บทที่ 10 โลกใบใหม่
เจ้าอี้เฟยกลัวซ่างเสินจะรำคาญ นางจึงไม่ถามว่า คำว่าทันสมัยหมายความว่าอย่างไร
ในขณะที่เจ้าอี้เฟยตาโตเมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งปิดดวงตาเขาอยู่ และอาภรณ์ของเทพกาลเวลาก็ยังเปลี่ยนไปจนนางที่เพิ่งมาถึงยิ่งงงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อลิฟต์เริ่มขยับเจ้าอี้เฟยรู้สึกตกใจ นางกระโดดกอดโจวเจี๋ยหลุนเอาไว้ แต่กลับวืดอากาศไม่อาจสัมผัสได้
เทพกาลเวลาหัวเราะเยาะ พร้อมอธิบายเกี่ยวกับโลกสมัยใหม่ให้นางอย่างละเอียดไปทีละอย่าง
เจ้าอี้เฟยผู้ซึ่งเพิ่งเหยียบเท้าเข้ามาในโลกนี้ฟังจนรู้สึกว่าสมองของตนเองกำลังจะบวมอยู่แล้ว
แต่นางก็ยังพยักหน้าและฟังอย่างตั้งใจ
กระทั่งลิฟต์หยุดลง เจ้าอี้เฟยเดินตามโจวเจี๋ยหลุนมาอย่างใกล้ชิด เพียงแต่สัมผัสเขาไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่สามารถละโมบในการเข้าใกล้เขาอีกนิดนี่นา
สิ่งใดที่ควรทำมาตั้งนานนางก็จะทำเสีย หลังจากเข้าร่างของคนผู้นั้นแล้ว นางจะต้องรีบครอบครองเขาให้จงได้
“เจ้าออกห่างเขาได้แล้ว เกาะติดแจเป็นวิญญาณเด็กตามแม่อยู่ได้”
เสียงตำหนิเยียบเย็นดังแทรกอากาศขึ้นมา
“ท่านยมทูตขาว”
เจ้าอี้เฟยงงงัน เมื่อมองยมทูตขาวและยมทูตดำที่ยืนลิ้นห้อยใบหน้าถมึงทึงอยู่เบื้องหน้า
“ข้าได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่แล้วนะเจ้าคะ ท่านจะมาจับตัวข้าหรือ” นางรีบออกตัว
ยมทูตทั้งสองทำความเคารพเทพกาลเวลาโดยไม่สนใจที่จะพูดคุยกับนางสักคำ
เทพกาลเวลาโบกมือ
“เอาเถิดอย่ามากพิธีเลย โลกนี้มีผู้ใดคร่ำครึกันพวกเจ้าก็ด้วยหากมารับคนโลกนี้ก็แต่งกายเสียใหม่ แฟชั่นน่ะต้องเข้ากับยุคสมัย”
ยิ่งซ่างเสินผู้นั้นเอ่ยเจ้าอี้เฟยก็ยิ่งมึนงง นางไม่อาจเรียนรู้ได้ทั้งหมดในชั่วพริบตา แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาสนทนากับเทพกาลเวลาอยู่นางจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอีก
พวกเขาไม่ได้มาจับนางกลับไปเป็นแน่ คงได้รับมอบหมายมาทำหน้าที่กับผู้อื่นกระมัง
ที่ทำได้คือตามท่านพี่โจวเจี๋ยหลุนของนางไปติด ๆ กระทั่งเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง
เจ้าอี้เฟยมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ นางสังเกตเห็นสตรีผู้หนึ่งรูปร่างผอมจนเหลือเพียงกระดูกนอนแนบอยู่บนเตียงประหลาดที่ขยับได้ ใบหน้าของสตรีผู้นั้นคล้ายมีเพียงหนังหุ้มโครงกระดูกเท่านั้น
นางผอมจนน่ากลัวกว่าวิญญาณที่เจ้าอี้เฟยเคยพบ สตรีผู้นั้นยังมีบางสิ่งครอบอยู่ที่จมูกของนาง เจ้าอี้เฟยจึงมองอย่างสนอกสนใจ
แน่นอนว่าท่านเทพกาลเวลาที่กำลังสนุกที่นานนับหมื่นปีจะได้พาใครสักคนมายังโลกนี้ เขาจึงสนุกที่ได้กลายเป็นผู้รอบรู้จึงอธิบายให้เจ้าอี้เฟยฟังด้วยความภาคภูมิใจ
“มันคือเครื่องช่วยหายใจ ในนั้นมีออกซิเจน”
เจ้าอี้เฟยเกาศีรษะ ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ กระทั่งเตียงหลังนั้นเริ่มขยับตัว นางตกใจจนดวงตาแทบถลนออกมา
ตั้งแต่นางตายนางก็ไม่เคยตกใจเช่นนี้ กระทั่งเหาะเหินเดินอากาศหรือทะลุกำแพง ทะลุกาลเวลาก็ได้ผ่านมาหมดแล้วก็ยังนิ่งเฉยอยู่ได้
แต่เจ้าอี้เฟยผู้นี้ดันกรีดร้องกับการเห็นเตียงที่ขยับได้หลังนี้ออกมาด้วยความดังที่ทำให้คนแทบหูแตก
“กรี๊ดดดดดดด”
ยมทูตดำและยมทูตขาวยกมืออุดหู ในขณะที่เทพกาลเวลาเสกหูฟังมาปิดพร้อมกับฟังเพลงของจัสตินบีเบอร์เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงทำลายโสตประสาทของเจ้าอี้เฟย
“สิ่งนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ”
นางกระตุกชายเสื้อที่แปลกประหลาดของเทพกาลเวลาไม่หยุดทั้งชี้มือไปที่เตียงประหลาด
เมื่อเห็นนางไม่ส่งเสียงหนวกหูแล้วเขาจึงยอมทำตัวเป็นพี่เลี้ยงให้นางอีกสักรอบ
“นี่ก็คือเตียง ที่เจ้าเห็นมันขยับได้เขาเรียกว่าเทคโนโลยี...”
หลังจากนั้นก็อธิบายการทำงานอย่างละเอียดราวกับว่าเทพกาลเวลาผู้นี้เป็นผู้คิดค้นและประดิษฐ์มันขึ้น สุดท้ายแล้วเขาจึงเอ่ยว่า
“ข้ารู้เพราะข้าเห็นทุกสิ่งไม่ต้องกล่าวชมเกินไป”
ที่ไหนได้ในตอนนี้เจ้าอี้เฟยคล้ายรู้สึกว่าตนเองสติกำลังฟั่นเฟือนไปแล้ว
โลกนี้ไม่ต้องอาศัยเวทมนตร์ก็คล้ายจะมีเวทมนตร์ที่แปลกประหลาดเสียจริง
นี่คือโลกที่บุรุษที่นางรักเติบโตและคุ้นเคยหรอกหรือ เช่นนั้นนางก็จะพยายามคุ้นเคยกับมันให้เร็วที่สุดเสียแล้ว