๑ ชุบตัว (๒)
แต่คำขอนั้นไม่เป็นผล สามวันต่อมาหม่อมเจ้าเก็จมณี กุลนาถได้จากโลกใบนี้ไปอย่างสงบ พร้อมกับลูกหลานที่ห้อมล้อมเต็มเตียง ท่านหน้ามืดจนล้มในห้องน้ำ ทั้งโรคแทรกซ้อนที่ทำให้การรักษาค่อนข้างยาก ไม่นานก็สิ้นลม
สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่คนในวังทวีเดชและบ้านกุลนาถ ทุกคนสวมชุดสีดำเพื่อไปร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมและดูแลแขกที่จะมางาน แค่คนของวังก็เพียงพอแล้วพวกเธอจึงมาไหว้ลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกตัวออกมาอยู่ข้างนอก
จันทรา วรรณฤดี มีแววตาหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะสองวันที่ผ่านมาร้องไห้จนหลับทุกคืน เธอเห็นท่านย่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง จำได้ว่าตอนที่เข้ามาบ้านกุลนาถซึ่งไม่มีคนรู้จักหรือคุ้นเคย ตนหวาดกลัวมากแค่ไหน
ได้รับความเมตตาจากท่านย่าคอยดูแลช่วงแรก แล้วมอบให้หม่อมมาลีรัตน์ดูแลเธอยามท่านกลับวังทวีเดช บุคคลอันเป็นที่รักของหล่อนต่างลาลับโลกไปหมดแล้ว...
ทั้งมารดา หม่อมมาลีรัตน์และท่านย่าเก็จมณี...ริมฝีปากหยักสั่นเครือจนต้องเม้มแน่น ยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอด
เธอหลบมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ลานจอดรถ หล่อนไม่ใช่ญาติสนิทเป็นเพียงบ่าวในบ้านที่ท่านให้ความเมตตา จึงไม่มีหน้าที่ต้องไปต้อนรับแขก มีเพียงลูกหลานที่ทำหน้าที่นั้น เดินกันเต็มศาลาพร้อมจัดที่ไว้สำหรับเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมวันนี้
ก่อนจะเผาวันพรุ่งนี้...
“คุณชายกานต์กลับมาแล้วเหรอ” หล่อนรีบซ่อนตัวไปหลังต้นไม้อย่างแนบเนียน พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม รู้ว่าคงไม่มีใครสนใจตนเอง ความมืดของบริเวณโดยรอบช่วยพรางตัวหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
และชื่อที่ถูกกล่าวถึงสร้างความปั่นป่วนให้หัวใจดวงน้อยของหล่อน จนเผลอจิกมือเข้าหากัน คิดถึงใบหน้าคมที่ไม่ได้พบหลายปี เพราะเขาไปเรียนต่อต่างประเทศช่วงปริญญาตรี และเลือกทำงานที่นั่นจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่กลับไทย
การไปของเขาสร้างความเสียใจให้เธอเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะดวงตาคมที่มองหล่อนอย่างกล่าวโทษ ว่าเป็นหนึ่งต้นเหตุให้มารดาของเขาตาย...
“ฉันว่าดูไม่ผิดนะ มากับคุณหญิงกนก...เห็นว่ากำลังคบหากัน” เรื่องใหม่ที่ได้ทราบสร้างความตระหนกให้หล่อนเป็นอย่างยิ่ง ชื่อของคุณชายกษิดิศไม่ถูกกล่าวถึงมานาน เรื่องราวของเขาก็เช่นเดียวกัน
หล่อนไม่ทราบว่าคุณชายใช้ชีวิตอย่างไร การมีโซเชียลมิเดียไม่ได้ช่วยสักนิดเพราะเขาไม่เล่น ส่วนเรื่องโทรทางไกลเลิกคิดไปได้เลย ทางเดียวที่พอจะทราบเรื่องของอีกฝ่ายได้คงจากปากคุณชายทวี ซึ่งนานทีปีหนจะโทรหาพี่ชายต่างมารดาสักครั้ง
“เหมาะสมจริงๆ ศักดิ์ทัดเทียมกันทั้งสองคน แต่เสียดายที่แม่คุณชายกานต์เป็นแค่คนธรรมดา” เหมือนเป็นข้อด้อยเดียวของหนุ่มหล่อผู้เป็นที่หมายปองของหญิงในวงสังคม แม้จะมีคำนำหน้าเป็นหม่อมราชวงศ์ก็ตาม
เธอแอบฟังผู้หญิงสองคนคุยกันอย่างออกรส สายตาพยายามมองหาร่างสูงที่ไม่ได้เจอมาหลายปี แต่มองในศาลาอย่างไรก็ไม่พบจนลอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย
เขามาตอนไหน...ทำไมเธอไม่เห็น
ความเสียใจกับการจากไปของผู้มีพระคุณ แปรเปลี่ยนเป็นอยากพบเจอชายที่ครั้งหนึ่งเคยนับหล่อนเป็นน้องสาว ดูแลอย่างดีในวันที่เพิ่งย่างกรายเข้าตระกูลกุลนาถอันสูงศักดิ์
แต่ไม่นานแววตาที่เขามองหล่อนก็เปลี่ยนไป...
ถึงไม่ใช่ความผิดโดยตรงของหล่อน แต่ตอนนั้นคุณชายเลือกจะโยนความผิดทั้งหมดให้แก่เด็กหญิงที่นั่งร้องไห้เพราะสูญเสียหม่อมสุดที่รักไปเช่นเดียวกัน เธอถูกตราหน้าว่าตัวซวยอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับเขาอยากระบายความโกรธแค้นทั้งหมดกับเธอ
“ได้ข่าวว่าแม่ของคุณหญิงกนกไม่เห็นด้วยในการคบหา กลัวจะได้เลิกกันน่ะสิ” ซุบซิบเสียงเบาแต่หล่อนก็ได้ยินทุกคำ จนกังวลแทนคุณชายที่ต้องเผชิญหน้ากับมารดาของหญิงอันเป็นที่รัก อยู่ในบ้านกุลนาถคุณชายก็โดนหม่อมภัทรวดีรังแก
พอมีแฟนก็โดนรังเกียจจากครอบครัวของอีกฝ่าย ทั้งที่มียศศักดิ์เช่นเดียวกัน...
“รีบเข้างานดีกว่า” เหลือบมองข้างหลังเห็นคนเดินเข้ามาใกล้จึงรีบจูงมือเพื่อนเดินเข้างาน ดวงตากลมโตเหลือบมองบุคคลที่ค่อยเดินผ่านครรลองสายตา
ริมฝีปากหยักเผยอขึ้นยามมองดวงหน้าคมใต้แสงไฟที่ส่องสว่างตามทางเดิน ไม่เจอกันนานรู้สึกว่าเขาสูงกว่าเดิม ทั้งยังหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง หุ่นหนากว่าตอนเป็นวัยรุ่น มีรัศมีของผู้นำเปล่งประกายจนเผลอมองตาค้าง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คุณชายกานต์ก็ยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง...เหมาะสมกับผู้หญิงที่เดินข้างกันเป็นอย่างยิ่ง
“คุณจะไม่บอกหม่อมป้าก่อนเหรอ ถ้าท่านรู้ว่าคุณมาโดยไม่บอกจะไม่โกรธแย่เหรอคะ” ทั้งคู่หยุดยืนตรงหน้าเธอพอดี ทำให้จันทราเลือกจะเร้นกายหลบหลังต้นไม้ กลั้นหายใจราวกับกลัวเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
เธอตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ ขนาดไม่ได้สบตากับชายหนุ่มยังตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าได้สบตาจะเป็นอย่างไร
มันคงเป็นความรู้สึกของน้องสาวที่คิดถึงพี่ชาย...ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ
“ไม่หรอก รีบเข้างานไปไหว้ศพของท่านย่าดีกว่า” มือหนาเอื้อมไปจับมือหล่อนมากุมไว้ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในงานสร้างความฮือฮาให้คนอื่นเป็นอย่างยิ่ง ทุกสายตาจับจ้องด้วยความสนใจ
นานมากแล้วที่คุณชายกษิดิศไม่ได้กลับประเทศไทย แทบจะหายไปจากงานในวงสังคม ข่าวคราวเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ กระทั่งคนที่ควงมางานด้วยคือหม่อมราชวงศ์กนกลดา ธุวานันท์ ลูกสาวเพียงคนเดียวของหม่อมเจ้าปรีดา ธุวานันท์และหม่อมราชวงศ์ณัฐินี ธุวานันท์ จึงเป็นที่หวงแหนจากท่านพ่อและหม่อมแม่
หวังว่าคนที่เคียงคู่จะเหมาะสมกับบุตรสาวของตน...ไม่ใช่คุณชายที่เป็นเพียงลูกเมียบ่าว
งานสวดพระอภิธรรมผ่านพ้นไป ครอบครัวกุลนาถจึงพากันกลับมายังเรือนใหญ่ แล้วนั่งพูดคุยอยู่ห้องโถงกว้าง เพดานโถงค่อนข้างสูงมีแชนเดอร์เลียราคาหลักล้านห้อยอยู่ตรงกลาง ส่องสว่างแสงสีส้มนวลตา
กลิ่นหอมจากกลุ่มดอกไม้ที่ถูกจัดอยู่ในแจกันโชยเข้าจมูก อากาศเย็นสบายพัดผ่านร่างกายจากเครื่องปรับอากาศที่ถูกซ่อนอยู่บนเพดาน กำแพงวาดลวดลายฉลุจากช่างมีฝีมือ เน้นสีขาวน้ำเงินตามความชอบของท่านชาย
หลายราชสกุลที่เหลือเพียงยศแต่ไร้เงินทอง ต่างจากบ้านกุลนาถที่มีทั้งยศศักดิ์และเงินตรา จึงเป็นเหมือนบ่อทองให้คนดาหน้าเข้าหา โดยเฉพาะคุณชายทวีที่เพิ่งเรียนจบแล้วเข้าทำงานในบริษัทนำเข้ารถยนต์ เป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคน...
ทว่าก็ไม่มีผู้ใดผ่านด่านหม่อมภัทรวดีได้เลยสักคน คุณชายทวีติยากรจึงยังครองโสดมาถึงทุกวันนี้
“ดีนะ...กลับไทยมาทั้งทีฉันรู้คนสุดท้าย ชายกานต์คงไม่เห็นหัวของแม่คนนี้แล้วล่ะ จะทำอะไรไม่เคยบอกกล่าว บรรดาแขกเหรื่อเข้ามาถามไม่ขาดฉันก็ทำได้แค่ยิ้มให้เขา เพราะเพิ่งรู้ว่าลูกชายกลับมาจากนิวยอร์ก”
ท่านนั่งหลังตรง มือประสานไว้หน้าตักพร้อมปรายตามาทางลูกเลี้ยงของตนเอง ถึงจะไม่ชอบมารดาของอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เพราะคำว่าผู้ดีทำให้ต้องกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ลึกสุดหัวใจ
การที่เป็นถึงหม่อมราชวงศ์แต่ต้องมาตบแต่งกับท่านชายที่มีบ่าวก้นครัวเป็นเมียคนแรก ทำให้อดสูใจเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่มารดาของท่านชายเป็นฝ่ายทาบทาม เพราะเห็นถึงความเหมาะสมทุกประการ คงไม่ต้องเป็นเมียหลวงที่มาหลังเมียน้อยให้คนอื่นได้เอาไปนินทาแบบนี้หรอก
“ผมต้องกราบขอโทษหม่อมแม่ที่ไม่ได้เรียนให้ทราบก่อน ทุกอย่างมันค่อนข้างฉุกละหุก” ใบหน้าเรียบเฉยกับแววตาไร้ความรู้สึกสร้างความโมโหให้ท่านเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนมรว.กษิดิศไม่ใช่คนนิ่งเงียบเช่นนี้ แต่หลังการจากไปของหม่อมมาลีรัตน์เหมือนพรากคุณชายกานต์ผู้ร่าเริงไปด้วย เขาร้ายกาจจนคล้ายเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มเป็นนิจ
“แล้วไงล่ะ จะกลับมาอยู่ไทยเลยไหม”
“ผมต้องกลับไปทำงาน แค่จะมาส่งท่านย่าเป็นครั้งสุดท้าย” ตอบตามความจริง การกลับไทยครั้งนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เขาเตรียมตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับไปทำงานเรียบร้อยแล้ว หลังพิธีพระราชทานเพลิงศพเรียบร้อยก็คงต้องบินออกจากประเทศบ้านเกิด
บ้านหลังใหญ่ที่เคยอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ พอหม่อมเจ้าเก็จมณีจากไปก็มีเพียงความโศกเศร้าโอบล้อม ชุดสีดำที่สวมสร้างความหม่อนหมองมากกว่าเดิม แต่ยังไม่น่าเจ็บใจเท่าการที่ลูกชายของบ่าวในเรือนคบหากับลูกสาวของหม่อมเจ้าปรีดา
ขณะที่ลูกชายของหล่อนยังไม่มีคนข้างกายเป็นตัวเป็นตน...ทว่ากลับมีข่าวลือเข้าหูว่าคุณชายทวีชอบพอกับคนรับใช้ในบ้าน
เด็กที่ท่านรับมาเลี้ยงอย่างจันทรา...