บทที่๓...ไม่อยากเป็นแค่พี่น้อง (๒)
พอเธอจะเลี่ยงไปอีกทางก็โดนดักไว้อีก ก่อนจะอึ้งเมื่อมีขนมถุงใหญ่ยื่นมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไร
“พี่ชื่ออ้น อยู่วิทย์กีฬา พี่ไม่รู้ว่ามันจะเร็วไปไหมทั้งที่เรายังไม่เคยรู้จักกัน แต่พี่อยากบอกว่าพี่แอบชอบพิ้ง” ไม่คิดว่าจะโดนบอกรักโดยไม่ทันตั้งตัว หล่อนรีบหันมองรอบข้างเห็นเพื่อนของอีกฝ่ายส่งเสียงแซวก็ยิ่งอาย
หล่อนรีบหยิบถุงนั้นมาถือไว้ ก่อนจะบอกตัดเยื้อใย ไม่ต้องการให้ชายหนุ่มเก็บไปฝันหวาน หรือคิดว่าตนมีใจ
“ขอโทษนะคะ พิ้งมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” รีบผละออกอย่างรวดเร็ว แล้วเดินมาหาณัชที่ยืนพิงรถคอยท่า เขาเปิดประตูข้างคนขับให้ร่างบางทั้งที่ปกติไม่เคยทำ มองมายังหนุ่มวิทยาศาสตร์การกีฬาด้วยแววตาเรียบนิ่งทว่าเย็นยะเยือกไปทั่วกาย
สารถีสุดหล่อมานั่งประจำที่ ก่อนจะเคลื่อนพาหนะออกจากรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ส่วนคนถูกบอกรักไม่ได้สะทกสะท้านอย่างใด หล่อนไม่เก็บเรื่องนั้นมาคิดแต่กำลังแกะขนมที่หนุ่มคนนั้นให้มากินอย่างเอร็ดอร่อย
“มีความสุขมากนะผู้ชายบอกรักเนี่ย” อดไม่ได้ที่จะพูดประชด
“คนรักก็ดีกว่าคนเกลียด” เคี้ยวขนมแล้วฮัมเพลงมีความสุข ไม่ได้ดูว่าคนข้างๆ ทำหน้าเช่นไร ซึ่งณัชก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ขับรถติดไฟแดงพอดีแล้วมองออกข้างนอกเห็นเด็กน้อยกำลังขายพวงมาลัยทั้งที่ดึกมากแล้ว
เลื่อนกระจกลงแล้วเรียกเด็กคนนั้นมาหา ตัดสินใจซื้อมาลัยสองพวงที่เหลือพร้อมแถมเงินให้อีกด้วยเพื่อเป็นค่าขนม
“ใจบุญจริงๆ” พึมพำเสียงเบา ดวงตากลมโตทอประกายแห่งรัก ก่อนจะรีบทำเป็นมองทางอื่นเมื่อเขาหันมา
“อ่ะ” คล้องพวงมาลัยที่กระจกหน้ารถแล้วหันมายื่นอีกพวงให้พรรณิดา เล่นเอามือที่กำลังหยิบขนมถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะเอามาลัยดอกมะลิให้ตน
“ยื่นมานี่คือให้เหรอ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พอเห็นณัชพยักหน้าก็รีบดูดนิ้วมือที่เปื้อนขนมแล้วเช็ดกระโปรงนักศึกษา เล่นเอาคนมองต้องส่ายหัวระอา ผู้หญิงอะไรซกมกจริงเลย ผู้ชายพวกนั้นมาชอบได้ไงก็ไม่รู้
“มันเหลือน่ะ” ประกายตาเปลี่ยนจากความหวานเป็นอาฆาตทันที แต่ก็ไม่ได้ต่อความอะไรเอาแต่มองของในมืออย่างชื่นชม
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะพี่ณัช ที่อุตส่าห์เอาของเหลือให้พิ้งอย่างนี้ พิ้งจะเอาไปบูชาพระแล้วเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยค่ะ” พูดเสียงอ่อนหวานจนคนฟังผลักหัวหล่อนเบาๆ ค่อยเคลื่อนพาหนะออกเมื่อสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ตู้เย็นถูกเปิดออกโดยคุณอัญชันเพราะหิวน้ำระหว่างกำลังดูหนังช่วงดึกกับลูกสาว เดี๋ยวนี้ท่านไม่ค่อยว่าง พอว่างก็พยายามหากิจกรรมทำกับพรรณิดาตลอด กลายเป็นคุณแม่ดีเด่นและพนักงานยอดเยี่ยมของบริษัท
ทว่าดวงตาก็เหลือบไปเห็นพวงมาลัยที่วางไว้ในตู้เย็น นางหยิบออกมาหวังจะเอาไปไหว้พระ แต่ลูกสาวคนสวยก็เดินเข้ามาในครัวเสียก่อน พร้อมทำตาโตเมื่อเห็นมารดาถือพวงมาลัยของตนเองเอาไว้
“แม่จะเอาพวงมาลัยหนูไปไหน” จะเข้าไปแย่งก็กะไร จึงค่อยเดินไปหาแล้วจับมาลัยออกมาอย่างเบามือไม่ให้ท่านรู้ตัว
“เอาไปไหว้พระสิ พวงมาลัยดอกมะลิหอมเชียว”
“ไม่ได้ พวงนี้หนูเอาไว้ชื่นชม” ท่านขมวดคิ้วทันที ประหลาดคนซื้อมาลัยมาชื่นชม
“อะไรของเรา” พอเห็นว่ามารดากำลังจะถามต่อก็รีบตัดบท
“ขอตัวก่อนนะคะ ง่วงแล้ว หาว” แสร้งหาวเหมือนง่วง แล้วขึ้นบนบ้านพร้อมถือพวงมาลัยไปด้วย นี่ของรักของหวงเลยนะ ถ้ามันเหี่ยวกะจะทับหนังสือเล่มหนาเอาไว้ ถือเป็นความทรงจำดีๆ ระหว่างเธอกับพี่ชายข้างบ้าน
ดอกไม้ช่อแรกที่เขาให้เธอ...พวงมาลัย
“คงจะรักจนอยากบูชากันมากสินะพี่ณัช” คิดเข้าข้างตัวเองก่อนจะเดินเข้าห้องนอน แล้ววางพวงมาลัยไว้หมอนที่อยู่ด้านข้าง ค่อยหลับตาลงพลางสูดกลิ่นหอมของดอกมะลิ
อีกไม่นานจะบอกความรู้สึกในใจให้เขาได้รับรู้ วันที่ไม่อาจเก็บความรักที่มีต่อณัชไว้คนเดียวได้อีกต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะจบการศึกษาชั้นปีที่หนึ่งแล้ว แต่ที่น่าใจหายคือณัชก็เรียนจบเช่นเดียวกัน จะไม่ได้ไปรับไปส่งเหมือนอย่างที่เคยทำทุกวัน แถมชายหนุ่มกำลังจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่หอพักใกล้บริษัทที่ทำงานอีกต่างหาก
หลังเรียนจบพี่ชายข้างบ้านของเธอก็ได้งานที่บริษัทประกอบรถยนต์ของต่างชาติ เริ่มทำตำแหน่งพนักงานทั่วไปของสายงานการตลาด อย่างที่เขาได้ร่ำเรียนมา
“ทำหน้ามุ่ยเชียว เป็นอะไรของเรา” วันนี้น้าหวานจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้ณัช เพราะวันรับปริญญาอีกฝ่ายไม่ว่างกลับบ้าน และคงอีกนานกว่าจะได้กลับ ไหนจะต้องทำงานและเรียนอีก บริษัทให้หยุดแค่วันอาทิตย์ แต่สวัสดิการและเงินค่อนข้างดีเขาจึงเลือกที่นี่
แม่อัญชันเห็นหน้าบุตรสาวก็เอ่ยทัก ปกติจะต้องไปเล่นบ้านข้างกันตั้งแต่เช้าหากเป็นวันหยุด แต่นี่มานั่งหน้าหงอยอยู่ข้างบ้าน ผิดปกติจนต้องถามไถ่ ซึ่งหล่อนก็ทำเพียงถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม จะไม่ได้เจอพี่ณัชจริงเหรอ
แล้วจะอยู่อย่างไร ทุกวันนี้ก็มีเขาเป็นกำลังใจให้ตลอด ถึงไม่ได้มีคำพูดดีๆ ให้กันก็ตาม
“เบื่อ” บอกออกมาสั้นๆ
“เบื่ออะไรของเรา” แม่ได้ยินก็มาลูบหัว
“เฮ้อ ไม่มีอะไรหรอก หิวจังเลยมีอะไรกินไหมแม่” อ้อนด้วยการกอดเอว พลางเงยหน้ามาทำตาแป๋วจนมารดาต้องส่ายศีรษะแล้วยีผมลูกสาวที่บัดนี้เติบโตขึ้นจนสูงกว่าแม่แล้ว
“ไปกินบ้านน้าหวานนั่นแหละ” ร่างบางทำหน้ายู่แล้วค่อยเดินไปบ้านใกล้เรือนเคียง เธอแอบมาช่วยน้าหวานทำครัวตั้งแต่เช้า ทว่าไม่รู้ใช้คำว่าช่วยหรือป่วนดีเพราะหยิบจับอะไรแทบไม่เป็นเลย
การบ้านการเรือนค่อนข้างห่างไกลจากเธอพอสมควร หากให้ช่วยล้างผักล้างหมูยังพอทำได้ จนแม่แซวว่าถ้าแต่งงานไปฝ่ายชายคงต้องทำเองทุกอย่าง
ถ้าอย่างนั้นคงต้องบอกให้พี่ณัชหัดทำอาหาร ดูแลบ้านแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี น้าหวานยังเคยเปรยเลยว่าอยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้ แม่ของว่าที่สามีเปิดทางขนาดนี้ มีหรือที่พรรณิดาจะทำให้ท่านผิดหวัง
“น้าหวาน พี่ณัชล่ะคะ” มาถึงบ้านก็ถามหาเจ้าของงาน
“ไปบ้านพ่อเขาน่ะ” หล่อนเงียบทันทีเมื่อได้ยินคุณน้าพูดอย่างนั้น
พ่อที่แทบไม่มาดูดำดูดีลูกชาย แม้แต่วันเกิดของณัชก็ไม่โผล่มาให้เห็นสักครั้ง หล่อนเคยพบท่านในหน้าจอโทรทัศน์บ้าง รู้ว่าเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมของประเทศ ร่ำรวยน่าดูเพราะเป็นรายใหญ่ ไม่แปลกที่จะมีบ้านเล็กบ้านน้อยเต็มไปหมด
นรียาเองก็คือหนึ่งในเหยื่อ ไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นที่สอง จนกระทั่งคลอดณัชออกมา และเมียหลวงมาตามหาถึงโรงพยาบาล หล่อนจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ในสถานะนั้น และเมื่อลูกชายเติบโตพอจะรู้ความ จึงได้ทราบความจริงว่าเป็นลูกนอกสมรส เป็นลูกเมียน้อยอย่างที่คนอื่นล้อ
จากเด็กร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นเก็บตัว มุ่งมั่นเรียนหนังสือจนสอบได้ที่หนึ่งตลอด ทำตัวเองให้ดีกว่าลูกชายสุดที่รักของพ่อ
ณัชตัดขาดจากบิดาของตนเองเมื่อขึ้นมัธยมศึกษาปีที่สาม และยังประกาศกราวจะก่อร่างสร้างตัวให้เป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงมุ่งมั่งทำทุกอย่างเพื่อจะได้พาแม่เชิดหน้าชูตาในสังคมที่โหดร้ายแห่งนี้
“น่ากินจังเลยค่ะ ขอหนูชิมได้ไหม” เห็นอาหารวางบนโต๊ะก็ตาวาว ห้องครัวถูกเปลี่ยนเป็นงานปาร์ตี้ขนาดย่อม รอก็แต่เจ้าของงานมาเปิด
“เอาเลยจ้ะ” เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาทุกคนก็หันไปมอง ไม่นานชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏกาย เขาอยู่ในชุดสูทที่แสนหล่อเหลา ทำเอาพรรณิดาถึงกับอ้าปากค้าง
อยากได้ อยากได้ผู้ชายคนนี้
ร่ำร้องอยู่ในใจแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เห็นหน้าตาเขาเหนื่อยจึงไม่อยากหยอกล้อ ปล่อยให้ชายหนุ่มขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งกินข้าวด้วยกัน เธอแอบเอาของขวัญที่ซื้อให้เขาไว้ที่ใต้เก้าอี้ของตน รอจนกระทั่งณัชลงมาข้างล่าง
“ยินดีด้วยนะจ้ะลูกชาย” นรียามอบของขวัญให้ลูก พร้อมกล่าวคำยินดี เขารับมาแล้วยกมือไหว้ ก่อนจะรับของจากป้าอัญชัน ปิดท้ายหันมามองพรรณิดา
“มองทำไม คิดว่าพิ้งจะให้ของขวัญพี่เหรอ” ถามอย่างยียวน แต่ก็วางกล่องขนาดเล็กไว้บนมือหนา พลางก้มหน้าก้มตากินอาหาร ทั้งที่ใจเต้นรัวยามเห็นรอยยิ้มข้างมุมปากของร่างสูง
การพูดคุยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เวลาดำเนินมาจนดึกดื่นทำให้คนมากกว่าวัยทั้งสองเริ่มง่วง คุณอัญชันขอกลับบ้านก่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดแต่เช้า ไม่นานน้าหวานก็เข้าบ้านเมื่อบุตรชายบอกจะเก็บกวาดให้เรียบร้อย
สองหนุ่มสาวจึงช่วยกันทำความสะอาดห้องครัวให้กลับมาใหม่เหมือนเดิม โดยที่พรรณิดาลอบมองชายหนุ่มบ่อยครั้ง เธอทำใจมาหลายสัปดาห์และเลือกเอาวันนี้เหมาะในการสารภาพรัก
ถ้าเขาตกลงเราก็จะได้เจอกันบ่อยถึงแม้ณัชไปทำงานไกลบ้านก็ตาม อย่างน้อยก็โทรหาเพื่อถามไถ่บ้าง เพราะฉะนั้นหล่อนต้องบอกความในใจกับเขาได้แล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอจึงกำมือแน่น รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาคนที่บิดขี้เกียจด้วยความเมื่อย เขาตื่นเช้าไปวัดกับแม่ แล้วยังต้องจัดการเรื่องเรียนปริญญาโทอีก
แต่ที่หนักสุดคงเป็นเรื่องของบิดา ที่ท่านตะคอกว่าเขาเป็นลูกอกตัญญู เพราะคิดจะตัดพ่อลูก เพิ่งรู้ว่าภรรยาหลวงของท่านยังไปราวีแม่ของตน ทั้งที่ยอมให้ทุกอย่างแล้ว แทบไม่เคยติดต่อสักครั้ง มีเพียงเงินท่านที่ส่งเสียเรื่องเรียน
ทว่าอีกไม่นานเขาจะชดใช้ให้หมด จะได้ไม่ติดค้างกันอีก
“พี่ณัช” ดึงชายเสื้อเขาพลางเรียกเสียงอ่อน ทำเอาใบหน้าคมหันมองเพราะไม่เคยได้ยินโทนเสียงหวานเช่นนี้จากน้องข้างบ้าน
“อะไร” ดวงตาของเขาที่จ้องมอง เล่นเอาพรรณิดาตัวแข็งชั่วขณะ การสารภาพรักมันยากแบบนี้เอง เธอคาดหวังให้สมหวัง แต่ไม่รู้ปลายทางจะเป็นเช่นไร
มือชื้นเหงื่อจนต้องกำแน่นทั้งสองข้าง ลอบกลืนน้ำลายพลางจ้องใบหน้าคมไม่ไหวติง ณัชเริ่มผิดสังเกตกำลังจะถามย้ำแต่ก็ต้องชะงักเพราะร่างบางโพล่งออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พิ้ง...ชอบพี่” เรียกชื่อตนเองเสียงดัง ก่อนจะแผ่วในประโยคท้าย ทว่าเขากลับได้ยินมันชัดเจน
บรรยากาศในห้องลดฮวบจนเย็นยะเยือก แต่ดูเหมือนว่าสาวเภสัชจะร้อนเพราะเหงื่อออกตามไรผม ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยมาสบตาคนตรงข้าม ที่ตอนนี้เงียบจนเหมือนไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เล่นเอาใจไม่ดีจนต้องเงยหน้ามอง
“ฉันไม่ได้ชอบเธอ”