บทที่๕...ความฝันแสนหวาน (๑)
อาหารถูกจัดวางลงกล่องอย่างสวยงาม หล่อนตั้งใจทำอาหารญี่ปุ่นอย่างข้าวปั้น ข้าวห่อสาหร่าย ซูชิหน้าต่างๆ ที่ไม่ต้องปรุงรสมาก ขอเพียงมีความประณีตหน่อยก็เพียงพอแล้ว ยกยิ้มพึงพอใจกับอาหารมื้อนี้ ตั้งใจว่าจะนำไปให้ณัชที่คร่ำเครียดกับการเรียนปริญญาโท
ฮัมเพลงอย่างมีความสุขแล้วยกถุงผ้ามาถือ เดินไปยังรถยนต์ของตนเองที่ตอนนี้มารดาอนุญาตให้ขับได้แล้ว เธอเลยบอกตัวเองว่าต้องมีสติตลอดเวลา ห้ามไปชนใครเหมือนวันนั้นอีก
เช้าวันหยุดที่ทุกคนยังเร่งรีบ หล่อนฟังเพลงแล้วร้องตามเสียงดัง รถติดไฟแดงนานแค่ไหนก็ไม่อารมณ์เสีย กลับยิ้มยามนึกถึงใบหน้าคมที่ตนคิดถึง
วันนั้นเขาจับมือเธอไว้หลายชั่วโมง จนหญิงสาวค่อยแกะมืออีกฝ่ายออกแล้วกลับบ้าน เริ่มคิดแล้วว่าบางทีณัชอาจเพิ่งคิดได้ว่าขาดหล่อนแล้วชีวิตช่างไร้สีสัน แต่ไม่กล้าเผยความในใจออกมา เพราะกลัวเสียหน้า
เพราะฉะนั้นหล่อนจะหยิบยื่นโอกาสนั้นให้เขาเอง “เธอใจดีมากเลยนะพิ้ง” ชื่นชมตนเองแล้วขับเข้าไปในซอยของหอพัก ทว่าต้องจอดข้างทางเพราะหอแห่งนั้นมีที่จอดรถไม่เพียงพอ
หล่อนเอื้อมมาหยิบถุงผ้าที่วางไว้เบาะข้างคนขับ จัดการส่องใบหน้าในกระจก ทาลิปสติกเพิ่มเล็กน้อยแล้วเม้มเบาๆ พยายามดูให้เป็นธรรมชาติที่สุดถึงจะใช้เวลาแต่งนานเกือบชั่วโมงก็ตาม อย่างที่เขาว่ากันน้อยแต่มาก
นั่นแหละคือคติของเธอ
“อ่ะ ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย” กำลังจะลงจากรถก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ พอหยิบออกมารับก็ต้องถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเป็นอิงครัตน์ ถึงไม่อยากรับแต่ก็ตัดสินใจกดรับสาย ไม่อยากให้ชายหนุ่มกระหน่ำโทรมาหลายรอบ
ที่จริงเขาก็เป็นคนที่น่าสนใจ แต่ติดที่เธอไม่อยากชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน ระหว่างความรักกับมิตรภาพของเลือกมิตรภาพแล้วกัน
อีกอย่างคือไม่ได้ชอบชายหนุ่ม ความรู้สึกที่มีให้คือเพื่อนเท่านั้น
“ค่ะพี่อิง” ทักทายแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ปลายสายกลับยิ้มกว้างด้วยความดีใจเพียงแค่เธอรับโทรศัพท์
‘พิ้งอยู่คณะไหม พี่จะเอาข้าวเที่ยงไปให้’ ถึงจะเป็นวันหยุดแต่เธอมีนัดประชุมกับเหล่าคทากร เกี่ยวกับคัดเลือกคทากรของปีการศึกษาใหม่ ทั้งยังต้องไปคณะเพราะมีเฉลยสายรหัสอีก แต่ก็ยังแอบมาหาณัชก่อนเข้ามอ
“พอดีพิ้งออกมาทำธุระค่ะ พี่อิงไม่ต้องเอาข้าวมาให้ก็ได้ พิ้งจะกินจากข้างนอก” บอกให้เขารู้ แต่อีกฝ่ายก็ยังรบเร้า
‘ไม่เป็นไร พี่อยากไปหาพิ้ง” เกือบถอนหายใจแล้ว แต่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ทำไมเขาถึงได้ตื้อนัก ไม่รู้หรือไงว่ามันน่ารำคาญ คนไม่รักตื้อให้ตายก็ไม่รักหรอก
พอคิดอย่างนั้นก็เหมือนเข้าตัวเอง แต่ก็ต้องสะบัดศีรษะแล้วบอกตนเองว่าคนละกรณีกัน ของเธอพี่ณัชดูเหมือนจะมีใจ แค่คิดก็ทำเอาแย้มยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“พี่ทำกิจกรรมของคณะไปเถอะค่ะ กว่าพิ้งจะเข้าไปก็ช่วงบ่าย” อยากวางสายใจจะขาด ไม่ได้มีธุระอะไรสำคัญเลย แต่ในขณะที่กำลังพูดกับอิงครัตน์อยู่นั้น ชายหนุ่มที่เธอคิดถึงก็เดินผ่านหน้า
ทว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินควงแขนอย่างสนิทสนม แถมยิ้มแย้มหัวเราะมีความสุขราวกับโลกมีเพียงสองเรา
พรรณิดาหน้าชาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวโดนตบหน้าจนร่างกายอ่อนแรงไปชั่วขณะ น้ำตาไหลมาคลอเบ้าไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ สั่นไปทั้งตัวจนไม่ได้ยินเสียงของอิงครัตน์ที่เรียกซ้ำหลายครั้งเพราะเธอไม่ยอมตอบ
มองสองหนุ่มสาวไปจนสุดสายตา ไม่อยากเชื่อว่าชายผู้นั้นคือณัช แต่ก็ต้องเชื่อเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมา เขาเพียงไปส่งผู้หญิงคนนั้นขึ้นแท็กซี่ ใบหน้าที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย เดินผ่านรถของเธอไปโดยที่ หญิงสาวรีบก้มหน้าซบพวงมาลัย อาจเนื่องจากร่างสูงไม่เคยเห็นรถเธอจึงไม่สงสัย
อยากเข้าไปถามเรื่องหญิงคนนั้นแต่สภาพนี้คงไม่เหมาะ เธอกดตัดสายจากรุ่นพี่คณะแพทย์ ร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อายเพราะอย่างไรเสียงก็ไม่ดังออกไปข้างนอก
ความหวังที่เคยมีพังทลายลงอย่างรวดเร็ว คนแบบณัชน่ะหรือจะยิ้มให้ผู้หญิงอื่นถ้าไม่ใช่เพราะชอบ ขนาดอยู่กับเธอเขายังไม่ค่อยยิ้มเลย เอาแต่ทำหน้าบึ้งตลอดเวลา
นั่นคือคำตอบแล้วหรือเปล่า
‘ฉันไม่ได้ชอบเธอ’
‘ฉันไม่ได้ชอบเธอ’
‘ฉันไม่ได้ชอบเธอ’
คำพูดเหล่านั้นวนเวียนในหัวอีกครั้งจนต้องยกมือขึ้นปิดหู ส่ายศีรษะจนผมสะบัด เธอไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากร้องไห้ออกไปเต็มเสียง ไม่ยั้งเอาไว้สักนิด
ปล่อยความเศร้าโศกออกมาจนสะอึกสะอื้น หล่อนคงไม่สามารถไปมหาวิทยาลัยได้แล้ว และไม่อาจขับรถได้ จึงโทรหาชลิตาให้มาหาที่นี่โดยส่งโลเคชั่นไปให้ ไม่นานเพื่อนคนนั้นก็มาถึงก่อนจะเคาะกระจก
“พิ้ง เป็นอะไร” พอเพื่อนตรงเข้ามากอดก็ตกใจ ลูบแผ่นหลังบางก่อนพาไปเบาะนั่งข้างคนขับ ส่วนตนก็มานั่งแทนที่ค่อยพาหญิงสาวกลับบ้าน
“พี่ณัช ฮึก พี่ณัชอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ออกมาจากหอเขาด้วย พี่เขายิ้ม หัวเราะ ฮึก ให้ผู้หญิงคนนั้น ทีกับฉันมีแต่หน้าบึ้ง ฮือ ฉันจะทำยังไงดีติ้ง เขาไม่ ฮึก รักฉันเลยเหรอ” ทั้งร้องทั้งสะอื้นระหว่างที่ระบายความอึดอัดที่อยู่ในใจ
หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดน้ำตา เป็นหนักยิ่งกว่าโดนปฏิเสธรักเสียอีก
“ใจเย็น ค่อยๆ หายใจ” หันไปบอกก็เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าหวานมีแต่น้ำตาจนน่าสงสาร อยากปลอบแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
“ฉันไม่อยากเสียใจ ทำไมฉันต้อง ฮึก รักเขาด้วยติ้ง ไม่เอาแล้ว ไม่อยากรักแล้ว” เกลียดตัวเองที่ชอบพี่ชายข้างบ้านคนนั้น
ถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น หล่อนก็คงไม่รักเขา เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะไอ้พี่โจ้คนเดียว อยากเข้าไปอัดจริงๆ เสียดายที่อีกฝ่ายชิงลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้วเพราะทนความอับอายไม่ไหว ถึงเธอรู้หัวใจตัวเองช้ากว่านี้ก็ไม่เป็นไร
หรือจะไม่รู้เลยก็ได้ ถ้ามันจะเจ็บปางตายแบบนี้...
“รักคือสิ่งสวยงาม” ชลิตาพยายามปลอบ แต่ยิ่งทำให้หล่อนร้องไห้
“สวยงามบ้าบออะไร ไอ้ความรักเนี่ยมันเจ็บชะมัดเลย รู้ไหมตั้งแต่ฉันมีความรักก็กังวล ฮึก ไปหมด กลัวว่าเขาจะรักไหม เขาจะมีคน อึก อื่นหรือเปล่า ฉันจะได้เป็นแฟนเขาไหม ฮึก มันสวยงามแค่กับคนสมหวังเท่านั้นแหละ ฮือ ไม่มีที่ยืนให้คนผิดหวังหรอก” ร่ายยาวด้วยความเสียใจ หล่อนเกลียดพวกคำคมปลอบปะโลมยามอกหัก
มันทำให้กลายเป็นว่ายิ่งเจ็บกว่าเดิม แผลโดนกรีดซ้ำๆ จนชลิตาไม่กล้าพูด กลัวว่ามันจะไม่เข้าหูเพื่อน จึงทำหน้าที่ขับรถและเป็นผู้รับฟังที่ดี
จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังงาม ดีที่มารดาออกไปทำงานบ้านจึงไม่มีคนอยู่ หล่อนลงไปข้างล่างแล้วถือกล่องอาหารไว้ เดินขึ้นห้องของตนเองตามด้วยเพื่อนสนิท
ชลิตาคิดว่าจะได้ปลอบ ที่ไหนได้มากินอาหารญี่ปุ่นเป็นเพื่อนพรรณิดา แต่อีกฝ่ายกินทั้งน้ำตา ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาพร้อมเคี้ยวข้าว ร้องไห้อย่างน่าสงสารจนหล่อนถอนหายใจหลายรอบ ยกมือขึ้นตบบ่าบอกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
“ฉัน ฉันจะไม่ชอบพี่ณัชแล้ว” บอกตนเองอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะใจรักเขาเหลือเกิน
จากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว เธอเน้นทำกิจกรรมให้หนักจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น อ่านหนังสือและเรียนจนเพื่อนต่างแปลกใจในความขยันของหล่อน และแขกที่มาหาประจำก็ไม่ใช่คนอื่นไกล อิงครัตน์เจ้าเก่าเจ้าเดิม
“พี่ไม่ต้องมาทุกวันก็ได้มั้งคะ” มองร่างสูงก่อนจะบอก ช่วงนี้ใกล้สอบปลายภาคของเทอมหนึ่งจึงฟิตอ่านหนังสือจนดึกดื่น บางวันก็นอนหอสกุนตลาเพราะไม่อยากขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน มันค่อนข้างอันตราย มารดาก็เห็นด้วย
“พี่อยากมาเจอหน้า จะได้มีกำลังใจในการขึ้นวอร์ด” สกุนตลาก้มหน้าแล้วเม้มปากแน่น ไม่อยากแสดงความเสียใจให้คนอื่นเห็น โดยไม่รู้เลยว่าพรรณิดาแอบหันมามอง
สงสารเพื่อนแต่ไม่อาจทำอะไรได้ เจ้าตัวคงอยากปิดเป็นความลับจึงไม่ยอมบอกใคร เก็บความเจ็บเอาไว้คนเดียว
“กลับไปเรียนเถอะค่ะ คณะแพทย์กับเภสัชก็ใช่ว่าจะใกล้กัน” เขาส่ายหน้า แล้วเท้าคางมองเธอ ไม่สนใจเพื่อนอีกสองคนของหญิงสาว
ทำไมชีวิตเธอเจอแต่คนประหลาดก็ไม่รู้ ช่วยส่งผู้ชายปกติมาให้ไม่ได้เหรอ
“ต่อให้ไกลกว่านี้ขอแค่ได้เห็นหน้าพิ้งก็พอแล้ว” เลี่ยนกว่าลิเกเสียอีก หล่อนเก็บของแล้วเตรียมเข้าเรียนวิชาช่วงบ่าย
“ขอตัวนะคะ มีเรียน” แล้วสามสาวก็ลุกจากที่นั่งเดินขึ้นอาคาร ปล่อยอิงครัตน์ให้มองตามแล้วยิ้มเพียงลำพัง การตามตื้อผู้หญิงมันก็เหนื่อยเหมือนกัน เขาเพิ่งเคยรู้ครั้งแรกเพราะปกติมีแต่คนมาจีบตลอด ไม่เคยเข้าหาใครสักที
ณัชทำงานหนักพร้อมกับเรียนไปด้วย แทบไม่มีเวลาให้ตัวเองด้วยซ้ำ เขากลับบ้านน้อยลงเพราะต้องทำงานและเรียนให้สำเร็จลุล่วง ชายหนุ่มต้องการเงินก้อนเพื่อมาเปิดบริษัทกับเขมินท์ พวกเขาคิดจะทำแบรนด์ขนมที่คิดค้นขึ้นเองขาย
ที่ร่างเอาไว้ก็มีป็อปคอร์น ขนมขบเคี้ยวแบบแท่ง ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนสนิทเป็นคนคิดสูตร ส่วนเขารับหน้าที่การตลาด ลองหาลู่ทางไว้แล้วแต่ไม่รู้จะได้ผลตอบรับที่ดีไหม ถึงพวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์เพราะบ้านของเพื่อนสนิทค่อนข้างมีฐานะ จึงเข้ามาช่วยเหลือเรื่องเงินทุนและการตลาดเบื้องต้น
แต่มันก็ยากที่จะทำให้ติดตลาด พวกเขาเริ่มจากการไปขายตามตลาดนัดใกล้มหาวิทยาลัยในช่วงเวลาที่ณัชว่าง สอบถามเด็กแถวนั้นเพื่อทำแบบสำรวจ ทำเช่นนี้มาเป็นปีแล้วก่อนทุกอย่างจะลงตัวและคนเริ่มชอบขนมชนิดนี้
เขาเรียนปริญญาโทจบภายในสามปี แล้วลาออกจากงานเพื่อมาทำบริษัทของตนเองที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เช่าตึกเพื่อทำเป็นโรงงานถูกสุขอนามัย ก่อนจะส่งขายตามมินิมาร์ทและเริ่มส่งออกต่างประเทศ
ณัชเลือกกลับบ้านในวันที่เขาได้รับใบจบ ชายหนุ่มเลือกจะไม่รับปริญญาเพราะไม่เห็นความสำคัญ แถมยังสิ้นเปลืองอีกต่างหาก เขาเรียนก็เพื่อได้ใบทรานสคริป สามารถต่อยอดในการทำงานได้
“เหนื่อยไหมลูก” กลับมาบ้านก็เห็นมารดาคอยอยู่ เขาตรงเข้าสวมกอดท่านทันทีทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
ที่ตนทำทั้งหมดก็เพื่อท่าน ไม่อยากให้ใครตราหน้าได้ว่าเป็น ลูกเมียน้อย ประสบความสำเร็จเพราะบิดาที่ร่ำรวยล้นฟ้า ทั้งที่ความจริงชายผู้นั้นไม่เคยเหลียวแลตนกับแม่เลย
“ไม่เลยแม่” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็รู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน เหนื่อยทั้งกายและใจ