บท
ตั้งค่า

บทที่๔...ตัดใจไม่ได้สักที (๒)

“ไม่เป็นไร ว่าแต่เราไปหาอะไรกินดีไหม ฉันอยากกินต๊อกบกกี ไปร้านแถวมอก็ได้” เปลี่ยนเรื่องอย่างเร็ว ทำเอาทั้งสองเออออไปด้วย ไม่อยากให้บรรยากาศเสีย พวกเธอไปกินข้าวและเดินซื้อของด้วยกันก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน

หญิงสาวนั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน เปิดประตูรั้วเข้าไปเห็นรถยนต์ของมารดาจอดอยู่ ทว่าพอสายตาแหลมคมจับจ้องยังประตูก็พบบุคคลที่ไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้กำลังออกมาจากบ้านของตนเอง

หล่อนรีบหลบหลังพุ่มไม้ไม่คิดชีวิต แทบกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับใบไม้ใบหญ้า ภาวนาให้เขารีบออกจากบ้านของตนไปเร็วๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับหยุดเดิน ทำเอาสาวเภสัชแทบหยุดหายใจกลัวโดนจับได้

“ว่าไงต้น กูกลับมาบ้าน” แล้วจะมาคุยโทรศัพท์อะไรตรงนี้ เดินไปคุยไปก็ได้หยุดยืนทำไม

“ไม่ค่อยว่างเลย จันทร์ถึงเสาร์กูก็ทำงาน วันอาทิตย์มีเรียน เออ กูแทบไม่มีเวลาให้ตัวเองด้วยซ้ำ” หล่อนเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเขาพูดกับ เขมินท์ถึงตารางชีวิตทุกวันนี้ ไม่เข้าใจทำไมชายหนุ่มต้องรีบเรียนโทด้วย น่าจะทำงานสักปีสองปีก่อน

“ถ้าจะมาก็ได้ อือ ไว้เจอกัน” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินนาน จับหัวใจที่เต้นแรงเลยรู้ว่าคิดถึงเขามากแค่ไหน หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป ก่อนที่ประตูรั้วจะปิดลงจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ยังไม่พร้อมเผชิญหน้า ทำตัวไม่ถูกจึงเลือกหลีกเลี่ยงก่อนดีกว่า คำว่าพี่น้องมันพังลงตั้งแต่ที่เธอบอกชอบเขาแล้ว จะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ยาก แล้วหล่อนก็ทำใจเป็นพี่น้องกับคนที่แอบชอบไม่ได้ด้วย

ถ้าเขามีแฟนจะทำอย่างไร คงร้องไห้ฟูมฟายยิ่งกว่าตอนถูกปฏิเสธแน่ๆ

ลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษใบไม้เศษดินออกจากกระโปรง ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปหาแม่แล้วเห็นท่านกำลังจัดโต๊ะเตรียมรับประทานอาหารเย็น

“อ้าว กลับมาเร็วจังเลย” เงยหน้าเห็นบุตรสาวจึงเอ่ยทัก ปกติถ้าไม่ถึงสี่ทุ่มไม่เห็นกลับบ้าน

“ไม่มีเชียร์น่ะแม่ มีอะไรกินบ้างหิวจะแย่” ลูบท้องปอยๆ วางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ค่อยเดินไปล้างไม้ล้างมือแล้วมานั่งประจำที่ของตนเอง

“แม่นึกว่ากินมาจากข้างนอกแล้วซะอีก”

“กินมาแล้ว แต่มันไม่อิ่มนี่นา ขอกินข้าวด้วยนะคุณอัญชัน” ล้อเลียนมารดาแล้วคดข้าวใส่จาน เริ่มรับประทานอาหารด้วยกัน ก่อนที่ ลูกสาวจะเหลือบมองท่านแล้วถามราวไม่ได้ใส่ใจ แต่ที่จริงนั้นใส่ใจมากๆ

“เมื่อกี้ใครมาเหรอแม่” คนเป็นแม่มองบุตรสาวพลางอมยิ้มรู้ดีว่าอยากถามความเคลื่อนไหวของณัช แต่ก็ยังฟอร์มจัด

“พี่ณัชน่ะ เขาเอาแกงสายบัวมาให้ เราไม่ไปหาพี่เขาเหรอ เห็นช่วงหลังดีกันแล้วนิ” ได้ยินอย่างนั้นก็ปฏิเสธรวดเร็ว ไม่มีทางดีด้วยหรอก ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้

“ดีอะไรแม่ ไม่ได้ดีสักหน่อย ยังเกลียดเหมือนเดิม เกลียดมากกว่าเดิมอีก” ยัดข้าวเข้าปากแล้วพึมพำอย่างเคียดแค้น เล่นเอามารดาถึงกับ อมยิ้มแล้วกินข้าวโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องของณัชอีก กลัวจะทำให้ลูกอารมณ์เสียมากกว่านี้

เช้าของอีกวันหญิงสาวรีบออกจากบ้านเพื่อไปเรียน หล่อนนัดกับพี่วินมอเตอร์ไซค์ไว้เวลานี้ ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้มารับก็มีรถยนต์มาจอดตรงหน้าเสียก่อน แถมมันยังเป็นรถของพี่ชายข้างบ้านอีกด้วย เมื่อวานอุตส่าห์หลบได้แล้วแท้ๆ

ดวงตากลมหลุบมองต่ำ ภาวนาให้เขาขับผ่านทั้งที่อีกฝ่ายกดกระจกลงพร้อมเอ่ยทักทายเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“จะไปเรียนเหรอ เดี๋ยวฉันไปส่ง” อาสาทั้งที่เธอไม่ต้องการ ใบหน้าหวานเชิดกว่าเดิมแล้วหันไปมองทางอื่น ในใจก็ภาวนาให้พี่วินรีบมาสักที

“ไม่ต้อง พิ้งนัดพี่วินไว้แล้ว” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน แต่ก็ค่อยคลายออกเมื่อเข้าใจประโยคนั้น เขาลงจากรถแล้วคว้าข้อมือเล็กมากำไว้ จูงกึ่งลากหล่อนไปที่นั่งข้างคนขับ แล้วยัดเข้าไปในรถไม่ออมแรงสักนิด ก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้อีกต่างหาก

“พี่ณัช ทำอะไรของพี่ ปล่อยพิ้งนะ” โวยวายแต่ไม่กล้าเสียงดัง กลัวมารดาที่อยู่ในบ้านจะได้ยินว่าพวกเขาทะเลาะกัน

“ถ้าเธอลงจากรถฉันจะจับเธอตีก้นตรงนี้แหละ” อ้าปากค้างไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าทำ

“พี่จะบ้าเหรอ พิ้งไม่ใช่เด็ก” จ้องตาเขานิ่งแล้วพยายามบอกให้ปล่อยแขนตน

“ลองดูไหมล่ะ” ใครจะกล้า

เห็นแววตาก็รู้แล้วว่าเอาจริง สุดท้ายหล่อนก็จำยอมโดยการเอนหลังพิงพนัก เขาจึงปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เดินอ้อมมาฝั่งคนขับ ทว่าวินมอเตอร์ไซค์ก็ขับมาก่อน ร่างสูงจึงได้เข้าไปพูดคุยพร้อมจ่ายเงินให้เรียบร้อย

“ไม่ได้ชอบแล้วให้ความหวังทำไม ไอ้คนนิสัยไม่ดี” พึมพำอยู่คนเดียว เพราะทำแบบนี้ไงเธอเลยแอบคิดเข้าข้างตัวเอง

ชายหนุ่มนั่งประจำที่คนขับ แล้วเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านของพรรณิดา ระหว่างทางเธอก็เงียบและเอาแต่มองไปข้างนอก ไม่ชวนคุยหรือเปิดเพลงเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดเพราะถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่หล่อนพยายามหลบหน้าเขาตลอด

“สงสัยไม่ได้เอาปากมาด้วย” พูดขึ้นลอยๆ ขณะติดไฟแดง เธอยังคงเงียบและเม้มปากแน่นไม่ให้หันไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา กำมือเอาไว้พลางข่มใจตัวเอง

เมื่อไฟเขียวก็เคลื่อนตัวออกจากสี่แยกแล้วเข้าเขตรั้วมหาวิทยาลัย หลังเรียนจบชายหนุ่มก็แทบไม่ได้มาที่นี่อีกเลย เขายุ่งกับงานและเรียนอีกมหาวิทยาลัย ที่อาจจะไม่ดังเท่าแต่สอนดีและมีรุ่นพี่จบจากที่นั่นเยอะพอสมควร

พาหนะจอดหน้าคณะเภสัช เธอสะพายกระเป๋าแล้วเตรียมลง แต่เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งราวต้องการยั่วยุอารมณ์ให้พรรณิดาโกรธ

“ไม่ขอบคุณกันสักคำคนอุตส่าห์ขับมาส่ง เด็กอะไรนิสัยไม่ดี” หล่อนกำมือแน่น เปิดประตูรถแล้วลงไปทันที พอจะปิดก็โน้มตัวลงมาเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน

“พิ้งไม่ได้ขอให้มาส่งสักหน่อย เสนอตัวทำไมล่ะ” พูดจบก็ปิดประตูเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้าไปในคณะกลัวว่าเขาจะวิ่งตามมาทำโทษด้วยการตีก้น

ส่วนณัชก็ได้แต่เค้นเขี้ยวอยู่ในใจ เด็กอะไรไม่น่ารักเลย แต่ไม่รู้ทำไมมุมปากถึงได้ยกยิ้มแบบนี้...

“คะ น้าหวานจะให้พิ้งเอากับข้าวไปให้พี่ณัชเหรอคะ” แทบล้มทั้งยืนเมื่อคุณน้ามาหาถึงบ้านพร้อมยื่นถุงผ้าให้หล่อน แล้วไหว้วานในสิ่งที่พรรณิดาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

“ใช่จ้ะ ช่วงนี้พี่เขาทำงานหนัก ไหนจะเรียนอีก น้ากลัวไม่มีเวลากินข้าว ฝากน้องพิ้งเอาไปให้พี่เขาหน่อยได้ไหม ไม่น่าจะไกลจากมหา’ลัย นี่ที่พักจ้ะ” มารดาที่จ้องลูกสาวพยักหน้าบอกให้รับ เธอจึงไม่อาจปฏิเสธได้ จำต้องรับถุงผ้าและที่อยู่มาถือไว้

วันหยุดทั้งทีก็ต้องไปหาเขาเหรอเนี่ย เจอหน้ากันจะทำยังไง

“พี่ณัชอยู่ห้องเหรอคะ” ในใจก็ขอร้องให้เขาไปทำงานหรือเรียนข้างนอก แต่คำขอก็ไม่เป็นผลเมื่อคำตอบไปคนละทางกับสิ่งที่เธอต้องการ

“เห็นว่าวันนี้อยู่ห้องนะ เขาต้องเขียนรายงานส่งหัวหน้าน่ะ” สุดท้ายก็จำยอมไปส่งอาหารให้ชายหนุ่ม โดยมารดาอนุญาตให้ขับรถหนึ่งวัน ความดีใจมันหายไปหมดแล้วเพียงแค่คิดว่าถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งจะทำอย่างไร

แต่ต้องมีสติในการขับรถก่อน ถึงที่หมายค่อยว่ากันอีกที สูดลมหายใจเรียกความเชื่อมั่นให้ตนเอง ขับไปจนกระทั่งถึงหอพักของณัช เขาไม่ได้มีเงินมากมายเช่าคอนโด มันเป็นเพียงหอพักใกล้บริษัท ประหยัดเงินและประหยัดเวลาในการเดินทาง

หล่อนแจ้งกับคนเฝ้าหอก็ปล่อยให้ขึ้นมาเพราะมารดาของเขาโทรบอกไว้ก่อนแล้ว แถมยังให้กุญแจหล่อนอีกเผื่อณัชนอนหลับจะได้ไขเข้าไป

ถึงหน้าห้องของชายหนุ่มหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าปอด จัดทรงผมเข้าที่ค่อยเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับ หรือว่าจะไม่อยู่ห้อง คิดแล้วก็แอบเสียใจแต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่เจอหน้ากัน ไขกุญแจเข้าไปข้างในแล้วเปิดไฟก็พบร่างสูงนอนหลับอยู่บนเตียงที่ตั้งกลางห้อง

มองรอบห้องสี่เหลี่ยมที่มีเตียงกว้างตั้งไว้ตรงกลาง ด้านข้างติดผนังเป็นตู้เสื้อผ้าและตู้กระจก ติดหัวเตียงเป็นโต๊ะอ่านหนังสือที่มีเอกสารวางกองล้นมาถึงพื้น ระเบียงไว้สำหรับตากเสื้อผ้า มีมุมโต๊ะอาหารเพียงน้อยนิด และตู้เย็นที่ตั้งอยู่ใกล้กัน

เห็นแล้วก็สงสารจนต้องนำถุงผ้าไปวางไว้บนโต๊ะอาหารทรงกลม หล่อนจัดเรียงของเข้าไว้ในตู้ให้คนตัวสูง พยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดไม่อยากรบกวนเวลานอน

แต่พอเห็นชายหนุ่มขยับตัวก็หยุดชะงัก มองดูพบว่าอีกฝ่ายยังไม่ตื่นจึงได้ถอนหายใจโล่งอก พอนำของเข้าตู้เรียบร้อยก็กวาดพื้นให้ แต่ไม่เข้าไปแตะเอกสาร เพราะกลัวว่าถ้าจัดให้เป็นระเบียบแล้วเขาจะหาไม่เจอ

จึงเลือกจะทำในส่วนที่พอทำได้ ออกไปข้างนอกแล้วล้างจานที่แช่ไว้ เห็นกล่องอาหารแช่แข็งก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำกับข้าวกินเองเลยหรือไง ไม่อย่างนั้นซื้อร้านตามสั่งก็ได้ ไม่น่ากินของแช่เข็งเลย

พรรณิดาทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าที่แห้งแล้วเข้ามาไว้ในตู้ให้จัดเรียงเป็นระเบียบ แถมรีดเสื้อเชิ้ตสำหรับใส่ไปทำงานอีก เงยหน้ามองคนที่นอนนิ่งก็นึกสงสัยว่าเขาหลับหรือตายกันแน่ เธอมาอยู่ห้องนี้จะชั่วโมงแล้วยังไม่รู้อีก

แต่ก็ดี...จะได้ไม่ต้องพูดอะไรให้หล่อนหลงคิดเข้าข้างตัวเอง

โทรศัพท์สั่นในกระเป๋ากางเกงจนต้องรีบกดรับแล้วออกไปคุยยังระเบียง เป็นน้าหวานที่โทรมาถามถึงลูกชายของตน

“สวัสดีค่ะน้าหวาน” เอ่ยทักเสียงหวาน

‘เป็นยังไงบ้างน้องพิ้ง พี่ณัชว่าอะไรหรือเปล่า’ หล่อนเผลอหลุดยิ้มที่ท่านพูดแบบนั้น ในสายตาของนรียาเห็นลูกชายเป็นคนยังไงกันนะ

“ไม่ค่ะ พี่ณัชหลับสนิทเลย น่าจะเหนื่อยจากงาน” ได้ยินแบบนั้นก็เบาใจ ท่านก็กลัวว่าจะทะเลาะกันซะอีก ยิ่งณัชเป็นคนปากไวอยู่แล้วด้วย อยู่กับผู้หญิงคนอื่นทำเป็นเงียบขรึม พออยู่กับพรรณิดากลายเป็นคนปากร้ายทันที

มันยังไงกันพ่อลูกชาย

‘น้าฝากดูแลพี่เขาด้วยนะ’ รับปากอย่างเป็นหมั้นเป็นเหมาะ แล้วค่อยวางสายก่อนจะคิดขึ้นมาได้ เหมือนคำฝากฝังวันแต่งงานเลย ส่ายหน้ากับความคิดแล้วค่อยเข้าไปข้างใน หล่อนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินไปนั่งลงข้างเตียง

จ้องมองใบหน้าคมยามหลับแล้วเผลอยิ้ม เหมือนเด็กชายตัวน้อยที่ไร้พิษสง ต่างจากตอนตื่นอย่างเห็นได้ชัด

“หลับแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องปล่อยหมาออกจากปาก” พอจะลุกขึ้นแขนก็โดนจับไว้ หล่อนชะงักไม่คิดว่าเขาจะตื่น แต่ดวงตาคมก็ยังหลับสนิท

“ฉันเหนื่อย” ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ย เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้พยายามแกะมือเขาออก

“เหนื่อยก็นอนสิ พิ้งแค่เอาอาหารที่น้าหวานฝากมาให้ใส่ตู้เย็น ไม่ได้กวนเลยนะ” แก้ตัวอย่างรวดเร็ว กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดเรื่องที่ตนแอบมานั่งมองหน้ายามหลับ

“นั่งเป็นเพื่อนหน่อย” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเว้าวอนจนไม่อาจปฏิเสธได้ หล่อนค่อยนั่งลงที่เดิม โดยมือหนาเอื้อมมาจับนิ้วชี้เธอเอาไว้ เหมือนกับกลัวว่าจะหายไป

เล่นเอาหน้าหวานแดงซ่านด้วยความเขินอาย เธอยอมนั่งมองเขาหลับ ไล่ดูใบหน้าคมตั้งแต่หน้าผากได้รูป ดวงตาคมยามหลับ จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางเฉียบที่ชอบจิกกัดตนเสียเหลือเกิน

จะทำให้รักไปถึงไหน แค่นี้ก็โงหัวไม่ขึ้นแล้วพี่ณัช

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel