บทที่ 2 แคว้นเหลียง
ณ แคว้นเหลียงดินแดนแห่งบุปผางาม โจวเจี๋ยหลุนผู้รั้งตำแหน่งชินอ๋องผู้อยู่ใต้ฮ่องเต้เพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนทั้งปวงนั่งตัวตรงสง่างามภายใต้แสงสว่างของแสงเทียนที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบห้อง ในมือเรียวงามประดุจหยกชั้นดีถือพู่กันชั้นยอดที่ได้รับพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้
ปลายพู่กันทำด้วยขนแพะมันเงาซึมซับน้ำหมึกได้เป็นอย่างดี ส่วนตัวด้ามนั้นทำมาจากงาช้างสีขาวบริสุทธิ์ล้ำค่า ชายหนุ่มตั้งใจลงสลักลายเส้นบุปผา จวบจนใบหญ้าในกระดาษซ่วนจื่อ
กระดาษชนิดนี้ซึมซับน้ำหมึกได้ดีและมีราคาแพงยิ่ง ปกติชาวบ้านธรรมดาหาได้สัมผัสสักเท่าไหร่ โจวเจี๋ยหลุนทราบในข้อนี้ดี เขาจึงตั้งใจระมัดระวังที่จะไม่ทำให้ของดีในมือของตนเองเสียจนเปล่าประโยชน์
เสียงลมพัดดังอยู่ด้านนอก อากาศเช่นนี้อีกไม่นานฝนคงได้เทลงมาเป็นแน่ โจวเจี๋ยหลุนมองไปยังหน้าต่างด้านนอกเมื่อลมพัดแรงขึ้นทุกทีจนทำให้เทียนที่จุดอยู่ภายในดับไปหายเล่ม
เขาโบกมือสองสามครั้งพลันหน้าต่างที่เปิดออกก็ปิดลง เสียงตึงตังของฝีเท้าคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา โจวเจี๋ยหลุนอมยิ้มน้อย ๆ ข่าวการกลับมาของเขาทำให้คนผู้นั้นรู้ได้อย่างรวดเร็วท่าทางว่าจวนชินอ๋องคงมีไส้ศึกที่นางวางไว้จนทั่ว
ทันทีที่เขากลับมาจากวังต้องเป็นนางที่วิ่งตึงตังมาหาเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่เรียกว่าจวนชินอ๋องมีไส้ศึกที่นางวางไว้จะเรียกว่าสิ่งใดได้
“ท่านพี่หลุนเจ้าคะ”
สตรีชุดเขียวรูปร่างอรชรกลับเดินเข้าห้องหนังสือซึ่งถือเป็นสถานที่ส่วนตัวต้องห้ามที่มีเพียงองครักษ์ส่วนตัวและน้องสาวโจวเจ้าเว่ยเท่านั้นที่สามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระเดินเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง
ภายใต้แสงรำไรของเทียนที่ส่องสว่าง ดรุณีน้อยก้าวเท้าไวจนแทบจะเป็นวิ่งไร้ซึ่งความสงบเสงี่ยมเจียมตนตามแบบฉบับสตรียุคโบราณอย่างสิ้นเชิง คิ้วเรียวดำขลับ แววตาสว่างสุกใส จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อบางเฉียบ ผิวที่โผล่พ้นอาภรณ์ขาวผ่องเนียนละเอียด แม้จะอายุเพียงสิบห้าปี เพิ่งผ่านการปักปิ่นมาไม่นาน เค้าความงดงามอย่างสตรีสูงศักดิ์กลับฉายแววโดดเด่นจนทำให้ผู้คนตะลึง
โจวเจี๋ยหลุนมองดรุณีน้อยแล้วทอดถอนใจเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ เขา พลางเปิดกระปุกไม้สลักภาพวาดบุปผางดงามออกแล้วร้องออกมาอย่างดีใจ
“ข้าว่าแล้วว่าท่านต้องเอามันมาด้วย” นางกล่าวจบก็หยิบห่อกระดาษเล็ก ๆ ออกมาจากกระปุกพลางแกะเจ้าก้อนสีดำเข้าปากอย่างร่าเริง
“ที่เจ้ามารวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะช็อกโกแลตนี่หรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” เจ้าอี้เฟยส่ายหน้าพลางยิ้ม
“อาการของเจ้ามันฟ้อง”
“ข้าดีใจที่ท่านพี่มา และยิ่งดีใจที่ท่านนำช็อกโกแลตมาให้ข้า”
เจ้าอี้เฟยยิ้มประจบพลางกอดแขนของเขาแล้วแนบใบหน้าลงบนลำแขนแข็งแรง โจวเจี๋ยหลุนยิ้นบางแล้ววางพู่กัน เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบศีรษะของนาง
เจ้าอี้เฟยแนบหน้าลงแล้วกอดเขาแน่นเป็นเด็กน้อยทั้งคู่สบตากันแล้วต่างฝ่ายต่างหัวเราะ หลายประโยคที่แม้ไม่พูดจาต่างก็เข้าใจในจิตใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
เจ้าอี้เฟยเป็นบุตรสาวของสหายสนิทบิดาเจ้าอี้เหวินซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหลียง เป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่เป็นสหายสนิทจึงทำให้เขาและน้องสาวสนิทกับเจ้าอี้เฟยประดุจคนครอบครัวเดียวกัน