ตอนที่ : 2 สัญญาใจ 2
“แล้วเธอล่ะศศิพิมพ์ ทำไมถึงยอมมาที่นี่ง่าย ๆ รู้หรือไม่ ว่าสัญญาที่รับปากกันไว้ในอดีตนั้น มีใจความว่าอะไรบ้าง”
“พิมรู้ค่ะ”
“รู้แต่ก็ยอมมา เธอนี่มันหัวอ่อนขนาดนั้นเลยรึ” ชายชราเอนหลังพิงพนักโซฟาไม้ แล้วกอดอกมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างคนใช้ความคิด โกศัลย์ดูถูกเขาเกินไปแล้ว กล้าดียังไงส่งหลานนอกไส้มาให้เขาแบบนี้
“เปี่ยมมานี่หน่อย”
“ค่ะคุณปู่” นางสมเปี่ยมวิ่งออกมาจากห้องครัวด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ฉันไม่ได้เร่ง พาหนูพิมขึ้นไปบนห้องนอนที ห้องที่ฉันให้เตรียมไว้วันก่อนนั่นแหละ”
“ได้ค่ะ ไปค่ะคุณพิมส่งกระเป๋ามานี่ค่ะ”
“ไม่ต้องค่ะคุณป้าเปี่ยม พิมถือเองไหวค่ะ” ศศิพิมพ์ยื้อกระเป๋าตัวเองเอาไว้ แล้วเดินตามหลังหญิงสูงวัยไป
นางสมเปี่ยมเปิดประตูห้องแล้วผายมือให้ศศิพิมพ์เข้าไป ภายในห้องมีแค่เตียงนอนขนาดห้าฟุตตั้งอยู่ ชุดผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดสะอ้าน มีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะนั่งทำงานขนาดเล็กตั้งอยู่
“ห้องนี้ปกติเป็นห้องรับแขกค่ะ เลยไม่ค่อยมีอะไรมาก ที่นี่กลางคืนอากาศค่อนข้างหนาว แต่ไม่ต้องห่วงนะคะมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้อยู่ค่ะ เชิญคุณพิมพักผ่อนก่อนนะคะ ถ้าได้เวลากินข้าวแล้วป้าจะมาตามเองค่ะ” แม่บ้านสูงวัยเห็นสีหน้าแปลกใจของแขกจึงอธิบายเพิ่มเติม
“ขอบคุณป้าเปี่ยมมากค่ะ” ศศิพิมพ์พยายามจำชื่อของทุกคนให้ได้
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้วคุณลุงคนที่พาพิมเข้ามาชื่ออะไรนะคะ พิมไม่ได้ถามชื่อแกไว้”
“คนนั้นผัวป้าเองค่ะคุณพิม ชื่อไอ้ขวัญ” คนตอบยิ้มเอียงอายเล็กน้อย
“อ้อ เหรอคะพิมจะได้เรียกชื่อถูกน่ะค่ะ”
“ป้าไปก่อนนะคะ คุณพิมพ์ก็เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ได้เลยค่ะ” นางสมเปี่ยมอัธยาศัยดี ทำให้ศศิพิมพ์ยิ้มคลายความกังวลใจลงหน่อย อย่างน้อยบางคนที่นี่ก็ยังญาติดีกับเธอ
หญิงสาวมองจนนางสมเปี่ยมเดินลับสายตาไปแล้ว ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างออก ผ้าม่านสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลม ดวงตาเหม่อลอยผ่านแมกไม้ออกไป เห็นทิวเขาอยู่ไกลลิบ ๆ อดนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เธอ ต้องมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้
นายโกศัลย์ในวัยเจ็ดสิบปี อดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม ได้เรียกหลานสาวทั้งสอง เข้ามาพบที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน ศิรภัสสรหลานสาวสายเลือดโดยตรง อายุยี่สิบสี่ปีเป็นพนักงานขายของบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง ด้วยเป็นคนหน้าตาดีและพูดจาฉะฉาน เลยถูกเลือกให้เป็นผู้นำเสนอสินค้าให้ลูกค้าผ่านช่องทางโซเซียลมีเดียอยู่บ่อยครั้ง ส่วนคนเป็นพี่สาวซึ่งมีอายุมากกว่าสองปีนั้น เป็นหลานสาวบุญธรรม ตอนนี้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยดีไซเนอร์ ของเสื้อผ้าชื่อดังแห่งหนึ่ง
เนื่องจากลูกชายกับลูกสะใภ้ ได้จากโลกนี้ไปจากเหตุฆาตกรรมเมื่อสิบปีก่อน ทำให้เด็กน้อยทั้งสองคน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าไปในชั่วข้ามคืน ก่อนหน้าที่ศิรภัสสรจะเกิดมานั้น บิดามารดาของทั้งคู่คิดว่าตนเองอยู่ในสภาวะมีบุตรยาก หากมีก็อาจเป็นอันตรายต่อภรรยา เลยตัดสินใจไปรับศศิพิมพ์ที่บ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดู แต่ผ่านมาแค่สองปีศิรภัสสรก็เกิดมา ทางคุณหมอบอกว่าสามารถคลอดได้ หากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งคู่เลยตัดสินใจคลอดลูกของตัวเอง ควบคู่ไปกับการเลี้ยงดูลูกบุญธรรม ให้ความรักได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กระทั่งได้เกิดเหตุร้ายขึ้น
‘คุณปู่เรียกสรกับพี่พิมมาคุยนี่มีอะไรคะ ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นด้วย’ ศิรภัสสรหรี่ตามองผู้เป็นปู่แบบไม่ไว้วางใจ เพราะเวลาปกติท่านจะไม่ทำสีหน้านิ่งขนาดนี้ แบบนี้แปลว่าคงมีเรื่องให้ปวดหัวอีกแน่ ๆ
‘นั่นสิคะคุณปู่อย่าเพิ่งเครียดไปก่อนหน้าสิ มีอะไรจะใช้พิมกับสรหรือเปล่า บอกได้เลยนะคะ’ ศศิพิมพ์พูดจบก็อมยิ้มเห็นด้วยกับน้องสาวของตน
‘มันเป็นเรื่องคำสัญญาของลูกผู้ชาย พิมกับสรต้องตั้งใจฟังดี ๆ นะลูก อย่าคิดว่ามันไร้สาระอะไรแบบนั้น’ ด้วยความเป็นลูกผู้ชายชาติทหาร สัญญาที่เคยหลั่งเลือดกันไว้ ย่อมศักดิ์สิทธิ์แม้ยุคสมัยจะผ่านพ้นไป
‘คุณปู่เกริ่นนำแบบนี้ น่ากลัวจังเลยเนอะพี่พิมเนอะ’ ศิรภัสสรหันไปเลิกคิ้วเชิงล้อเลียนใส่พี่สาว
‘อย่าเพิ่งขัดคุณปู่สิสร ฟังที่คุณปู่เล่าก่อน’
‘ก็ได้ ๆ เล่ามาเลยค่ะคุณปู่พร้อมฟังแล้ว’
‘เรื่องมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยปู่ไปรบที่เวียดนามโน่นแล้ว ตอนนั้นข้าศึกล้อมเราเอาไว้หมด ปู่มีเพื่อนทหารคนหนึ่งรักกันมากยอมตายแทนกันยังได้เลย มีอยู่วันนี้เราพลัดหลงเข้าไปในดงข้าศึก คิดว่าไม่รอดแน่ ๆ อยู่ตรงนั้นสองวันสองคืน ตอนนั้นด้วยความคิดว่ายังไงก็ต้องตาย เลยกรีดเลือดสาบานกันไว้ ว่าจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป หากรอดไปได้ก็อยากให้ลูกหลานได้ดองกันในวันข้างหน้า’
‘คุณปู่ !’ ศิรภัสสรตกใจจากเรื่องที่ได้ยิน ไม่คิดว่าจะยังมีสัญญาอะไรแบบนี้กันอยู่
‘สรต้องเข้าใจนะลูก สมัยนั้นความคิดอ่านของคนเรามันไม่เหมือนตอนนี้ ปู่กับเพื่อนต่างก็คิดว่ายังไงก็ต้องตาย เลยเอ่ยสัญญาแบบนั้นออกไป’
‘แล้วไงคะ มันก็นานแล้ว เราไม่ต้องไปรักษาสัญญาอะไรนั่นหรอกค่ะ’ ศิรภัสสรไม่เห็นด้วยในทุกกรณี