บทที่ 9 โลกปัจจุบัน
“ท่านประธานคะ ผู้ป่วยห้องวีไอพีหนึ่งเจ็ดศูนย์หนึ่งอาการทรุดหนักค่ะ”
โจวเจี๋ยหลุนอ่านรายงานทางการแพทย์ของผู้ป่วยวีไอพีแล้วพยักหน้าให้กับซูเซียนจือเลขาคนสวยของเขา
“สั่งทีมแพทย์ให้ดูแลใกล้ชิด ผมจะเป็นคนบอกอาการของผู้ป่วยกับคุณลุงคุณป้าเอง เรื่องนี้อาจต้องให้คุณพ่อช่วยจัดการ”
โจวเจี๋ยหลุนเอ่ยขึ้น ผู้ป่วยห้องวีไอพีหนึ่งเจ็ดศูนย์หนึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทของคุณพ่อ
เธอเข้ามารักษาตัวด้วยโรคภูมิต้านทานตัวเองบกพร่องเมื่อสามเดือนก่อน และตอนนี้อวัยวะภายในเริ่มล้มเหลว
ความจริงเขาไม่รู้จักกับเธอมากนักรู้เพียงแต่ว่าเธอมีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานกันไม่นานแต่เกิดอาการป่วยขึ้นเสียก่อน ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
“ได้ค่ะ วันนี้ท่านประธานมีประชุมตอนบ่ายสองนะคะ”
โจวเจี๋ยหลุนพยักหน้า เลขาคนสวยจึงขอตัวออกจากห้องไป
หลังประชุมเสร็จโจวเจี๋ยหลุนเร่งรุดไปที่ห้องวีไอพีชั้นสิบเจ็ดอย่างเร่งด่วนเมื่อได้รับรายงานว่าคนไข้อาการวิกฤติ เขาเปลี่ยนเป็นชุดใส่เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตาก่อนเร่งรุดเข้าไปในห้องปลอดเชื้อของผู้ป่วย
กระทั่งเทพกาลเวลาพาเจ้าอี้เฟยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของโจวเจี๋ยหลุนร่างของเทพและวิญญาณล้วนโปร่งแสงโจวเจี๋ยหลุนไม่อาจมองเห็นได้
คล้ายกับว่าโจวเจี๋ยหลุนสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ลอยวนในอากาศ เขาชะงักเท้าที่ก้าวอย่างว่องไวกระทั่งบรรดาหมอและพยาบาลที่ตามเขามาเป็นขบวนต้องหยุด และมองหน้ากันด้วยความสงสัย
เจ้าอี้เฟยเพียงเห็นใบหน้าของเขาที่เธอถวิลหาทุกเช้าค่ำถึงกับร่างกายสั่นระริก หญิงสาวหลั่งน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
“ท่านพี่เจ้าคะ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านแล้วช่างเหมือนฝันจริงๆ”
โจวเจี๋ยหลุนอยู่ในอาภรณ์ที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าคมหล่อเหลาของเขายังคงตราตรึงใจของนางเช่นเดิม
แม้นางจะพยายามวิ่งไปกอดเขาแต่สิ่งที่นางไขว่คว้ามาได้คือความว่างเปล่าเท่านั้น
ถึงเห็นหน้าใกล้เช่นนี้แต่ก็มิอาจสัมผัส เจ้าอี้เฟยร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดแล้ว
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์”
แพทย์คนหนึ่งที่เดิมตามโจวเจี๋ยหลุนเอ่ยถาม โจวเจี๋ยหลุนมองไปรอบบริเวณจนทั่ว
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่คือสิ่งใดกัน
กระทั่งใบหน้าที่เฉยชาขยับแล้วส่ายช้า ๆ
“ไปกันเถอะ”
แล้วเขาก็เดินนำหมอและพยาบาลตรงไปยังลิฟต์ด้านหน้า
“หากเจ้ายังมัวร้องเช่นนี้ก็จะพลาดเวลาสำคัญ วันนี้วิญญาณของคนผู้นั้นกำลังจะออกจากร่างแล้ว จะไปหรือไม่ไปรีบตัดสินใจเร็ว”
เจ้าอี้เฟยที่ปวดใจจนต้องงอกายกอดตนเองเอาไว้จึงรีบปาดน้ำตา เป็นเพราะนานเหลือเกินที่นางไม่ได้พบเขา จึงทำให้วิญญาณของนางรู้สึกดีใจจนแทบปริแตก
“ไปเจ้าค่ะ ข้าไป”
เทพกาลเวลามองเจ้าอี้เฟยอย่างเบื่อหน่าย แล้วเร่งอีกครั้ง
“มาสิมัวเหม่อทำไม ข้าอยากจะใช้ลิฟต์เหมือนมนุษย์เร็วลิฟต์จะมาแล้ว”
เจ้าอี้เฟยยิ่งงงงวยเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งสิ่งที่ซ่างเสินผู้นี้เอ่ยนางก็ไม่รู้จัก และไม่เข้าใจว่าคือสิ่งใด
เขาจึงจับข้อมือของนางและลากวิญญาณของเจ้าอี้เฟยจนลอยตามมา
“นี่เขาเรียกว่าลิฟต์ อย่าเชยให้มากมาอยู่ที่นี่ต้องหัดเรียนรู้ให้มากไม่เช่นนั้นหากเข้ากันกับโลกนี้ไม่ได้เจ้าก็อยู่ยากแล้ว คนเหล่านี้คือหมอทั้งหมด เจ้าก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นหมอใช่หรือไม่นี่คือชุดดรีมทีมของพวกเขา อ้อ หรือจะเรียกว่าชุดทำงานก็ได้ประมาณนี้แหละ”
ซ่างเสินผู้รอบรู้เอ่ยขึ้น กระทั่งคำพูดของซ่างเสินก็ดูเปลี่ยนไป เขายังพูดจากแปลก ๆ แล้วบอกว่าคำพูดก็ต้องทันสมัยให้นางหัดพูดแบบนี้เสียด้วย