บทที่๕...ความฝันแสนหวาน (๒)
“วันนี้แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย เดี๋ยวจะชวนป้าอัญกับน้องพิ้งมากินข้าวเย็นด้วย” ได้ยินอย่างนั้นก็ผละออกมา
“ถ้างั้นผมขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” หล่อนพยักหน้า เดินออกจากบ้านไปชวนรุ่นพี่และหลานสาวสุดที่รัก ปล่อยลูกชายให้ชำระร่างกายตนเอง
พรรณิดาเหนื่อยจากการเรียน หล่อนขึ้นปีสี่แล้วเรียนก็หนักขึ้น เพิ่งไปลงชุมชนมาเป็นอีกหนึ่งวิชาเรียนที่สำคัญ อยู่เกือบสัปดาห์ได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย ทั้งสุขทั้งเหนื่อย จนเริ่มคิดว่าตนคิดถูกหรือคิดผิดที่เลือกคณะนี้
ขึ้นปีสี่เรียนสามเทอมไม่มีปิดภาคเรียน แถมยังต้องเตรียมตัวไปฝึกงาน และสอบใบประกอบวิชาชีพรอบแรกอีก แค่คิดก็แทบอ้วกกับการต้องอ่านหนังสือตลอดเวลาแล้ว
“พิ้ง เดี๋ยวเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านน้าหวานนะ ฉลองพี่ณัชจบป.โท” เธอลงมาจากห้องก็ได้ยินแม่บอก ลืมเสียสนิทว่าชายหนุ่มจบปริญญาโทแล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันตั้งแต่วันนั้น
เธอแทบไม่ได้เจอเขาเลย หรือเจอก็แค่แว้บๆ เท่านั้น เพราะชายหนุ่มเองก็ยุ่งกับงาน ส่วนตนก็เรียนหัวหมุน แต่กระนั้นก็ยังคิดถึงเขาเหมือนเดิม ยามเหงาใบหน้าคมก็มักจะเข้ามาในหัวจนต้องสลัดออกด้วยการอ่านหนังสือซ้ำหลายรอบ
ทำให้คะแนนค่อนข้างดี และเป็นท็อปสามของระดับชั้น บางที การอกหักก็ทำให้เกิดเรื่องราวดีๆ ได้เหมือนกัน
“ไม่ไปไม่ได้เหรอแม่” ไม่เจอหน้ากันแบบนี้ตั้งสองปี เธอก็ทำตัวไม่ถูก เพราะครั้งล่าสุดที่เห็นคือตอนที่เขาอยู่กับหญิงอื่น ทำให้เธอร้องไห้หนักไปหลายวัน พร้อมทั้งบอกให้ตัวเองตัดใจจากผู้ชายคนนั้นสักที
“ทำไมล่ะ ไปไม่นานก็กลับ ไปยินดีกับพี่เขาหน่อย” หว่านล้อมจนหล่อนนิ่งคิด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรน้าหวานก็เข้ามาเสียก่อน
“น้องพิ้ง วันนี้อย่าลืมไปกินข้าวบ้านน้านะ” เจอเจ้าของบ้านมาชวนเองแบบนี้ จะปฏิเสธก็คงน่าเกลียด เธอจึงยิ้มให้คุณน้าคนสวยแล้วพยักหน้าอย่างจำยอม
โต้แย้งอะไรไม่ได้จนมารดาแอบอมยิ้มยามเห็นท่าทีของบุตรสาว พรรณิดาแพ้ความอ่อนหวานของคุณนรียา ท่านขออะไรก็ทำให้ตลอด ต่างจากปฏิบัติกับแม่เสียเหลือเกิน ตกลงใครเป็นแม่กันแน่
“ค่ะน้าหวาน” ยิ้มทั้งที่อยากร้องไห้ หล่อนไม่ต้องการเจอณัช
ความรู้สึกที่พยายามฝังกลบดินกลัวว่ามันจะผุดขึ้นมา
ร่างบางเดินมายังบ้านข้างเคียงที่มาตั้งแต่เด็ก เธอไม่ค่อยได้มาคุยกับน้าหวานเพราะเรียนหนัก ส่วนณัชยิ่งห่างเหินกว่าเดิม หล่อนถอนหายใจเสียงเบาขณะมองบ้านที่มีความทรงจำอยู่เต็มไปหมด ปล่อยให้แม่และน้าเข้าไปก่อน ส่วนตนก็แอบไปนั่งเล่นอยู่ข้างบ้าน
บอกตามตรงว่ายังไม่พร้อมเจอหน้า สองปีที่ผ่านไปเหมือนสองวันเท่านั้น หัวใจเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด มันเอาแต่นึกถึงชายหนุ่มทุกครั้งยามว่างจากเรียน จนเธอต้องเพิ่มงานให้ตนเองมากกว่าเดิม เพียงเพื่ออยากลืม
แต่ก็ไม่ลืมสักที
ความจำนี่แย่จริง เรื่องไหนอยากจำก็ต้องใช้เวลานึกพอสมควร ส่วนเรื่องไหนอยากลืมก็จำดีเหลือเกิน
“ทำไมมานั่งตรงนี้” พอหันไปก็เจอร่างสูงมานั่งข้างๆ ด้วยความที่เป็นม้านั่งตัวยาวทำให้หล่อนต้องขยับออกเพราะเขาอยู่ใกล้เกินไป
เหมือนต้องทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง เธอไม่ชินจนมือไม้เกะกะไปหมด ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน ถ้ากุมบนตักก็เรียบร้อยเกินไป ปล่อยข้างลำตัวก็สบายเกินไปอีก สุดท้ายก็ยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้
เป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ยพิ้ง ทำใจให้สบายๆ สิ
“รับลม” ตอบสั้นๆ จนดูห้วนเกินไป
เธอจำภาพนั้นติดตาจนไม่อาจลบเลือนไปได้ อยากถามเขาแต่มันจะดูก้าวก่ายหรือเปล่า ไปค้นดูก็พบว่าหญิงคนนั้นคือเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกับณัชตั้งแต่ปีหนึ่ง ค่อนข้างสนิทสนมกัน
จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมสเปคของอีกฝ่ายจึงเป็นคนพูดรู้เรื่อง เพราะชอบคนในคณะนั้นเอง ผู้หญิงที่ชื่อรวิกานดา
แค่ชื่อก็เพราะ พอเห็นหน้ายิ่งสวยราวนางงาม ไม่แปลกใจสักนิดที่ชายหนุ่มจะชอบ ช่างต่างจากเธอที่เหมือนเด็กกะโปโลไม่โตสักที
“เข้าบ้านได้แล้ว ไม่หิวหรือไง” หันมองร่างบางก็เห็นว่าหล่อนเหม่อมองไปข้างหน้า
“หิว แต่อยากรับลมมากกว่า” ถ้าบอกว่าไม่หิวก็กลัวท้องจะร้อง จึงตอบตามความจริง
“หลบหน้าฉันหรือไง” รีบหันไปมองทันที ไม่รู้จะพูดตรงไปไหน บางเรื่องเก็บไว้ก็ได้ ไม่เห็นต้องมาพูดให้เธอเสียหน้าเลย
“ไม่ได้หลบ แค่ไม่อยากเจอ” โทนเสียงเรียบเล่นเอาคนตัวสูงเงียบไปครู่หนึ่ง หล่อนหันกลับมามองต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านจนสูงใหญ่ ทั้งที่เมื่อก่อนมันยังต้นเล็กเพียงเข่าอยู่เลย
เติบโตตามกาลเวลา เหมือนกับพวกเธอที่ตอนนี้ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ณัชเป็นนักธุรกิจที่กำลังเริ่มเดินตามความฝัน ส่วนเธอก็เรียนอยู่ปีสี่ อีกไม่นานคงจบและออกไปเป็นหมอยาตามที่ตั้งใจเอาไว้
เหมือนเส้นทางจะไม่บรรจบ เขาคงไม่กลับมาอยู่บ้านหลังนี้อีกแล้ว เราจะได้เจอกันอีกทีตอนไหน หรือต้องรอไปงานแต่งของชายหนุ่มกับผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดหัวใจก็รวดร้าวจนต้องกำมือแน่น ไม่อยากให้เกิดขึ้น
ถ้าเป็นไปได้...ผู้หญิงที่จะเคียงข้างเขาเป็นเธอไม่ได้เหรอ
“พิ้ง..” เม้มปากแน่นเมื่อตัดสินใจจะพูดมันอีกครั้ง อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอก็ได้ มือที่กอดอกลดลงมากุมไว้บนตัก ดวงตาหลุบต่ำไม่กล้ามองคนที่นั่งข้างกัน บรรยากาศค่อนข้างกดดันแต่หล่อนก็ตัดสินใจบอก
“ยังชอบพี่เหมือนเดิม พี่ชอบพิ้งไม่ได้เหรอ” ถามด้วยความเว้าวอน จนคนฟังถึงกับเงียบยิ่งกว่าเดิม หล่อนไม่กล้าหันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ กลัวว่าจะได้รับการปฏิเสธ
ไม่เคยคิดจะบอกชอบณัชอีก แต่ความหวังที่มีเพียงน้อยนิดก็ผลักดันให้หล่อนใช้ความกล้าอีกสักครั้ง ถึงผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับแล้ว
พรรณิดาเม้มปากแน่น หัวใจแทบหยุดเต้นตอนที่รอคำตอบจากอีกฝ่าย เธอเข้าไปดูเฟซบุ๊กของพี่ข้างบ้านที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วหรือยัง
แต่สิ่งที่เชื่ออย่างหนึ่งคือณัชจะไม่คบซ้อนเด็ดขาด เขาบอกเสมอว่าจะไม่ทำตัวเหมือนพ่อที่มีบ้านเล็กบ้านน้อย
“ฉันขอโทษ” เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็แจ่มแจ้ง เธอกำมือตัวเองแน่นจนเป็นรอย น้ำตาคลอเบ้าก่อนจะไหลลงมาทำให้ต้องรีบเช็ดออก รีบลุกยืนไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้ให้เขาสมเพช เดินแกมวิ่งเข้าไปในบ้านปล่อยให้ร่างสูงมองตามแล้วถอนหายใจ
“รอฉันก่อนนะ อย่าเพิ่งตัดใจ อย่าเพิ่งมีใครนะพิ้ง” เสียงนั้นเบาจนเหมือนกระซิบ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ไม่ทันเห็นว่าหล่อนวิ่งกลับบ้านของตน
ไม่อาจทนร่วมรับประทานอาหารได้ จึงขออนุญาตน้าหวานโดยให้เหตุผลเรื่องสอบ ผู้ใหญ่จึงไม่อาจขัดเนื่องจากรู้ดีหล่อนเรียนหนักแค่ไหน
พอพรรณิดากลับถึงบ้านก็ร้องไห้โฮอีกครั้ง เศร้าเมื่ออกหักซ้ำไป ซ้ำมาไม่สิ้นสุดซักที ไม่น่าบอกชอบเขาอีกเลย เธอก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
กำผ้าปูเตียงแน่น ซุกหน้าลงหมอนแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลจนเปียก ก่อนจะรู้สึกหายใจไม่ออกจึงลุกนั่ง หยิบกระดาษทิชชู่มาสั่งน้ำมูก สะอึกสะอื้นตัวโยนทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ควรร้องไห้ พรุ่งนี้ตื่นมาต้องตาบวมแน่
คืนนั้นพรรณิดาก็นอนจมกองน้ำตา ขณะที่ชายอีกคนก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกัน...
ข่าวจากมารดาทำให้ว่าที่คุณหมอยาทราบเกี่ยวกับณัชที่กำลังจะบินไปทำงานที่ต่างประเทศ ธุรกิจของชายหนุ่มกำลังไปได้สวย เขาวางขายขนมตามมินิมาร์ทที่มีสามร้อยสาขาทั่วประเทศ และตอนนี้ก็กำลังส่งออกไปยังทวีปเอเชีย พร้อมบุกตลาดอย่างเต็มกำลัง
เห็นว่าเขาจะใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตอีกแห่ง จึงต้องไปทำงานที่นั่นเกือบสองปีเพื่อหาลู่ทาง เขมินท์รู้จักกับคนใหญ่คนโตที่นั่นน่าจะง่ายต่อการเจรจา ยินดีกับความสำเร็จอีกก้าวของเขา แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อยู่ข้างกายชายหนุ่ม
“พอแล้วไหมพิ้ง แกดื่มเยอะแล้วนะ” หลังสอบเสร็จพวกเขาก็มาฉลองกันที่ผับใกล้มหาวิทยาลัย มีวันหยุดสี่วันก่อนเปิดเรียน ตัดสินใจมาดื่มให้หายอยากโดยการชวนของพรรณิดา ผู้ที่ไม่ค่อยแตะของพวกนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็อยากลองเสียอย่างนั้น
“ไม่ นิดเดียว กินไป เท่ามด” พูดแทบไม่รู้เรื่อง เมาจนนั่งตัวโงนเงน ต้องรีบจับไม่อย่างนั้นได้ล้มลงพื้นแน่ โต๊ะที่พวกเขานั่งเป็นเพียงเก้าอี้กลม ไม่มีพนักให้พิงจนห่วงเพื่อน
สกุนตลาให้สัญญาณชลิตาเป็นการเข้าใจว่าควรพาคนเมากลับ จึงได้หิ้วปีกออกไปขึ้นรถยนต์ของสาวอวบที่ไม่ค่อยดื่ม เนื่องจากรู้ว่าต้องขับไปส่งเพื่อนแต่ละคนที่บ้านและหอพัก เริ่มจากส่งสกุนตลาคนแรก แล้วค่อยไปยังบ้านของพรรณิดา
โทรบอกแม่ของอีกฝ่ายท่านก็บอกจะรีบกลับบ้าน เธอจึงได้พาเพื่อนมานั่งที่เก้าอี้ไม้ยาวหน้าบ้านระหว่างรอท่าน
“ค่ะน้าปอง อะไรนะ แม่หกล้มเหรอ โอเคเดี๋ยวติ้งจะไปเดี๋ยวนี้ ค่ะ ได้ค่ะ” ตกใจจนลนลาน รีบลุกขึ้นจะกลับไปดูมารดา แต่ก็ห่วงเพื่อนไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้เอาผ้าห่มในรถยนต์ของตนมาห่มให้พรรณิดาเพื่อไม่ให้ยุงกัด ส่วนตนก็รีบขับรถออกไปทันที
“อือ กลับบ้าน เอิก” ไม่รู้ว่าดื่มไปเยอะเท่าไหร่ เพราะเหล้าที่ชิมไปมันหวานทั้งนั้น เนื่องจากเพื่อนสั่งค็อกเทลให้ดื่ม จนสติหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอนอนไปสักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา พอลืมตามองก็เห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ามาใกล้จนเห็นชัดว่าเป็นณัช หล่อนยกยิ้มมีความสุข ค่อยยกมือขึ้นไปแตะใบหน้าคมด้วยความหลงใหล
“พี่ณัช” เรียกเสียงหวาน จ้องดวงตาคมที่จะไม่ได้เห็นอีกนาน
“ไม่ไปได้ไหม อยู่กับพิ้ง” น้ำสีใสคลอหน่วยตา อ้อนวอนให้เขาอยู่ด้วยกันถึงจะไม่ใช่ฐานะคนรักก็ตาม ตอนที่เขาไปทำงานถึงจะไม่ได้อยู่บ้านแต่ก็ยังแอบไปดูให้ได้เห็นหน้า
แต่ถ้าไปต่างประเทศ เธอไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร...
ขนาดบอกว่าจะตัดใจแต่ก็ทำไม่ได้สักที
ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะจุมพิตริมฝีปากบาง ได้เพียงกลิ่นหวานของแอลกอฮอล์ เธอหลับตาซึมซับความรู้สึกอุ่นวาบในอก ยินยอมให้เขาได้ครอบครองจูบแรกที่เธอรอให้ชายอันเป็นที่รัก
ก่อนที่ร่างสูงจะเคลื่อนกายออก แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท...
“เมื่อคืนใครมาส่งพิ้งเหรอแม่” กว่าจะลงมาจากบ้านได้ก็ปาเข้าไปเที่ยงของอีกวัน เธอนั่งซดซุปร้อนๆ เพื่อแก้อาการแฮ้งค์ ซึ่งมารดาเป็นคนทำไว้ให้ วันนี้ท่านไม่มีงานจึงอยู่บ้านแล้วตรวจงานของลูกน้อง
“ติ้งไง” หล่อนนิ่งเงียบ ไม่แน่ใจว่าเรื่องเมื่อคืนคือความจริงหรือความฝันกันแน่
“แล้วใครพาพิ้งขึ้นบนห้อง” นั่งลงตรงข้ามท่าน ขณะจ้องหน้าคุณอัญชันอย่างค้นคว้า กลัวว่าแม่จะโกหกตนเอง แต่ก็มาคิดได้ว่าท่านจะโกหกทำไมในเมื่อไม่รู้สักหน่อยว่าลูกแอบชอบพี่ชายข้างบ้าน ที่กำลังจะไปต่างประเทศ
“จะใครล่ะถ้าไม่ใช่แม่ เราตัวหนักเหมือนกันนะแล้วดื่มอะไรเยอะขนาดนั้นหือ” ว่าแล้วก็ใช้ปากกาเคาะศีรษะมน จนเธอต้องลูบหัวปอยๆ
ตื่นเช้าขึ้นมาก็ปวดหัวไปหมด กว่าจะลุกได้ก็เที่ยงวัน เลยตัดสินใจอาบน้ำแล้วสวมเสื้อผ้าลงมาข้างล่าง ระหว่างนั้นเธอคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนจูบกับณัช ทว่าก็ต้องนั่งพินิจว่ามันคือความจริงหรือความฝันกันแน่
แต่สัมผัสที่ได้รับมันเหมือนจริงจนเผลอนึกว่าเขามาจูบ...
“แล้วพี่ณัชจะไปเวียดนามวันไหนเหรอแม่” แสร้งถามเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อคืนเขามาหาตนจริงหรือเปล่า
“ไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้วนะ” บอกราวไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ทำเอาเธอชะงัก
“แล้วทำไมแม่ไม่บอกพิ้งล่ะ” โวยวายทันที
“แม่ก็นึกว่าเราไม่สนใจ พอดีพี่เขาเลื่อนไฟท์ให้เร็วขึ้นน่ะ”
ถ้าอย่างนั้นเรื่องเมื่อคืนก็เป็นแค่ฝันน่ะสิ หญิงสาวถอนหายใจแอบเสียดาย เพราะเธออยากให้มันเป็นเรื่องจริง