บทที่๔...ตัดใจไม่ได้สักที (๑)
การเลื่อนชั้นถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับพรรณิดาที่เอาแต่เหม่อมองไปยังข้างบ้าน พลางถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม หล่อนพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมานานหลายเดือน แต่พอหน้าของณัชลอยมาเมื่อไหร่ ประโยคที่แสนทำร้ายจิตใจก็ดังชัดราวเขาเพิ่งพูดไปเมื่อวาน
การบอกชอบครั้งแรก และโดนปฏิเสธอย่างทันควัน มันน่าเจ็บใจและน่าอายไม่น้อย ทั้งที่แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจจะชอบเธอบ้าง
แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ชอบเธอแม้แต่น้อย แล้วแบบนี้มาทำให้หลงรักทำไม ตามรับตามส่ง ไหนจะพาไปกินข้าวอีก ทำทุกอย่างในฐานะพี่ชายอย่างนั้นเหรอ
แค่คิดก็หัวเสียแล้ว
“โอ๊ยๆๆๆ” ทุบโต๊ะม้าหินอ่อนพลางกระทืบเท้าลงกับพื้น จนคนที่เพิ่งเดินออกจากบ้านถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรของเรา โวยวายซะเสียงดัง” ท่านเดินมานั่งตรงข้ามบุตรสาว จากที่จะไปรดน้ำต้นไม้ก็เปลี่ยนความสนใจ ช่วงนี้ลูกเตรียมตัวเปิดเทอมชั้นปีที่สอง ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เพราะต้องจัดเตรียมกิจกรรม รับน้อง
เพิ่งได้เจอหน้าและนั่งคุยกันก็วันนี้ ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าพรรณิดาว่างหรือ ปกติเห็นออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ หรือช่วงไหนที่ณัชกลับมานอนบ้านลูกสาวหล่อนก็แทบจะไม่กลับมานอนที่นี่ด้วยซ้ำ ให้เหตุผลว่าต้องเตรียมงานเลยนอนกับเพื่อน
จนอดคิดไม่ได้ว่าเด็กทั้งสองมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ฝ่ายชายนั้นเธอไม่ทราบ แต่พอมองลูกสาวตัวเองที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกทำไมจะไม่รู้
ลูกเธอแอบหลงรักพี่ชายข้างบ้านเข้าเต็มเปา
“เปล่าแม่ แค่รู้สึกว่าเหนื่อย” เอาหน้าแนบโต๊ะแล้วถอนหายใจเสียงดัง
“เหนื่อยก็พักสิ จะทำกิจกรรมให้ตัวเองยุ่งทำไม” ท่านยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดู อยู่กันสองแม่ลูกจนชินเสียแล้ว
เมื่อก่อนบิดาของพรรณิดายังมารับไปเล่นด้วยทุกวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม แต่พอย้ายไปต่างประเทศก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ส่วนมากจึงโทรคุยกัน ทว่ามันก็เริ่มน้อยลงจนแทบไม่ได้ติดต่อ แถมฝ่ายนั้นยังมีลูกกับภรรยาใหม่อีกด้วย
เลยกลายเป็นมีกันแค่สองคนอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเธอไม่ได้เลิกกันเพราะมือที่สามหรอก แต่เลิกเพราะหมดรักต่างหาก ความรักก็น่าแปลกเสียเหลือเกิน รักก็ปานจะกลืนกิน พอหมดรักความรู้สึกก็หายไปเสียดื้อๆ ราวไม่เคยมีมาก่อน
“ร้องไห้ทำไม หือ มีอะไรบอกแม่ได้นะ” เห็นน้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมก็เช็ดให้ พลางบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เล่นเอาร่างบางร้องงอแงเป็นเด็กอีกครั้ง ยืดตัวมากอดมารดาเอาไว้พลางปล่อยน้ำตาให้ไหล
“หนูอกหักอ่ะแม่ เขาไม่รักหนู” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ไม่น่าล่ะทำไมช่วงหลังมานี้ถึงทำเป็นหลบหน้าหลบตาณัชทุกครั้งที่อีกฝ่ายกลับมาบ้าน
ที่แท้ก็โดนปฏิเสธมานี่เอง
“เรื่องธรรมดา แค่อกหักเองเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น” พยายามปลอบ ทว่าลูกสาวก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วผละออกเพื่อมองหน้าท่าน
“แม่ไม่เคยอกหัก แม่ไม่รู้หรอก” ยังไม่เชื่อกับคำแนะนำ จึงได้พูดออกไปพลางยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ไม่สนใจว่าตอนนี้สภาพตัวเองจะเป็นเช่นไร คนมันเสียใจไม่มีเวลามาใส่ใจภาพลักษณ์หรอก
“อะไรกัน แม่ก็เคยผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นมาก่อนนะ ทำไมจะไม่เคย อกหัก” ได้ยินอย่างนั้นก็สนใจทันที ขยับเข้าไปหาท่านแล้วจ้องหน้านิ่ง อยากรู้เรื่องราวของมารดาในอดีตว่าความรักเป็นอย่างไร หรือบางทีเธอจะอาภัพรักเหมือนแม่
มันอาจจะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ก็ได้
“ทำไมแม่อกหักล่ะ” ดวงตาใสซื่อเต็มไปด้วยความอยากรู้ ท่านนิ่งคิดไปสักพักรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
“แม่เคยแอบชอบผู้ชายคนหนึ่ง เขาไม่ได้หล่อหรอกแต่เรียนเก่งมาก แถมยังมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่น แม่แอบชอบเขาหลายปีเลยนะ พอวันปัจฉิมเลยตัดสินใจสารภาพรัก แต่เขาบอกว่าเขามีแฟนแล้ว แม่เลยอกหัก” คนตัวเล็กถึงกับเข้าไปกอดมารดาเอาไว้
รู้สึกสงสารในโชคชะตาของท่าน ไม่คิดว่าตนจะได้รับการถ่ายทอดเรื่องผิดหวังในความรักมาด้วย ถึงกับถอนหายใจและค่อยผละออกมา
“ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่งั้นแม่ก็ไม่มีพิ้งสิ” นางหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อือ ถ้าไม่อกหักก็ไม่ได้มารักกับพ่อเรา จนมีน้องพิ้งคนสวยของคุณแม่เหมือนทุกวันนี้หรอก” สองแม่ลูกกอดกันทันที หล่อนยิ้มออกมาได้เมื่อได้ฟังคำปลอบปะโลมใจ
ชีวิตยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าเครียดหรือจมปลักกับผู้ชายแค่คนเดียวเลย
วันเปิดเทอมมาถึงรุ่นพี่ปีสองอย่างพรรณิดานอกจากจะเรียนแล้วก็ต้องทำกิจกรรมควบคู่ด้วย หล่อนได้ถ่ายโฆษณาบ้างแต่เป็นแค่เอ็กตร้าประกบคู่ดาราหน้าใหม่ หรือลงนิตยสารของวัยรุ่น พอจะเป็นที่รู้จักจนมีแฟนคลับ ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
ช่วงปิดเทอมเธอมามหาวิทยาลัยตลอด เพราะลงเรียนซัมเมอร์และเตรียมกิจกรรม เปิดวันแรกก็รับน้องกันถึงดึกดื่น แต่โชคดีที่มารดาซื้อรถยนต์ให้แล้ว ขับไปกลับได้สบายไม่ต้องรอขึ้นรถไฟฟ้า ทว่าเธอเพิ่งหัดขับก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ ต้องคอยระวังตลอดและเพื่อนไม่ค่อยกล้าไปด้วย
อย่างเช่นวันนี้ที่หล่อนเผอเรอจนไม่ทันมองข้างหน้า เสยรถคันที่จอดอยู่ด้านหน้าจนต้องเบรกกะทันหัน ไม่น่าเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เพื่อมากดรับสายที่ตัดไปแล้วเลย หล่อนเขกศีรษะตนเองเป็นการทำโทษแล้วรีบออกจากรถยนต์
ดีที่อยู่ในเขตมหาวิทยาลัย และไม่ค่อยขับเร็วจึงไม่เกิดอุบัติเหตุ และหล่อนไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทว่าคู่กรณีเนี่ยสิ จะเอาเรื่องแค่ไหนเพราะเธอดันสอยตูดรถบีเอ็มรุ่นใหม่เสียด้วย
ซวยแน่ไอ้พิ้ง
“ฉันขอโทษนะคะ ฉันประมาทเองที่ไม่ดูทางให้ดี ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ค้อมศีรษะเมื่อเห็นว่าคนที่ลงจากรถหน้าบึ้งตึงมากแค่ไหน เขาพร้อมจะระเบิดลงเดี๋ยวนั้นจนกระทั่งเห็นใบหน้าหวานเงยขึ้นมา
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ ชายหนุ่มคิดถึงภาพวันวานที่ได้พบหล่อนครั้งแรก แล้วก็ลืมเลือนไปว่าประทับใจกับความงามของหญิงสาวมากเสียจนปณิธานกับตนเองจะตามหาเธอ แต่เพราะการเรียนที่หนัก และค่อนข้างติดเพื่อน จึงลืมสาวน้อยหน้าใสคนนี้
จนได้มาพบกันอีกครั้ง พรหมลิขิตชัดๆ
“ฉัน เอ่อ ผม อือ รถไม่เป็นไรมาก ไม่ ไม่สิ เป็น รถผมเป็น” หล่อนขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด พอเดินไปดูหลังรถของอีกฝ่ายก็ไม่เป็นรอย ส่วนรถเธอบุบเล็กน้อย
ของถูกกับของแพงมันช่างต่างกันซะจริง
“รถคุณไม่เป็นอะไร แล้วคุณเจ็บตรงไหนไหมคะ” สำรวจตามร่างกาย ไม่เห็นร่องรอยก็เบาใจ
“ไม่ครับ” ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็มาคิดได้ทีหลังว่าต่อจากนี้จะเจอเธอได้อย่างไร เขาต้องคิดวิธีเพื่อไม่ให้ถูกตัดขาด
“แต่ผมไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง เกิดมีอาการแทรกซ้อน หรือไม่แสดงอาการก็คงต้องขอเบอร์คุณไว้ก่อนนะครับ” ยื่นโทรศัพท์ไปให้เธอ ทว่าพรรณิดาไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ หล่อนหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด แต่ในเมื่อตนผิดก็จำยอมให้เบอร์ส่วนตัว
“ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนี้ก็โทรมานะคะ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นฉันขอไม่ตอบข้อความ” ใบหน้าคมยิ้มค้าง แต่ก็ยังพยักหน้ามองร่างบางขับยานพาหนะของตนออกไปด้วยแววตาละห้อย
ก่อนจะเขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบกดโทรออกหาเพื่อนสนิททันทีเพื่อพูดเรื่องสำคัญให้ฟัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“ไอ้หวาย กูเจอแล้ว กูเจอคนที่กูชอบแล้วว่ะ” อิงครัตน์ วรนันท์ นักศึกษาแพทย์บอกเพื่อนแล้วฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาสาวที่ผ่านไปมาหันมามองด้วยความหลงใหลได้ปลื้ม
คนหล่อของคณะแพทย์มายืนยิ้มข้างถนนแบบนี้ มีเรื่องอะไรให้น่ายินดีขนาดนั้นนะ...
หลังจากนั้นอิงครัตน์ก็กลายเป็นหนุ่มที่ตามจีบพรรณิดาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มบอกเจตนาของตนชัดเจน ทั้งในข้อความที่ส่งไปหาทุกวัน แต่ก็ได้รับการตอบกลับบ้าง ไม่ตอบกลับบ้าง ทว่าเขาไม่เคยละความพยายาม
เตือนตนเองว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
“พี่อิงมารอแกอีกแล้ว ไม่คิดจะกลับพร้อมเขาหน่อยเหรอ” หล่อนโดนมารดายึดรถไม่ให้ขับมาเรียนสองสัปดาห์แล้ว ท่านเห็นรอยบุบจึงคาดคั้น พอรู้ว่าไปชนคนอื่นจึงได้ยึดใบขับขี่พร้อมทั้งกุญแจเอาไว้ เล่นเอาคนตัวเล็กถึงกับหงอย ต้องมาเรียนโดยขนส่งมวลชน เบียดกับคนผู้คนอีกครั้ง
เดินลงมาจากอาคารเรียนก็เห็นชายหนุ่มคนเดิม เธอถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา เจอรอยยิ้มหวานทำเอาสาวหลายคนใจละลาย
“จะกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” วันนี้ไม่มีรับน้อง เธอจึงได้กลับบ้านเร็วกว่าปกติ ทว่าไม่ทราบเขารู้ตารางเรียนได้อย่างไร
“พี่ไม่ได้ขึ้นเวรเหรอคะ” ถึงคณะอื่นจะพากันเลิกเรียน แต่เด็กแพทย์ชั้นปีที่สี่ซึ่งถือเป็นการขึ้นคลินิกปีแรก
อิงครัตน์ไม่กล้าตอบ ที่จริงวันนี้เขามีเวรแต่ยังอยู่ในช่วงพักจึงคิดจะไปส่งหล่อนให้ถึงบ้านเสียก่อน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะจับได้ ถามน้ำเสียงเอาเรื่องไม่อยากให้ตนเป็นสาเหตุที่เขาโดดเวร เพราะคนเรียนสายวิทย์สุขภาพต่างรู้ดีว่าอาจารย์หมอและรุ่นพี่โหดแค่ไหน
“ก็ขึ้น แต่ไปส่งพิ้งได้” ตอบไม่เต็มเสียง กลัวว่าจะถูกดุ
“พี่ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนจะดูแลคนอื่นเถอะค่ะ พิ้งดูแลตัวเองได้” เดินเลี่ยงไปอีกทาง โดยมีเพื่อนทั้งสองรีบก้าวเท้าตามอย่างรวดเร็ว ปล่อยหนุ่มแพทย์ยืนคอตกแล้วขับรถกลับคณะของตนเองด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หล่อนบอกเขาชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย มีให้แค่สถานะพี่น้อง ทว่าชายหนุ่มเองที่ดื้อดึงจะเป็นมากกว่านั้น คนมันรักไปแล้วห้ามได้เสียเมื่อไหร่
“แกไม่ใจร้ายกับพี่อิงเกินไปเหรอ” ชลิตาสงสารรุ่นพี่ หมั่นมาหาแทบทุกวัน แต่เพื่อนหล่อนก็ไม่เล่นด้วยเลย
“ฉันชัดเจนในแบบของฉัน ไม่อยากให้เขาเจ็บ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า” เหลือบตามองเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมอย่างสกุนตลา ที่หน้านิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอิงครัตน์ ชายหนุ่มมาหาทีไรก็หน้าแดงไม่กล้าพูดหรือสบตาสักครั้ง กลายเป็นคนเงียบซึ่งต่างจากบุคลิกจริง ไหนจะสายตายามแอบมองอีก ชายหนุ่มจึงเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับพรรณิดา
“นั่นสินะ แกมีพี่ณัชอยู่แล้วนิ” ประโยคนั้นเล่นเอาคนตัวเล็กชะงัก หน้าหม่นลงเล็กน้อยจนชลิตาอยากยกมือขึ้นมาตบปากตัวเอง ลืมไปว่าเพื่อนอยู่ในภาวะอกหัก
“แก ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ร่างบางหันมายิ้มแล้วส่ายหน้า