บทที่๒...ยักษ์ในบ้าน (๑)
บ้านเรือนไทยที่ผนังทำด้วยไม้ไผ่สาน มุงหลังคาด้วยหญ้าคาที่เริ่มเก่าตามเวลาและคิดว่าคงพังลงมาหากพายุเข้า ลอบกลืนน้ำลายก่อนมองไปโดยรอบพบเตียงนอนขนาดสามจุดห้าฟุตวางไว้ติดผนังด้านขวาที่มีหน้าต่างบานเล็ก ข้างกันคือโต๊ะเครื่องแป้ง เยื้องมาหน่อยมีตู้เสื้อผ้าแถม ไม้แขวนเสื้ออีกสองอัน
หนุ่มร่างสูงเดินไปยังห้องน้ำก็เห็นเพียงตุ่มใส่น้ำและชักโครก ข้างฝาผนังมีกระจกให้ส่องด้วย ไม่มีแม้แต่อ่างล้างหน้าให้ด้วยซ้ำ
สูดลมหายใจแล้วผ่อนออกมาเบาที่สุด กำมือแน่นพยายามนับหนึ่งถึงสิบไม่ให้ระเบิดออกมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่ต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ ขนาดไปปีนเขากับเพื่อนยังมีเต็นท์และที่นอนดีกว่าโฮมสเตย์แห่งนี้เลย
ชีวิตที่แสนสุขสบายพังทลายลงในพริบตา เปลี่ยนแผนตอนนี้ทันไหมนะ
“เป็นยังไงบ้างคะ อยู่ได้ไหม” ร่างบางเดินตามเข้ามาพลางเอ่ยถามขณะสำรวจห้อง ซีน่อนทำหน้าเศร้ากับตนเองก่อนจะหันมายิ้มให้หล่อน
“สบายมาก ผมอยากใช้วิถีชีวิตแบบไทยพอดี” พูดแล้วก็อยากร้องไห้ สิ่งที่เขาคิดไว้คือพักโรงแรมสะดวกสบายต่างหาก มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมไม่ใช่บ้านที่แค่กระดิกตัวก็กลัวว่ามันจะถล่มลงมาทับ
สิ่งที่ได้ค่อนข้างห่างไกลจากความคิดพอสมควร ทำใจมาบ้างแล้วว่าบ้านของหญิงสาวอาจจะไม่สบายเท่าไหร่ แต่นี่มันห่างไกลจากคำนั้นไปมากโข เครื่องปรับอากาศก็ไม่มี ที่เห็นก็แค่พัดลมเก่าตัวเดียว
“เดี๋ยวพี่จะทำความสะอาดให้เขาก่อนนะ อลิสพาคุณเขาไปพักในบ้านก่อนสิ” พี่สาวหันมาบอกเพราะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่เก่ง หล่อนพยักหน้าก่อนจะบอกชายหนุ่มที่เอาแต่มองไปรอบบ้านเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าคืนนี้และคืนนี้ต่อไปกว่าสัปดาห์ต้องอาศัยเป็นแห่งพักพิง
“เดี๋ยวพี่สาวฉันจะทำความสะอาดบ้านให้ คุณไปพักในบ้านฉันก่อนแล้วกัน” พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ายินดี ไม่ลืมหันมาส่งยิ้มให้แก่ละอองที่หน้าแดงด้วยความเขินอาย ไม่เคยเห็นหนุ่มฝรั่งหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้สักครั้ง
อาจเพราะเธอไม่ค่อยได้ออกไปไหน ส่วนมากก็อยู่แต่บ้านกับร้าน ไกลหน่อยก็ซื้ออาหารหน้าปากซอย หรือไปเที่ยวเล่นในสถานที่ซึ่งมีแต่คนไทย
พอได้เจอหนุ่มตัวสูงรูปร่างบึกบึนก็แอบฝันหวาน แถมสีตาของเขามันยังสะกดให้จ้องไม่อยากละสายตาอีก เหมือนน้ำทะเลที่แสนลึกลับชวนให้หลงใหล ถ้าขยันกว่านี้แล้วเรียนภาษาที่สองไว้บ้างก็คงดี ป่านนี้อาจได้เป็นเมียฝรั่งไปแล้ว
ร่างสูงเดินตามคนตัวเล็กมายังบ้านที่หล่อนอาศัย เห็นว่าสะอาดและสะดวกสบายกว่าบ้านที่เขาพักด้วยซ้ำจนอยากเอ่ยปากขอมานอนที่นี่ แต่ก็ต้องเงียบเอาไว้เพราะยังเล่นบทคนน่าสงสาร ห้ามเรียกร้องสิ่งใดทั้งสิ้น
เข้ามาข้างในมองไปด้านซ้ายจะเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนโซนด้านขวาคือโต๊ะรับประทานอาหาร มีห้องครัวอยู่ใกล้ๆ และถัดไปเป็นห้องน้ำด้านล่าง มีระเบียงเพื่อนั่งผ่อนคลายมองดูสวนที่ถูกตัดแต่งสวยงามด้านข้าง
ขนาดบ้านค่อนข้างกว้าง หากเป็นที่บ้านเขาครอบครัวนี้คงร่ำรวย แต่ในเมืองไทยที่ดินส่วนนี้ไม่ได้แพงขนาดนั้น คิดว่าพ่อของหญิงสาวคงเป็นคนกว้านซื้อที่ดินเอาไว้เพื่ออยู่ในบั้นปลายชีวิต ใครจะคิดว่ามาเฟียผู้ยิ่งใหญ่จะเสียชีวิตอย่างเงียบสงบในประเทศที่ห่างไกลเช่นนี้
“น้าเขียวเป็นน้าฉันเองค่ะ” ชายร่างเล็กถือจานอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อพบหนุ่มตัวสูงราวยักษ์ปักหลั่น ปากก็พูดไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าจะคุยภาษาอะไรถึงจะรู้เรื่อง สุดท้ายก็รีบโค้งศีรษะเกือบเก้าสิบองศา
“ไฮ!!” ทักทายเป็นภาษาอังกฤษแต่เสียงดันสูงเหมือนภาษาญี่ปุ่นซะอย่างนั้น หลานสาวอมยิ้มขำกับท่าทีของน้า
“ซาหวัดดีคับ ผมซื่อซีน่อน” พูดเป็นภาษาไทยทักทายเท่าที่ได้เรียนจากหนังสือ เล่นเอาคุณน้าถอนหายใจเมื่อคิดว่าชายหนุ่มพูดภาษาไทยได้
“ผมชื่อเขียว เรียกสั้นๆ ว่าเขียวนั่นแหละ” พยายามพูดเพื่อเป็นอารมณ์ขัน ทว่าชายหนุ่มขมวดคิ้วไม่เข้าใจประโยคหลัง
“เขาพูดว่าอะไรเหรอ” จึงได้หันมาถามหญิงสาวข้างกาย
“น้าบอกให้เรียกว่าเขียว” ซีน่อนจึงพยักหน้าเข้าใจ
“มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำก่อนนะคะ” คุณแสนดีเดินออกมาจากครัวพร้อมเสิร์ฟน้ำแตงโมปั่นให้เขาดื่ม คนตัวสูงรับมาดื่มก่อนจะทำตาโตเพราะมันอร่อยมาก ไม่เคยดื่มมาก่อนจนต้องยกหมดแก้วแทบไม่เหลือสักหยด
คนที่เหลือเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้ม โดยเฉพาะน้าเขียวคนทำเมนูนี้ ภูมิอกภูมิใจยกใหญ่จนยืดอก ฝีมือของตนเข้าขั้นเชฟมือทองก็ว่าได้
“เขาคงหิวน้ำน่ะน้า” หลานสาวเห็นก็แอบเย้าน้าชาย เล่นเอาเขาหงอลงแต่ก็ไม่วายหันมาส่งค้อนให้หลานแสนสวย
“อร่อยมากครับ” หันมาบอกคุณแสนดี ท่านจึงผายมือไปที่น้องชายของตนเอง
“น้าเขียวเป็นคนทำ” รู้อย่างนั้นจึงรีบหันไปชมอย่างรวดเร็ว โดยมี อลิสาเป็นคนแปลให้เช่นเดิม จนกระทั่งละอองกลับเข้ามาในบ้าน หลังทำความสะอาดห้องพักให้ชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว
โต๊ะอาหารวันนี้มีหลากหลายเมนูเพราะต้องการต้อนรับหนุ่มหล่อต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยไล่มาตั้งแต่ต้มยำกุ้งที่เป็นอาหารโด่งดัง มัสมั่นไก่ พะแนงหมู ไข่เจียวปู กลัวว่าเขาจะกินเผ็ดไม่ได้เลยต้องมีอาหารรสอ่อนสักหน่อย
ดวงตาคมมองสีสันสดใสตรงหน้าก็พูดไม่ออก แดงขนาดนี้เขาไม่มั่นใจว่ามันจะเผ็ดขนาดไหน อยากเอ่ยปากขอซุปซักถ้วยแต่กลัวจะเสียมารยาท สิ่งเดียวที่เขาพอคิดว่ากินได้คือพิซซ่าสีเหลืองนวลตรงหน้า
“พิซซ่าไทยเหรอครับ” ทุกคนหันมองหน้ากัน ก่อนที่อลิสาจะยิ้มอย่างนึกเอ็นดูหนุ่มต่างชาติ ดูท่าคงไม่ได้ศึกษาเรื่องของอาหารไทย คิดว่าเขามาเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์อย่างเดียวแน่ๆ ถึงได้ไม่รู้จักอาหาร สักอย่างบนโต๊ะ นอกจากไข่เจียวที่ฝ่ายชายคิดว่าเป็นพิซซ่า
“เขาเรียกว่าไข่เจียวค่ะ” คิ้วหนาขมวดเข้ากัน แล้วพยายามเปล่งเสียงเลียนแบบ
“ไข่เจียวเหรอ” หน้าตาเต็มไปด้วยคำถาม ทำให้คุณแสนดีต้องอธิบายเพิ่มมากกว่านั้น
“ทำเหมือนออมเล็ตนั่นแหละค่ะ เพียงแค่เราทอดเป็นแผ่นเหมือนพิซซ่า” เข้าใจทันทีก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหาร แค่กินไข่เจียวปูคำเดียวก็ตาเบิกกว้างด้วยความอร่อย หลังจากนั้นก็หยุดกินไม่ได้เลย
น้าเขียวตักต้มยำกุ้งให้เขาอย่างเอื้อเฟื้อ ตอนแรกไม่อยากกินแต่ก็กลัวเสียมารยาท พอลองชิมทำเอาวางแทบไม่ลง อาหารทุกอย่างบนโต๊ะอร่อยและไม่ได้เผ็ดอย่างที่คิด โดยเฉพาะมัสมั่นไก่ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษ
มื้อนั้นหนุ่มฝรั่งกินข้าวไปสองจาน เริ่มเข้าใจเพื่อนชาวเอเชียที่ชอบกินข้าวมากกว่าขนมปังแล้ว แถมกับยังอร่อยจนอยากยกซดคนเดียว ใบหน้าคมแต้มรอยยิ้มอย่างมีความสุข ทำให้คนที่ลงมือทำภูมิใจในฝีมือตนเอง
“แหม่ ยืดเชียวนะพ่อ” ลูกสาวเห็นก็แซวพ่อ ก่อนที่อลิสาจะนึกอะไรดีๆ ออก เธอรีบหยิบโทรศัพท์ของตนเองแล้วบอกน้าให้เอาโทรศัพท์ขึ้นมา
“มันมีแอพที่จะแปลภาษาให้โดยใช้เสียงค่ะ ถ้าน้าพูดภาษาไทยใส่โทรศัพท์ก็จะประมวลผลเป็นภาษาอังกฤษทันที ต่อจากนี้น้าเขียวกับซีน่อนก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว” คนฟังตื่นเต้น ลองใช้แอพแปลภาษาก่อนจะพูดเป็นไทย
“อาหารวันนี้อร่อยไหม” แล้วยื่นไปให้ซีน่อนที่อยู่ตรงข้าม
“โอ้ อร่อยมากเลย คุณเป็นคนทำใช่ไหม” พูดเป็นภาษาอังกฤษก่อนที่แอพจะแปลเป็นไทย น้าเขียวตื่นเต้นใหญ่รีบตอบกลับ ส่วนคนที่เหลือก็เริ่มเก็บจานเพื่อนำไปล้าง
หน้าที่นี้เป็นของอลิสาโดยมีมารดาคอยเช็ดทำความสะอาดจานที่เปียก ท่านหันมองน้องชายที่สนุกกับการคุยภาษาไทยที่แปลเป็นอังกฤษ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจนอดยิ้มตามไม่ได้
“เกือบลืมบอกไปเลย ซีน่อนเขาเป็นคนอิตาลีด้วยนะคะแม่ ประเทศเดียวกับพ่อ” ระหว่างล้างจานก็หันมาคุยกับท่าน
“เหรอ เขาทำงานอะไรล่ะ” ถามราวไม่ใส่ใจ แต่ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่บุตรสาวบอก
“ทำงานในบริษัทขนส่งค่ะ หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เจ้าของร้านต้นไม้เริ่มกังวล พยายามถามเพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวจะไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอันตราย
“แล้วเขาอยู่เมืองไหน” สาวธนาคารนิ่งไปสักพัก พยายามนึกถึงข้อมูลของหนุ่มร่างใหญ่ที่อ่านผ่านตาตอนพาเขาไปสถานทูต
“ที่หนูเห็นน่าจะโรมนะคะ ทำไมเหรอคะ” หันมองท่านอย่างสงสัย ทำให้คุณแสนดีรีบยิ้มทำเหมือนไม่มีอะไร
“เปล่าหรอก แม่นึกว่าอยู่เมืองเดียวกับพ่อแล้วจะเป็นพรหมลิขิต” ล้อเลียนบุตรสาวทำเอาคนตัวเล็กแก้มแดง รีบบอกปัดอย่างรวดเร็วทั้งที่ใจเต้นระรัว
“ไม่หรอกค่ะแม่ พรหมลิขิตไม่มีจริงสักหน่อย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง
หรือการพบกันระหว่างเขาและเธอ มันจะเป็นพรหมลิขิตกันนะ...
ดวงตาคมมองเพดานพลางถอนหายใจ หลับตาแน่นแล้วท่องเอาไว้ว่าเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น เขาต้องใช้เสน่ห์ทั้งหมดที่ตนเองมีเพื่อทำให้หญิงสาวตกหลุมพราง อากาศร้อนอบอ้าวทำเอามาเฟียหนุ่มหงุดหงิดจนนอนไม่หลับ
ขณะที่กำลังพยายามข่มตานอนก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ซะก่อน รีบคว้ามากดรับอย่างรวดเร็ว เขาจะให้เธอเห็นไม่ได้ว่ามีเครื่องมือสื่อสาร
“ไง พี่ชาย” รับสายแล้วลุกนั่งบนเตียง มองออกไปนอกหน้าต่างที่วิวตอนนี้มีเพียงต้นไม้และพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มองพระจันทร์ด้วยบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้ หรือนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยได้เงยหน้ามองท้องฟ้า
เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานและการท่องราตรีอยู่ข้างสาวงาม พอมาสัมผัสความสงบก็คิดว่ามันน่าหลงใหลเหมือนกัน
แต่เขาคงอยู่แบบนี้ตลอดชีวิตไม่ได้
‘นายมาไทยทำไมไม่บอก’ ถามเสียงเรียบ น้องชายทำเพียงยกยิ้มมุมปาก
“มาทำธุระนิดหน่อย เดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะเข้าไปหา เตรียมโรงแรมของนายไว้ให้ด้วยแล้วกัน” เสียงจิ้งหรีดที่ขับร้องเหมือนต้องการขัดขวางการนอนหลับจนน่ารำคาญ แต่พอฟังไปเรื่อยมันก็เหมือนเพลงโมสาร์ทในคราวเดียวกัน
‘ธุระอะไร’ มือหนาเคาะลงบนบานหน้าต่าง นิ่งคิดไปสักพักแล้วตอบเหมือนที่เคยตอบเลขาส่วนตัว
“มาหาสมบัติ หรือจะบอกว่าล่ากวางดีไหม” คำพูดกำกวมทำให้พี่ชายสายเลือดเดียวกันอยากรู้ เบื่อที่น้องของตนเล่นลิ้น เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกและท้าทายไปเสียหมด
‘ระวังโดนล่าซะเอง’ เป็นประโยคสุดท้ายก่อนวางสาย แล้วคนเป็นน้องก็แทบหัวเราะออกมา
คนอย่างซีน่อนน่ะเหรอจะโดนล่า เขาอยู่มาสามสิบห้าปีไม่เคยมีสักครั้งที่จะรับบทนั้น และเชื่อว่าในอนาคตมันก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่า
ไม่ใช่เหยื่อ...
หนุ่มฝรั่งใช้ชีวิตในบ้านหลังน้อยอย่างเป็นประโยชน์ เขาตื่นเช้าเพื่อมาช่วยจัดต้นไม้และรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกรอบบ้าน โดยพยายามสื่อสารกับละอองเท่าที่หญิงสาวพอจะรู้เรื่อง ความร่มรื่นทำให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จนนึกถึงบ้านของตนเอง
ร่างบางลงจากบนบ้านเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่น้าเขียวทำอาหารฝรั่งเพื่อเอาใจหนุ่มต่างชาติโดยเฉพาะ หล่อนทาแยมกับขนมปังพลางกัดเข้าปาก
“วันนี้จะไปไหนเหรอ” น้าชายถามเมื่อเห็นหลานแต่งตัวสวยไม่เหมือนอยู่บ้าน
“วันหยุดทั้งทีก็ต้องออกไปข้างนอกสิคะ แล้วซีน่อนอยู่ไหนคะ”เหลือบซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นคนตัวสูง กระทั่งชายหนุ่มเข้ามาภายในบ้านด้วยชุดที่แขนเสื้อด้านขวาเปียกไปกว่าครึ่ง ทำให้เริ่มสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมา
“คุณไปทำอะไรมาทำไมถึงเปียกแบบนี้” ใบหน้าคมส่งยิ้มให้อย่างสนุก
“ผมไปรดน้ำต้นไม้ แต่ไม่ทันระวังเลยฉีดสายยางโดนตัวเอง” สายยางที่สวนของบ้านไม่ได้เป็นแบบหัวฉีดเหมือนหน้าร้าน ทำให้ต้องใช้นิ้วบังคับเพื่อฉีดเป็นละออง เขาคงไม่ทันระวังจึงได้เดินเปียกเข้ามาเช่นนี้
น้าเขียวเห็นอย่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วพูดแปลภาษาอย่างรวดเร็ว คล่องกว่าเมื่อวานเพราะหัดใช้ทั้งคืน ท่านอยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน พอมีคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ด้วยจึงตื่นเต้น เห่อซีน่อน ซะเหลือเกิน