๔ ตกอยู่ในสถานะเหยื่อ (๓)
กว่าจะได้รับประทานอาหารกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ใช่เรื่องง่าย คุณชายกษิดิศยุ่งกับงาน ส่วนหม่อมภัทรวดีก็ชอบออกไปอยู่กับเพื่อน แต่วันนี้กลับได้กินข้าวสามคนโดยบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ไม่มีการพูดคุยอย่างที่ควรเป็น
คุณชายทวีเหลือบมองพี่ชายและมารดาสลับกัน แต่เขาก็เลือกกินข้าวตรงหน้าให้อิ่มเร็วสุดเพื่อจะได้ออกจากเหตุการณ์ชวนหายใจติดขัด
“ชายกานต์...เธอมาอยู่ไทยนานเท่าไหร่แล้วนะ” แต่แล้วหม่อมท่านก็เอ่ย พร้อมปรายตามองลูกเลี้ยงที่นั่งเยื้องทางซ้าย เขาชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารแล้วเงยหน้ามองคนนั่งหัวโต๊ะ
“หนึ่งเดือน..สองสัปดาห์ครับ” คิดครู่หนึ่งแล้วบอกระยะเวลาที่ตนอยู่ไทย
แต่แทบไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทำงานมือเป็นระวิงเพื่อจะได้หาเงินเข้าบริษัท อย่างน้อยทรงคุณก็รอเขาสามปี สูญเสียเงินไปเยอะ จึงอยากตอบแทนด้วยการทำกำไรเข้าสู่บริษัทเป็นเท่าตัว
“นานพอสมควร แต่เรายังไม่ได้จัดงานต้อนรับให้เป็นเรื่องเป็นราว มีหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกลับมาอยู่บ้านกุลนาถ ฉันเลยว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เธอ” บอกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ร่างสูงเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล
ผ่านมาเป็นเดือนเพิ่งจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ...ท่านทำเพื่อหวังผลอะไรหรือเปล่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ต้องการ” เขาจึงปฏิเสธทันทีอย่างไร้เยื่อใย
“แต่ฉันต้องการ เธอแค่มาร่วมงานเฉยๆ มันคงไม่เสียเวลาอันมีค่าของเธอมากนักหรอก” จ้องนิ่งด้วยแววตาคมกริบ คุณชายทวีเห็นท่าไม่ดี เกรงว่ามื้ออาหารนี้จะกร่อยจึงได้พยายามโน้มน้าวพี่ชายที่นั่งตรงข้าม
“ผมว่าดีเลยนะครับ พี่ก็จะได้พบปะเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้งแต่สมัยมัธยม น่าจะมีเรื่องให้คุยสนุกเยอะเลย หม่อมแม่เป็นแม่งานใช่ไหมครับ” เขาเคยคุยกับหม่อมแม่เรื่องเลี้ยงต้อนรับพี่ชายกลับจากต่างประเทศ แต่ก็ถูกท่านปัดตกด้วยเหตุผลเปลืองค่าใช้จ่าย
แต่คราวนี้เห็นเอ่ยขึ้นเองก็คิดว่าอคติในใจของมารดาที่มีต่อคุณชายกษิดิศคงลดลงแล้ว อีกอย่างคนในวงสังคมจะได้ทราบว่าพี่ชายของเขากลับจากต่างประเทศ และมาอาศัยอยู่ประเทศไทยถาวร
“ใช่ เดี๋ยวฉันจัดให้เอง ถือว่าต้อนรับลูกชายคนโตกลับบ้าน” คำว่าลูกชายคนโตทำให้คุณชายยิ้มเยาะตัวเอง เพราะนอกจากสรรพนามที่เรียกท่านแล้ว ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายจะทำตัวเป็นแม่ตรงไหนเลย ยังดีที่อุตส่าห์ให้ซุกหัวนอนอยู่บ้านหลังนี้
“ตามใจหม่อมแม่เลยครับ ผมคงขัดอะไรไม่ได้”
“เป็นวันเสาร์หน้าเลยแล้วกัน เตรียมงานไม่นานหรอก” ระยะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดเพราะแม่งานร้อนใจ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก่อน รีบได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับตัวเองเท่านั้น
“ดีครับ บ้านเราจะได้มีงานรื่นเริงบ้าง” คงมีแค่คุณชายทวีติยากรไม่นึกแคลงใจสักนิด เขามีความสุขที่ได้จะจัดงานต้อนรับพี่ชายเท่านั้น
ไม่รู้เลยว่างานครั้งนี้อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนคู่หนึ่ง...ไปตลอดกาล
งานเลี้ยงต้อนรับคุณชายกษิดิศกลับประเทศไทยถูกจัดขึ้นที่ร้านอาหารของบ้านกุลนาถ โดยอาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์มีแต่ของอร่อยประจำร้านทั้งนั้น ผู้คนต่างเดินเข้ามาตักกินจนต้องเปลี่ยนถาดอาหารไปหลายใบแล้ว
หม่อมภัทรวดีเชิญแขกในวงสังคมมาเยอะกว่าที่คาดเอาไว้ ผู้คนเดินกันขวักไขว่พร้อมเสียงดนตรีบรรเลงเพลงสากล เน้นเครื่องสีอย่างไวโอลินและเชลโล่ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขมีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น
โต๊ะของคุณชายผู้เป็นตัวหลักของงานค่อนข้างปลีกวิเวกจากผู้คนเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว มีเพื่อนสมัยประถมและมัธยมเดินเข้ามาทักไม่ขาดสาย จนเพิ่งได้ว่างเมื่อครู่จึงนั่งคุยกับเพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งเจ้านายอย่างทรงคุณ และเพื่อนสนิทอีกคนคือปรีชา ประมวลผล ลูกชายของนายธนาคารซึ่งกำลังจะรับช่วงต่อบริหารธุรกิจจากบิดา
แต่ต้องแข่งขันกับพี่น้องเพื่อให้ได้ตำแหน่ง มันไม่ง่ายเลยกับการห่ำหั่นของคนในครอบครัว เพียงเพื่อครอบครองอาณาจักรการเงินที่ใหญ่โต
“หม่อมแม่นายคิดยังไงถึงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ ถ้าจะทำก็น่าจะจัดตั้งแต่นายมาสัปดาห์แรกหรือเปล่า” ทรงคุณยกแอลกอฮอล์ขึ้นจิบ พลางกินอาหารว่างตำรับชาววังไม่ขาดปาก ชมแม่ครัวจนอยากเพิ่มทิปให้คนทำอาหารมื้อใหญ่สำหรับคนเกือบร้อย
“ไม่รู้ คงนึกคึกล่ะมั้ง” เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจัดงาน แต่คิดไปก็ปวดหัวเปล่าจึงเลือกหยิบเหล้าขึ้นดื่ม
อย่างไรพรุ่งนี้ก็ไม่มีงาน นอนอยู่บ้านสักวันดีเหมือนกัน จะได้เป็นการพักผ่อนไปในตัวหลังตรากตรำทำงานมาทั้งเดือน แทบไม่มีวันหยุดเป็นของตัวเอง
“แต่จัดก็ดีนะ ฉันลองมองรอบงานเชิญดารามาเยอะเหมือนกัน หน้าตาดีกันทั้งนั้นเลย...เสียดายเขาไม่ชายตาแลฉัน มองนายกันหมด ไม่คิดจะเข้าไปทำความรู้จักหน่อยเหรอ” ปรีชาเอ่ยพลางมองโดยรอบด้วยแววตาหวานเยิ้ม
นักแสดงสาวใส่ชุดราตรีแสนสวยมากันเพียบ หน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา เห็นในโทรทัศน์ว่างดงามแล้วเจอตัวจริงทำเอาเคลิ้มตั้งแต่สบตา น่าเสียดายคนที่เขาหมายตากลับมีเจ้าของเสียแล้ว
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจเริ่มทำความรู้จักใครใหม่” ตอบไม่ใยดี เขาเบื่อกับความรักที่ต้องพบความเจ็บปวด แค่มีเซ็กส์ด้วยก็น่าจะพอแล้วไม่ต้องสานสัมพันธ์ทางใจหรอก
“นายเหมือนปลงกับชีวิตนะเพื่อน อกหักครั้งเดียวทำให้นายตายด้านขนาดนี้เลยเหรอ” เพื่อนสนิทยังคงถามไม่หยุด แต่คุณชายกลับไม่อยากตอบและเบื่อจะคุยเรื่องที่ตนเองพยายามจะลืม
มันไม่ง่ายเลยเมื่อหล่อนคือแฟนที่เขารักมาก วาดฝันอนาคตไว้ด้วยกันจะอยู่ต่างประเทศ แต่งงานและใช้ชีวิตที่นั่นไม่กลับไทย เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วกระทั่งแหวนที่จะขอแต่งงาน กลับกลายเป็นถูกบอกเลิก
แล้วไม่นานหล่อนก็ประกาศแต่งงานกับดยุคผู้ร่ำรวยและพรั่งพร้อมไปด้วยบรรดาศักดิ์...
เขาเสียศูนย์ไปช่วงหนึ่ง จนปล่อยตัวเองกลายเป็นชายเสเพล เที่ยวทุกคืนวันรุ่งขึ้นก็ไปทำงานทั้งที่ยังมีอาการแฮงค์จนเกือบทำงานเสีย ต้องดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันให้ได้ พยายามลืมเธอเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่กลับมา
“เอ่อ ฉันว่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า” ทรงคุณเห็นแววตาคมแดงก่ำท่าจะไม่ดี จึงรีบบอกเพื่อนสนิทให้คุยเรื่องอื่น พวกเขาเลือกจะรื้อฟื้นความหลังตอนไปเรียนอยู่ต่างประเทศ
แต่สักพักปรีชาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้น พลางเลื่อนดูภาพที่ตัวเองถ่ายแล้วลงในอินสตราแกรม กลับพบแอคเคาท์ของคนคุ้นเคยอย่างดัชเชสคนสวย
“หือ...”
“อะไร มีอะไร” ทรงคุณเห็นคนตรงข้ามก้มดูโทรศัพท์แล้วขมวดคิ้วก็นึกสงสัย อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“หญิงกนกลงไอจีบอกว่ายินดีต้อนรับสมาชิกใหม่อีกคน...ท้องอีกแล้วเหรอวะ” คุณชายกานต์ที่ได้ฟังถึงกับกำแก้วแอลกอฮอล์แน่น นับวันหล่อนก็มีความสุขขึ้นเรื่อยๆ ช่างต่างจากเขาที่เวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ไม่มีเรื่องตื่นเต้นหรือทำให้ยิ้มได้เลย
หล่อนไม่ได้ทิ้งความรักของเราอย่างเดียว แต่กลับพรากรอยยิ้มของเขาไปด้วย...
“ชีวิตรักดัชเชสกับดยุคคงมีความสุขน่าดู” ทรงคุณพึมพำเสียงเบา จนเจ้าของงานต้องดื่มแอลกอฮอล์ดับความร้อนรุ่มในอก เขายกแก้วบ่อยจนเริ่มมึนเสียแล้ว
“เครื่องดื่มค่ะคุณชาย” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาให้ แต่คาดว่าคงเป็นหนึ่งในแม่บ้าน ชายหนุ่มจึงไม่ได้คิดอะไรมากทำเพียงยกดื่มจนหมดแก้ว
“พอ พอแล้วไหม” ทรงคุณเห็นก็นึกเป็นห่วงจึงได้บอก
“พวกนายสนุกกันเลย ฉันขึ้นไปนอนดีกว่า” ร่างหนาลุกจากเก้าอี้ พลางตบบ่าเพื่อนทั้งสองแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นค่อยปลีกตัวจากงานแม้มันจะจัดขึ้นเพื่อตัวเองก็ตาม เขาไม่ต้องการอยู่ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในงาน
คงทราบเรื่องหญิงกนกมีลูกคนที่สองหมดแล้ว ไม่รู้ว่าหลายคนสงสารหรือสมเพชตนกันแน่...
ร่างหนาเดินขึ้นไปบนห้องอย่างล่องลอย แล้วปิดประตูลงกลอนค่อยเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำ ส่องกระจกมองตาแดงก่ำที่เหมือนคนจะร้องไห้ก็รีบลูบใบหน้าเรียกสติตัวเอง
เลิกคิดถึงคนที่ไม่ควรได้แล้ว เมื่อหล่อนอยู่สุขสบายกับคนรัก เขาเองก็ควรมีชีวิตใหม่เหมือนกัน อย่าเอาความรู้สึกไปผูกไว้กับคนที่ทิ้งไปไม่ใยดีเลย