บทที่๓...บ่อเกิดแห่งรัก (๑)
ไม่น่าเชื่อว่าหนุ่มอิตาเลี่ยนจะอาศัยอยู่บ้านพักหลังเล็กเป็นคืนที่สี่แล้ว จากที่นับวันให้ผ่านไปโดยเร็วความคิดก็เริ่มเปลี่ยน นึกเปรียบเทียบชีวิตของครอบครัวนี้กับตัวเองว่าไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตานานแค่ไหนแล้ว
บิดากับมารดาเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ส่วนพี่ชายของเขาก็จากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานสร้างอาณาจักรที่เมืองแห่งนี้ แทบไม่กลับไปเหยียบอิตาลี ปล่อยน้องชายดูแลกิจการทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ไม่ยอมรับมรดกเพราะถือว่าเป็นเงินร้อน
ซึ่งซีน่อนลองจับดูก็ไม่เห็นจะร้อนตรงไหน ออกจะหอมด้วยซ้ำ
“นอนไม่หลับเหรอ” ขณะที่มานั่งดูดาวอยู่สวนของบ้านก็ต้องหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง พบอลิสาเดินเข้ามาด้วยชุดนอนกางเกงลายดอกไม้ ผมที่เคยรวบปล่อยสยายกลางแผ่นหลัง สวยงามเหมือนเทพธิดาที่เขาเคยเห็นในภาพวาดของเหล่าศิลปินระดับโลก
“ผมไม่เคยเห็นดาวมากมายขนาดนี้ เลยมานั่งดู” หล่อนเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า เห็นดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น
“ไม่เห็นเยอะเลย” นั่งลงที่ว่างข้างร่างสูง เธอเองก็นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องให้คิด วันนี้เจ้านายรุกเธอหนักกว่าปกติ ชวนไปรับประทานอาหารเที่ยงทั้งยังซื้อของมาฝากจากต่างจังหวัดอีก เล่นเอาคนลือไปทั่วว่าหล่อนต้องการจะจับเขาเพื่อเลื่อนฐานะ
ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย อลิสาไม่ได้ชอบเกริกแม้แต่น้อย และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เป็นได้แค่เจ้านายลูกน้อง ไม่มีทางพัฒนาไปมากกว่านั้นอย่างแน่นอน
เพราะตอนนี้ใจของเธอมีใครบางคนจับจองไว้แล้ว ทั้งที่เพิ่งเจอกันแต่กลับรู้สึกอยากอยู่ใกล้ อยากไปเที่ยวด้วยกัน ชวนพูดคุยทั้งวันไม่มีเบื่อ นอนหลับก็เห็นหน้า เห็นของอร่อยก็ซื้อมาฝาก
เพื่อนของเธอบอกว่านั่นคือความรัก และหล่อนเองก็ไม่เถียง ไม่อยากปฏิเสธหัวใจตัวเอง ยิ่งเขาเป็นคนต่างชาติก็ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ ทุกวินาทีจึงมีค่าเสมอ
“จินตนาการสิ ไอน์สไตน์เคยบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้” คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะหน้าตาของซีน่อนไม่ได้เชื่อนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกสักนิด
“ทำไมคุณมาเที่ยวประเทศไทยทั้งที่แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้เลยล่ะ” ถามด้วยความสงสัย หลายวันมานี้เธอเจอเขาแค่ตอนเช้ากับช่วงรับประทานอาหาร ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไหร่ จึงใช้โอกาสนี้ไขข้อข้องใจ
“ผมแค่อยากมาเที่ยวแถบเอเชียน่ะ ผมมีเพื่อนอยู่เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไทย เดินทางไปหาเพื่อนแทบทุกประเทศแล้ว เหลือแค่ไทยเนี่ยแหละ แต่เสียดายที่การมาเซอร์ไพรส์ของผมกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเอง” หัวเราะแบบขมขื่น แต่หญิงสาวก็สงสารเขาที่ต้องมาโดนขโมยของสำคัญเช่นนี้
“แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะมันทำให้ผมได้มาเจอคุณ แล้วรู้ว่า คนไทยใจดีแค่ไหน” คำพูดพร้อมแววตาที่จ้องมาเล่นเอาหล่อนใจสั่นไหว
จากที่ตกหลุมรักอยู่แล้ว พอมาเจอประโยคนี้ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองฟ้าแล้วเห็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
“เมืองที่คุณอยู่เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกันไหมคะ” ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วก็อยากถาม ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
“ผมคิดว่าน่าจะดวงเดียวกัน แต่ความรู้สึกอาจจะต่างกันสักหน่อย ถ้าผมนั่งดูคนเดียวคงเหงา แต่ถ้าได้นั่งอยู่กับคุณรู้สึกอบอุ่น” หล่อนไม่คิดว่าเขาจะขยันพ่นคำหวานใส่กันบ่อยขนาดนี้ แถมแววตายังเต็มไปด้วยความเสน่หาจนต้องรีบหลบ
ผู้ชายคนนี้อันตรายอย่างที่เพื่อนของเธอบอกไว้จริงๆ
ธยาน์พูดเมื่อหลายวันก่อนเรื่องของซีน่อน บอกว่าเขาหล่อและหาได้ยากในหมู่ฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทย แต่ก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวในดวงตาคู่นั้น
แต่สำหรับเธอแล้วไม่เห็นถึงความน่ากลัวเลย มีแต่ความน่าหลงใหลคลั่งไคล้เสียมากกว่า
“ฉันเป็นฮีทเตอร์หรือไงคะ” หยอกกลับเล่นเอาหนุ่มอิตาเลี่ยนรีบเปลี่ยนจากโหมดหวานเป็นเฮฮาทันที
“เพราะอยู่ประเทศไทยต่างหาก” หัวเราะทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น นักท่องเที่ยวหลายคนเคยบอกว่าเมืองไทยมีสี่ฤดู คือร้อน ร้อนมาก ร้อนมากๆ ร้อนมากๆๆๆๆ
หล่อนฟังครั้งแรกก็หัวเราะเช่นเดียวกัน ยิ่งช่วงหลังมานี้อากาศเย็นสบายในฤดูหนาวแทบนับวันได้ก็เริ่มโหยหาอยากบินไปต่างประเทศแล้ว ต้องการสัมผัสความเย็นแบบควันออกปากอีกสักครั้งหลังจากไปเที่ยวญี่ปุ่นกับธยาน์เมื่อปลายปีก่อน
“แล้วที่อิตาลีคุณอยู่เมืองอะไรคะ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ หล่อนเคยเห็นที่อยู่ในพาสปอร์ตของอีกฝ่ายแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“โรม ผมอยู่โรม” ย้ำชัด ก่อนจะถามกลับ
“เห็นบอกว่าพ่อคุณเป็นคนอิตาลี ท่านอยู่เมืองอะไรเหรอ” หล่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะกล่าวถึงบิดา
“เมืองโรนีโต้ค่ะ อยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ใหญ่รองจากโรมใช่ไหมคะ อ่านในหนังสือเขาบอกเป็นเมืองเศรษฐกิจแล้วก็ประวัติศาสตร์ มีพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะมากมาย แล้วก็มีท่าเรือขนาดใหญ่ด้วย ฉันอยากไปสักครั้ง อยากเห็นบ้านเกิดของพ่อ” ตั้งแต่เกิดก็เติบโตอยู่ที่เมืองไทย ไม่เคยได้ไปเที่ยวบ้านของท่านซักครั้ง
แม่บอกว่ามันค่อนข้างอันตราย ที่นั่นเต็มไปด้วยพวกมาเฟีย หล่อนจึงไม่คิดจะย่างกรายเข้าไปใกล้ ทำเพียงรับรู้ความเคลื่อนไหวเล็กน้อย และเรื่องสำคัญที่ท่านบอกเอาไว้ให้เก็บเป็นความลับ...
“ใช่ โรนีโต้ เมืองแห่งศิลปะ” คิดถึงภาพวาดในบ้านของตนเองแล้วก็ขนลุก เขาสะสมมันไว้เยอะทั้งที่ตัวเองไม่ชอบ เสียเงินเกือบหมื่นเหรียญเพียงเพื่อใช้มันเป็นใบเบิกทางในด้านธุรกิจ
พี่ชายพูดบ่อยครั้งว่าเขานั้นบ้า ซึ่งซีน่อนคิดว่าแต่ละคนต่างก็มีสไตล์การทำงานในแบบของตนเอง อย่างพี่ชายเขานิยมพุ่งเข้าหาไม่สนมิตรหรือศัตรู ผิดกับน้องชายที่ชอบทำให้เป็นมิตรแล้วตลบหลังทีเดียว
“คุณเคยไปไหมคะ” ชายหนุ่มถึงกับอมยิ้ม เรียกว่าไปคงไม่ถูกเพราะเกิดและโตที่นั่น
“เคยสิ มาเฟียเยอะเลยล่ะ” หันมองหล่อนที่ผินหน้ามาจ้องเข้าพอดี สองหนุ่มสาวสบตากันก่อนที่ฝ่ายหญิงจะหลบเสียก่อน
“ฉันก็เคยได้ยินมาบ้าง” พึมพำเสียงเบา
“คุณกลัวไหม มาเฟียน่ะ” ทั้งที่เป็นคนถามแต่กลับลุ้นคำตอบจนไม่กล้าหันไปมองคนที่นั่งข้างกาย หล่อนเงียบไปสักพักอย่างใช้ความคิด แล้วส่ายศีรษะ
“ไม่กลัวค่ะ ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าให้เข้าใกล้ฉันก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยเท่าไหร่ ห่างเป็นดีที่สุด” นั่นสินะ ใครจะอยากมาข้องเกี่ยวกับมาเฟียที่มีประวัติยาวเป็นหางว่าว ขนาดทางการยังต้องการตัวเลย
ยกยิ้มมุมปากก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น ต่อจากนี้คงต้องปกปิดสถานะเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด แล้วค่อยบอกตอนแผนการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
“ถ้าคุณไปโรมโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ เดี๋ยวผมจะเป็นไกด์พาเที่ยวเอง” เปลี่ยนเรื่องไม่อยากจมอยู่กับความอึดอัด
“ไม่ใช่ว่าคุณจะเมินฉันเหรอคะ” เอียงคอพลางถามด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาชายหนุ่มเกือบเผลอยกมือประคองใบหน้ามาจูบด้วยความเคยชิน
ซีน่อนค่อนข้างติดการสัมผัส กับแฟนเก่าและคู่นอนทั้งหลายล้วนได้รับการโอบกอดอย่างอบอุ่น จนบางคนเผลอคิดว่าเป็นตัวจริง ทำให้เขาต้องตีตัวออกห่างเพื่อบอกกับหล่อนเป็นนัยว่าเป็นได้เพียงคู่นอนเท่านั้น
“ใครจะกล้าเมินคุณกัน ผู้มีพระคุณของผม” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ทำให้สาวธนาคารหลบแทบไม่ทัน หยุดหายใจชั่วขณะไม่เคยใจเต้นตึกตักเหมือนจะทะลุออกมานอกอกแบบนี้สักครั้ง
เสน่ห์ของเขาเกินต้านจนหล่อนต้องรีบลุกขึ้น แล้วยิ้มให้เพื่อกลบเกลื่อนอาการหวั่นไหวที่มีในหัวใจ สำหรับเธอแล้วมันยังเร็วเกินไปกับความรักครั้งนี้
“ฉันง่วงแล้ว ราตรีสวัสดิ์” ออกไปจากสวนแล้วเข้าบ้านพลางปิดประตูอย่างแน่นหนา ปล่อยหนุ่มอิตาเลี่ยนนั่งยิ้มอยู่เพียงลำพัง
ดูเหมือนแผนการจะเป็นไปด้วยดี อีกไม่นานก็คงสำเร็จตามที่คาดหวังเอาไว้
“อันนี้เป็นเหรียญของหลวงพ่อพัฒน์ ราคาไม่ใช่เล่นนะ ส่วนนี่สมเด็จวัดระฆัง ตอนนี้เขาเล่นกันสิบล้านบาทเลย” น้าเขียวพูดในแอพลิเคชั่นก่อนที่มันจะแปลเป็นประโยคภาษาอังกฤษให้ซีน่อนเข้าใจ
ชายหนุ่มเก็บข้อมูลทันทีว่าน้าคนนี้ชอบเล่นพระ แต่ว่าเขาไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ คงต้องให้คาร์ดอสไปศึกษาเพิ่มเติมซะแล้ว มันก็เหมือนการที่เขาใช้รูปภาพเพื่อซื้อความสัมพันธ์ กับชายผู้นี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ถ้าออกจากบ้านหลังนี้ไปจะได้มีข้ออ้างเพื่อกลับมาอีกครั้ง คิดอย่างหมายมาดแล้วนั่งฟังน้าเขียวขณะขายต้นไม้ที่หน้าร้าน
หญิงสาวเข้ามาซื้อต้นไม้เต็มไปหมด แล้วชำเลืองตามองคนที่นั่งอยู่โต๊ะไม้ด้วยท่าทีขวยเขิน หนุ่มฝรั่งหน้าตาหล่อเหลากลายเป็นจุดขายของร้านต้นไม้แสนดี สาวน้อยสาวใหญ่หรือชายที่มีใจรักเพศเดียวกันต่างเข้ามาจับจ่ายจนแทบไม่มีที่เดิน
“กลับมาแล้วค่ะ” สาวธนาคารกลับมาบ้านพร้อมหิ้วถุงขนมกลับเช่นทุกวัน แต่จะแปลกตาหน่อยเพราะคราวนี้กลับมีชายคนหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความไม่ชอบใจ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้าถุงพวกนั้นมาถือเอาไว้เอง จ้องคนตามหลังด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“คุณเกริกคะ นี่ซีน่อนที่เล่าให้ฟังค่ะ” แนะนำชายทั้งสองให้รู้จักกัน แน่นอนว่าหัวหน้าไม่ใคร่ชอบหน้าหนุ่มฝรั่งเท่าไหร่
“ซีน่อน นี่คุณเกริกเจ้านายของชั้นเอง” ขนาดตัวไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่เพราะเกริกเองก็เป็นลูกครึ่ง พ่อเขามีเชื้ออินเดีย ส่วนแม่เป็นลูกครึ่งเยอรมันทำให้สูงกว่าคนไทยทั่วไป
หนุ่มอิตาเลี่ยนยื่นมือไปทักทาย อีกคนก็จับอย่างมั่นเหมาะแล้วส่งยิ้มให้กันโดยที่ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือกำแน่นขึ้นทว่าไม่มีใครร้องออกมาสักแอะ กระทั่งหญิงสาวที่เห็นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง คุณเกริกจะกลับเลยไหมคะ” กล่าวเป็นภาษาอังกฤษเพื่อชายอีกคนจะได้เข้าใจด้วย ประโยคนั้นทำให้เขา หน้าเสีย ยังไม่อยากกลับแต่ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะไม่อยากให้อยู่เท่าไหร่
“ครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับ” ยอมถอยไม่อยากให้มีปัญหา แต่ก็เหลียวมองซีน่อนอย่างไม่ชอบใจ
พร้อมหมายหัวว่าผู้ชายคนนี้คือศัตรู
ไม่ต่างจากซีน่อนที่ขีดป้ายแดงไว้บนหัวของเกริกว่าคู่อาฆาต
เห็นแล้วก็รับรู้เลยว่าไม่มีทางญาติดีกันได้ แค่หน้าตาก็ไม่ชอบแล้วอย่าพูดถึงนิสัยเลย มองตามฝ่ายนั้นจนขึ้นรถแล้วขับออกจากร้าน จึงได้มองหญิงสาวที่ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้แก่ตน
“ฉันซื้อขนมมาให้คุณด้วยนะคะ เป็นขนมปังจากเยาวราช ไปลองชิมกันค่ะ น้าเขียวเดี๋ยวหนูเอาออกมาให้นะฝากร้านด้วยค่ะ” จูงกึ่งลากคนตัวสูงออกไป ปล่อยคนสูงวัยมองตามแล้วฮัมเพลงมีความสุข
“น้าคะ พี่ชายคนนั้นมีแฟนแล้วเหรอ” รีบวิ่งเข้ามาถามน้ำเสียงตื่นเต้น
“เรื่องนี้ต้องถามเจ้าตัว” สาวๆ โอดครวญด้วยความร้อนใจ แต่ก็เลือกต้นไม้มาจ่ายเงิน เดี๋ยวนี้นิยมปลูกต้นไม้มงคลขนาดเล็กประดับที่โต๊ะทำงานหรือโต๊ะอ่านหนังสือ ทำให้กิจการไปได้สวย สั่งมาไว้หลายต้นเพื่อเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
หลายวันผ่านไปจนกระทั่งครบกำหนดที่ชายหนุ่มมาอยู่บ้าน หลังนี้ เพื่อนสนิทของเขามารับตั้งแต่เช้าตรู่หลังรู้เรื่องที่ซีน่อนโดนขโมยของ รีบขับรถเพื่อมาหาโดยเฉพาะ ทำเอาคนทั้งบ้านต้องมาต้อนรับพร้อมส่งหนุ่มต่างชาติ
หนุ่มหน้าตาหมดจดแต่งกายสะอาดสะอ้านนั่งอยู่ตรงหน้า รับน้ำดื่มมาจิบก่อนวางไว้บนโต๊ะดังเดิม ชายต่างชาติเก็บกระเป๋าและของในห้องเรียบร้อยจึงมานั่งยังโซฟารับแขกเพื่อลาทุกคนที่ให้บ้านในการพักพิงกว่าหนึ่งสัปดาห์
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือเพื่อนผมนะคะ นี่เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ให้ความกรุณา” จำนวนเงินปึกใหญ่มอบให้คุณแสนดี เล่นเอาท่านส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ เราแค่อยากช่วยเหลือเท่านั้น ไม่อยากได้ค่าตอบแทนมากมายขนาดนี้” ไม่ต้องนับก็รู้ว่ามันเยอะขนาดไหน เกรงว่าอาจถึงแสนด้วยซ้ำ
“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องตอบแทน รับไว้เถอะนะครับ จะเอาไปบริจาคก็ได้ผมไม่ว่าอะไร” ยังคงยัดเยียดจนพวกเธอจำต้องรับเงินปึกนั้นเอาไว้ ชายหนุ่มถึงได้ยิ้มอย่างสบายใจก่อนหันไปมองเพื่อนสนิทที่ได้รับการอุปโลกน์ขึ้นมา
“กลับกันเถอะซีน่อน ฉันมีงานต้องไปทำต่อ” หนุ่มอิตาเลี่ยน พยักหน้า ก่อนจะหันมองทุกคนแล้วหยุดสายตาลงที่อลิสา
“แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมนะครับ” ละอองพยักหน้าแข็งขัน อดใจหายไม่ได้เพราะเจอหน้ากันทุกวัน น้าเขียวก็รู้สึกเสียดายที่อีกฝ่ายจะต้องจากไป
พวกเขาโบกมือลาชายหนุ่มซึ่งสะพายกระเป๋าออกไปข้างนอก น้าเขียวหันมองหลานสาวที่ไม่ได้มีอาการสลดแต่อย่างใด กลับยิ้มมีความสุขซะงั้น ท่านขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะถามเพื่อคลายข้อข้องใจ
“เราไม่เสียใจเหรอ” เธอส่ายหน้า
“เสียใจทำไมคะ พรุ่งนี้เรานัดกันไปไหว้พระแล้ว” เสียงแซวดังมาจากละออง ก่อนที่น้ากับแม่จะอมยิ้ม คิดไว้แล้วว่าสองหนุ่มสาวคงไม่ยอมจากลากันง่ายๆ แบบนี้หรอก
ที่แท้ก็นัดกันนอกรอบนี่เอง...