๔ ตกอยู่ในสถานะเหยื่อ (๑)
๔
ตกอยู่ในสถานะเหยื่อ
ห้าทุ่มร้านอาหารปิดลงพร้อมไฟดวงสุดท้ายที่ดับ ร่างแบบบางในเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวและกระโปรงผ้าไหมยาวกรอมเท้าสีน้ำเงินนั่งนวดขาตัวเองอยู่โต๊ะริมน้ำ วันนี้หล่อนไม่ต้องเข้าครัวไปเป็นเชฟ แต่ช่วยเสิร์ฟข้างนอกเพราะหน้าที่ถูกมอบให้แม่ครัวที่มาจากวังทวีเดช
...ถือว่าช่วยผ่อนแรงของเธอไปได้มาก
แต่งานเสิร์ฟก็ไม่ได้เหนื่อยน้อยไปกว่ากันเลย เดินไปโต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที แต่ละโต๊ะก็ถามเยอะซึ่งจันทราพยายามแย้มยิ้มแล้วตอบเสียงหวาน แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่อาจแสดงอาการออกไปได้
ตื่นแต่เช้าไปจ่ายตลาด ไหนจะต้องทำอาหารทั้งยังแกะสลักเพราะหม่อมท่านชอบความประณีตในอาหารแต่ละอย่าง หรืออยากหางานให้แม่ครัวก็ไม่อาจทราบ
ช่วยทำความสะอาดบ้านด้านล่าง แล้วประชุมเพื่อเตรียมอาหารในแต่ละวัน เช็ควัตถุดิบของร้านก่อนเปิดช่วงเย็น งานของเธอมีแต่อยู่ในครัวไม่ค่อยได้ออกไปไหน
วิมานที่หลายคนอยากเข้ามาอยู่...เป็นเหมือนกรงขังสำหรับจันทรา
“ไงจันทร์ เหนื่อยไหม ดื่มน้ำกระเจี๊ยบกับพี่เปล่า...อร่อยน้า” คนที่ทักอยู่ในชุดผู้ช่วยเชฟ ยืนอยู่หน้าเตาหลายชั่วโมงจนใบหน้าเต็มไปด้วยความมันจนต้องรีบไปล้างหลังทำงานเสร็จเรียบร้อย
มีไม่กี่คนที่เข้ามาทักทายเธอ และพูดคุยด้วยโดยไม่มีอคติ หนึ่งในนั้นคือคนตรงหน้าที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เป็นนิจ
“ขอบคุณค่ะ...พี่แอนทำเองเหรอ อร่อยดี” แอนคือชื่อของรุ่นพี่ที่อายุห่างกันเพียงแค่สี่ปี แต่เหมือนอีกฝ่ายจะค่อนข้างโตเป็นผู้ใหญ่และผ่านโลกมามากกว่า รู้จักกันตั้งแต่หล่อนเรียนมอปลายเพราะหญิงสาวมักไปวังทวีเดชเพื่อปรนนิบัติท่านย่ายามว่าง
แอนคือแม่บ้านของวังที่มาช่วยเรื่องร้านอาหาร มีตารางงานชัดเจนและต้องกลับวังทวีเดชทุกวันหยุด จันทราจึงพอมีคนให้ปรับทุกข์ด้วย
“ทำเอง พี่เก็บดอกกระเจี๊ยบมาจากวัง แต่มันไม่เยอะเลยเก็บไว้ทำกินเองดีกว่าเสิร์ฟลูกค้า รสชาติกำลังพอดีเลย แหม่ ทำเองชมตัวเอง” ร่างบางดื่มน้ำสีแดงจนหมด รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยหลังจากเหนื่อยทำงานทั้งวัน
โชคดีที่เธอทำร้านอาหารแล้วมีเงินเดือน ไหนจะมีทิปที่ลูกค่าให้แล้วต้องนำมาเฉลี่ยเพื่อพนักงานจะได้ครบทุกคน หญิงสาวจึงมีเงินเก็บในธนาคารมากพอสมควรเพราะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่
ค่ากินค่าอยู่ก็ฟรี เสื้อผ้าของเธอมักเป็นคุณชายทวีที่ซื้อมาให้แล้วเป็นแบรนด์หรูทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด กางเกงยีนส์หรือเดรสสีหวานที่อีกฝ่ายมองว่าเข้ากับหล่อน ไม่แปลกเลยที่คนอื่นจะอิจฉา
“ไม่ชมตัวเองหรอกจันทร์ก็ชม จันทร์ว่าอร่อยพี่แอนมีฝีมือในการทำเครื่องดื่มมาก” ยกนิ้วโป้งพลางยิ้มกว้างเป็นการชื่นชมอีกฝ่าย
“เราก็เก่งเหมือนกันนั่นแหละ คนที่มาร้านก็เพราะฝีมือของจันทร์ทั้งนั้น” จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดนัก หญิงสาวได้รับสืบทอดการทำอาหารต้นตำรับชาววังมาจากแม่ครัวของวังทวีเดช ไหนจะหม่อมมาลีรัตน์ช่วยสอนตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอยังเรียนคณะคหกรรมศาสตร์เพื่อต่อยอดอาชีพในอนาคตอีกต่างหาก
ไม่ให้เก่งเรื่องอาหารได้อย่างไร...งานแกะสลักที่ว่ายากหญิงสาวก็ทำเพียงครู่เดียวก็เสร็จ อาจเพราะความเคยชินที่ทำตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างจึงดูง่ายไปเสียหมด
“นี่เรากำลังอวยกันเองหรือเปล่า”
“อ้าว เราเอาความจริงมาพูด” พูดจบก็หัวเราะร่วนจากนั้นจึงพากันเดินอ้อมบ้านใหญ่เพื่อไปด้านหลังสำหรับเรือนนอนของตนเอง
เธอมีห้องขนาดใหญ่และห้องน้ำในตัวไม่ต้องใช้ร่วมกับคนอื่น ส่วนพี่แอนอยู่ห้องติดกันซึ่งใช้ร่วมกับแม่ครัวจากวังทวีเดช ระหว่างนั้นพวกหล่อนก็เดินผ่านสวนดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ตั้งแต่ท่านย่ายังอยู่ เพราะความชอบของท่านจึงได้ทำให้สวนที่เคยเป็นแค่สนามหญ้า กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ดีจังที่พี่แอนมาอยู่ด้วย...ไม่ต้องกลับวังได้ไหม อยากให้อยู่ด้วยกันทุกวันเลย จันทร์อยู่คนเดียวแล้วเหงา” หล่อนกอดแขนของคนตัวเล็กกว่า แต่กลับอายุมากกว่าด้วยความสนิทสนม ในชีวิตมีไม่กี่คนที่ดีด้วย เธอจึงได้จำคนเหล่านั้นขึ้นใจ
“เหงาอะไรคนเยอะแยะ”
“ดีกับจันทร์กี่คนเชียว...ส่วนมากก็ชอบพูดจาถากถางทั้งนั้นแหละ” ถอนหายใจพลางเงยหน้ามองดวงจันทร์เสี้ยวที่ให้แสงสว่างเพียงน้อยนิด
หล่อนจำได้ว่าตอนเด็กเคยไปบ้านของยายที่ต่างจังหวัด นอนใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วเห็นดาวเต็มท้องฟ้า ทว่าพออยู่เมืองหลวงกลับไม่มีดาวสักดวง พระจันทร์ก็ไม่นวลสวยอย่างที่เคยได้ชมตอนเด็ก
หล่อนเริ่มไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตนเองมองไม่เห็นความสวยของมัน จนกลายเป็นเฉยชาไปแล้วหรือเปล่า...
การอยู่บ้านหลังใหญ่ไม่ได้สร้างความสุขให้เท่าที่ควร ผู้คนมากมายรายล้อมแต่มีคำจิกกัดดูถูก เรื่องน่าจะเริ่มตั้งแต่คุณชายทวีให้ความเอ็นดูเธอมากเกินไป หลายคนอิจฉา หลายคนเห็นถึงความไม่เหมาะสม
แต่กระนั้นก็ไม่ไปบอกคุณชาย กลับเลือกใช้คำพูดร้ายกาจมาลงที่เธอผู้ซึ่งต่ำศักดิ์และควรจะเจียมตัว
โลกใบนี้คนตัวเล็กต้องโดนรังแกเสมอสินะ...
“เราก็อย่าไปยอม ด่ามาด่ากลับสิ” แนะนำทั้งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แอนไม่เคยโดนดูถูกหรือมีเรื่องกับคนใช้ด้วยกัน หล่อนทำตัวกลมกลืนและเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด
“เคยแล้วโดนทำโทษ...อยู่แบบเงียบๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” ใช่ว่าจะไม่เคยตอบโต้ แต่รู้ว่าทำไปไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นอกจากจะทำให้เจ็บใจมากกว่าเดิม
“ไม่งั้นเป็นคุณผู้หญิงของคุณชายทวีแล้วจิกหัวใช้คนพวกนั้นเลยเป็นไง เอาให้สะใจ...อยากด่าดีนักเป็นเจ้านายกดหัวให้หมด” เสนอแนะอย่างตื่นเต้น น้องสาวคนนี้หน้าตาสะสวย หุ่นก็สะโอดสะอง ไม่แปลกใจที่ไปต้องตาคุณชายคนเล็กเข้า
“ไม่เอาหรอก จันทร์ไม่ได้ชอบคุณชายทวีสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงเบา รู้ดีว่าความรู้สึกของตนเป็นอย่างไร แล้วมันก็ไม่รักดีเอาเสียเลยที่มอบให้คนอื่น...ซึ่งชอบทำร้ายจิตใจกันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เธอจะไม่เข้าไปใกล้เขาแล้วก็ตาม
“แต่เหมือนคุณชายจะชอบจันทร์นะ” มองจากมุมคนนอกคงคิดแบบนั้น เมื่อพวกเขาจงใจให้ทุกคนคิด แต่จันทร์ไม่นึกว่าผลตามมามันจะเลวร้ายเช่นนี้
“เฮ้อ เราเข้าบ้านดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะเลย” ถอนหายใจหนักไม่อยากเอ่ยอะไรอีก ระหว่างที่กำลังจะอ้อมไปด้านหลังก็มีรถยนต์คันหรูขับผ่านเสียก่อน พวกตนจึงหยุดแล้วมองดูกระทั่งพาหนะคันนั้นจอดในโรงรถ
ร่างสูงปรากฏกายพลางเหลือบมองพวกหล่อนที่อยู่อีกฟาก โดยมีน้ำพุขนาดใหญ่กั้นกลางระหว่างเราเอาไว้ เขาทำเพียงปรายตาแล้วรีบเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
จันทราพรูลมหายใจเสียงเบา ชะเง้อมองอีกฝ่ายแล้วก้มหน้านิ่ง จากนั้นจึงเดินตามแรงดึงของพี่สาวที่ตนกอดแขนเอาไว้แน่น
“นั่นคุณชายกานต์ใช่ไหม พี่มาบ้านใหญ่ก็บ่อยไม่ค่อยเห็นเลย มองไกลๆ ยังรู้ว่าหล่อมากไม่แปลกใจที่มีคนเข้าหาตลอด” ช่วงนี้คุณชายคนโตเร่งทำงานเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้บริษัท ไปเช้ากลับดึกแทบทุกวัน ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตาเท่าไหร่
หล่อนได้ยินข่าวว่าบริษัทของเขาเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากเพียงแค่เดือนเดียว ผู้คนแห่ไปใช้บริการจนแทบไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มได้พัก ไหนจะเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่มเพื่อให้รองรับงานที่เข้ามาอย่างมหาศาล
เขาเก่งอย่างที่เธอนึกเอาไว้ไม่มีผิด...
“คุณชายไม่ค่อยออกนอกห้องหรอก กลับมาก็ทำงานเหมือนเดิม น่าจะเพราะอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวของบริษัท เลยค่อนข้างทุ่มเท” ตั้งแต่วันที่เอาน้ำชาเข้าไปให้แล้วโดนด่า เธอก็ไม่ย่างกรายใกล้เขาอีกเลย พยายามต่างคนต่างอยู่
แต่ก็แอบมองและเก็บข้อมูลเรื่องอาหารการกินอยู่เป็นนิจ จนรู้ว่าของโปรดคุณชายคือแกงเขียวหวานไก่...