะว่าง่ายเสมอๆ และนั่นทำให้ภาระในการเลี้ยงของเขาเบาลงมาก แม้จะมีน้อยแม่บ้านร่างใหญ่ กับต้อยลูกสาววัยเพียงยี่สิบเอ็ด แต่มีลูกสองแล้วคอยช่วยเป็นแขนเป็นขาให้ แต่เขาก็จะต้องให้ความอบอุ่นกับลูกสาวในทุกครั้งที่มีโอกาส
“ฝันดีนะคะลูกสาวพ่อ”
เขากระชับผ้าห่ม แล้วก้มไปหอมแก้มลูกอีกครั้ง แล้วหันไปยิ้มให้ต้อยที่นั่งอยู่บนเตียงของแม่ที่กำลังจะขึ้นมาผลัดเวรแตะมือกัน ต้อยจะได้ลงไปนอนกับลูกสาวทั้งสองที่อยู่ในวัยสามกับสี่ขวบ และไร้ซึ่งสามีมาคอยเลี้ยงดู เพราะเขาไม่อาจจะเสี่ยงปล่อยให้ลูกนอนคนเดียวมาตั้งแต่แม่แท้ๆ ของลูกลาจากโลกนี้ไปเมื่อสามปีก่อนได้
เขาคว้าสูทแล้วเดินออกไปเมื่อน้อยโผล่หน้าเข้ามา กล่องหนังแท้สี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเปิดดูสร้อยประจำตระกูล ‘รัตนนาวิน’ ก่อนจะยัดเข้าไปเก็บไว้ในเซฟข้างโต๊ะทำงานบนชั้นสองอย่างไม่สนใจใคร่อยากได้มากไปกว่าได้ขย้ำไอ้ชาติชั่วนั่นให้ตายทั้งเป็นแทน แต่สมบัติเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะประกอบกันเป็นชิ้นส่วนใหญ่ๆ ของเป้าหมายได้
มือถือในกระเป๋ากางเกงถูกคว้าขึ้นมารับสาย ขณะเดินกลับจากห้องทำงานขึ้นห้องนอนบนชั้นสี่อย่างเชื่องช้า และอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่อแผนที่วางไว้เป็นไปตามรูปตามรอย
“สิบล้านเหรอ! ดีๆ ให้มันเสียเยอะๆ อยากได้เท่าไหร่ก็ให้มัน สมบัติชิ้นต่อไปที่ฉันจะเอาคือบ้านที่พวกมันรัก ฉันจะทำให้พวกมันไม่มีที่ซุกหัวนอน หรืออย่างน้อยก็มีบ้านที่ไม่เป็นบ้านเหมือนที่ฉันรู้สึกอยู่ตอนนี้ ขอบใจนะเพื่อน และจนถึงนาทีนี้ ฉันก็ยังอยากจะยัดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้แกเป็นค่าเสียเวลาอยู่ เอางั้นเหรอ! เอ่อๆ ได้ๆ ไม่ว่ากัน”
เขาโยนมือถือลงไปหาเตียงคิงไซส์ แล้วรีบเปลื้องเสื้อผ้าตาม ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ แล้วกลับออกมาในเวลาไม่นานนัก ห้องทำงานคือที่ที่เขาเดินไปทรุดกายลงนั่ง เพราะมีงานอีกมากมายรอให้ตรวจตรา