บทที่ 3 การเดินทางระหว่างสองโลก
ทุกครั้งที่ขลุ่ยเพรียกบุปผานำพวกเขาเดินทางกลับโลกปัจจุบัน เขาจะเห็นดวงตาละห้อยของเจ้าอี้เฟยที่คอยมองตาม แต่เดิมที่นางยังเล็กนางจะร้องไห้ฟูมฟายทั้งน้ำตา จวบจนเติบใหญ่จึงค่อยทำใจได้ ไร้น้ำตามีเพียงดวงตาเศร้าสร้อยที่คอยมองเขาและโจวเจ้าเว่ยหายไปต่อหน้า
อีกประการหนึ่งที่ทำให้โจวเจี๋ยหลุนหนักใจ คือเจ้าอี้เฟยปักใจในตัวเขาตั้งแต่เล็ก นางถึงขนาดออกปากว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับใครหากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขา
นั่นทำให้โจวเจี๋ยหลุนถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าเมื่อเด็กน้อยผู้นี้จริงจังขึ้นทุกวันในขณะที่ตัวเขานั้นไม่กล้าคิดที่จะมีความสัมพันธ์ไปมากกว่าการเป็นพี่ชายที่แสนดีของนาง
ด้วยตัวเขายังไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดเรื่องราวใดขึ้นหากไม่สามารถแก้คำสาปที่ติดตัวโจวเจ้าเว่ยได้ เขาอาจจะต้องกลับยังโลกอนาคตไปตลอดกาล หรือไม่อาจจะหายไประหว่างเดินทางก็เป็นได้
อนาคตที่มืดมนเช่นนี้โจวเจี๋ยหลุนจึงไม่อาจให้เจ้าอี้เฟยเอาตนเข้ามาเสี่ยงกับเขาได้ เขาจึงวางตนเป็นพี่ชายที่แสนดีมาตลอด แม้ว่านับวันที่เจ้าอี้เฟยเติบโตทำให้เขาหวั่นไหวขึ้นทุกวันก็ตาม
“ท่านพี่ท่านเอามาเยอะหรือไม่” เจ้าอี้เฟยถามขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตนเองกินช็อกโกแลตเข้าไปเยอะ จนลืมนึกถึงวันหน้าไป
“เท่าที่เจ้าเห็นข้ายุ่งไม่มีเวลาเตรียมมาก”
โจวเจี๋ยหลุนยักไหล่จับจ้องสมาธิกับภาพวาดอีกครั้ง เขาแตะพู่กันลงบนกระดาษแล้วลากเส้นเล็ก ๆ จนกลายเป็นภาพดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม ในขณะที่เด็กสาวตั้งอกตั้งใจแกะห่อขนมกิน อย่างช้าๆ เป็นเพราะอีกสามเดือนต่อจากนี้ที่ท่านพี่กลับมา หากนางยังตะกละเช่นนี้คิดว่าของสิ่งนี้ย่อมไม่พอกินเป็นแน่
เมื่อเจ้าอี้เฟยเงียบเสียง โจวเจี๋ยหลุนจึงเพียงมองนางผ่านๆ แล้วตั้งใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้าต่อ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขากลับมาเด็กน้อยจะวิ่งเข้ามาหาสนทนาเรื่อยเปื่อยแล้วเกาะเขาแจไม่ยอมห่าง
จวบจนโจวเจ้าเว่ยมาดึงตัวนางไปทำเรื่องพิเรนทร์ให้ปวดหัวนั่นแหละ เจ้าอี้เฟยถึงยอมห่างเขาได้ หากไม่ใช่ว่าโจวเจ้าเว่ยต้องอยู่เป็นเพื่อนเสด็จย่าให้หายคิดถึง ป่านนี้ทั้งคู่คงได้ออกไปสร้างเรื่องแล้ว
เสียงลมพายุพัดกระหน่ำพร้อมกับเสียงสายฝนที่สาดโหมกระหน่ำลงมา สตรีร่างอรชรบ่นออกมาคำหนึ่ง
“ฝนตกหนักเช่นนี้ท่าทางจะตกทั้งคืนข้าเห็นทีจะกลับจวนไม่ได้เสียแล้ว”
“ท่านอาจะเป็นห่วง รอฝนซาพี่จะไปส่ง”
“ไม่เอา หากโดนฝนเพียงเล็กน้อยข้าอาจป่วยได้นอนที่นี่แหละ” น้ำเสียงคนตัวเล็กช่างเอาแต่ใจนัก
“เจ้าผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว ทำตัวงอแงเป็นเด็กเห็นจะไม่งาม”
“ท่านเป็นว่าที่สามีข้าทำตัวงอแงกับท่านได้” นางโต้เถียงในขณะที่ท่านพี่ของนางดูเหมือนจะสนใจกระดาษด้านหน้ามากกว่าจะตำหนินางจริงจัง
“ข้ารักเจ้าประดุจน้องสาวแต่งงานกันไม่ได้”
“รักเช่นใดก็รักเหมือนกัน” เจ้าอี้เฟยไม่เข้าใจจริงๆ สำหรับนางแล้วเพียงโจวเจี๋ยหลุนรักนางไม่ว่าแบบไหนก็คือรัก เช่นนี้ก็แต่งงานได้
“เจ้ายังเด็กวันนี้อาจไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นจะเข้าใจความหมายที่พี่พูด”
“ท่านพี่เพิ่งบอกว่าข้าผ่านพิธีปักปิ่นแล้วโตแล้ว ท่านพูดจาวกวนเช่นนี้เฟยเอ๋อเริ่มงงเสียแล้ว”
กล่าวจบนางก็ถือวิสาสะมุดศีรษะเข้าไปที่หน้าตักของเขาแล้วใช้ต่างหมอนหนุนนอนอย่างสบายใจ โจวเจี๋ยหลุนไม่อาจขยับหนี ใบหน้าเล็กนุ่มนิ่มของนางทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวนัก เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแล้วพยายามเพ่งสมาธิในสิ่งที่ตนเองทำอยู่
“ท่านอย่าผลักไสเฟยเอ๋อเลย เพียงมีท่านอยู่เคียงข้างข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงมีท่าน”
มือเรียวของโจวเจี๋ยหลุนชะงักค้าง นางยังไร้เดียงสานักในโลกนี้นอกจากความรักแล้วมีสิ่งที่น่ากลัวที่เรียกว่าการพลัดพรากจากคนที่รักรออยู่
หากเป็นเช่นนั้นจริง สตรีที่อ่อนต่อโลกเติบโตมาภายใต้ความรักความอบอุ่นของครอบครัวเช่นเจ้าอี้เฟยจะอดทนได้อย่างไร เขาหลุบตาต่ำมองใบหน้างามหวานซึ้งที่หลับตาอย่างผ่อนคลาย
เส้นผมยาวสลวยของนางช่างนุ่มละมุนคลอเคลียอยู่บนตักของเขา อ่อนหวานจนโจวเจี๋ยหลุนไม่อาจผลักไสนางได้อีก เขากำมือแน่นเพื่อระงับความต้องการของตนเองเพื่อไม่ให้ยกมือไล้ใบหน้างามของหญิงสาว เขาและนางเพียงเท่านี้ก็เจ็บปวดเกินทนแล้ว