บทที่๓...ไม่อยากเป็นแค่พี่น้อง (๑)
กระดาษประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นคทากรถูกยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังมุ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ ณัชต้องการเข้าทำงานหลังเรียนจบทันที มีบริษัทต่างชาติที่เคยไปฝึกงานติดต่อมาแล้ว ทำให้เริ่มเบาใจว่าอย่างน้อยงานก็ลอยมาเองไม่ต้องไปเดินหาให้เมื่อย
ดวงหน้าคมเงยหน้าขึ้นมองน้องข้างบ้านที่ยิ้มแก้มปริ เขาวางปากกาเน้นคำลงแล้วถอนหายใจกับการบุกเข้าห้องคนอื่นโดยไม่เคาะประตูของหล่อน
ช่วงนี้เจอหน้าพรรณิดาบ่อยเหลือเกิน เดี๋ยวก็มากินข้าวด้วย อยู่มหาวิทยาลัยหล่อนยังใช้เขาราวกับเบ๊ หรือบางวันว่างมักจะมานั่งอ่านหนังสือด้วย พอบอกให้ไปอยู่กับเพื่อนก็อิดออด บอกเพื่อนไม่ค่อยว่าง
ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป จะสันนิษฐานว่าเธอชอบเขา
แต่พอมาคิดดูถึงความเป็นไปได้ มันติดลบจนต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้นไป ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนโต หล่อนไม่ชอบหน้าเขาด้วยซ้ำแล้วจะมาหลงรักได้ไง
“พิ้งได้เป็นหนึ่งในคทากรแล้ว เพราะฉะนั้นพี่ต้องไปรับพิ้งกลับบ้านทุกวัน” สั่งชัดเจนจนร่างสูงต้องคว้ากระดาษมาอ่านให้ละเอียด
“กระดาษจริงหรือเปล่า ไม่ใช่โมเมเอาชื่อตัวเองใส่นะ” ได้ยินอย่างนั้นถึงกับเท้าสะเอวมองคนตรงหน้าอย่างหาเรื่อง
“ไม่เชื่อก็เอามือถือมาเสิร์ชดูในเพจของมอได้เลย คนอย่างพิ้งไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก สวยมีความสามารถขนาดนี้” พอหล่อนเยินยอตนเองให้ฟังเขาก็ยัดกระดาษแผ่นบางใส่มือเธอทันที พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“ว่าไงพี่ณัช ตกลงไปรับไหม” เกาะแขนหนาแล้วเขย่าเพื่อถามย้ำอีกครั้ง
“ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าหวานแย้มยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อชายหนุ่มไม่ได้คิดจะเบี้ยว เพียงแค่นึกว่าจะได้กลับบ้านด้วยกันทุกวันก็ความสุขแล้ว
ช่วงหลังอีกฝ่ายไม่ค่อยว่าง หล่อนต้องกลับบ้านเองหรือวันไหนแม่กลับตรงกันท่านก็ไปรับ เธออยากหัดขับรถยนต์จะได้ไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง ทว่าถ้าขับรถเป็นณัชก็ไม่ไปรับไปส่งสิ เพราะฉะนั้นเธอจึงเลื่อนแผนการนั้นไปก่อน
วินาทีนี้พี่ชายข้างบ้านสำคัญที่สุด
“พี่ณัชชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ” ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยหล่อนก็ถามเขา เดี๋ยวนี้หญิงสาวมักขอติดรถไปด้วยเสมอ บอกว่าประหยัดค่าเดินทาง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร ถึงจะมีจิกกัดบ้างแต่พรรณิดาก็ตอกกลับได้เสมอ
“คุยรู้เรื่อง” ตอบสั้นจนหล่อนถอนหายใจเสียงดังให้เขารู้ว่าระอากับคำตอบ
“เป็นคนก็ต้องคุยรู้เรื่องอยู่แล้ว ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวสักหน่อย ที่พิ้งถามหมายถึงสเป็ค สูง ยาว ผมสวย หน้าหมวย หรือฝรั่งต่างหากเล่า ถามแค่นี้ทำไมต้องให้อธิบายยาวด้วย บอกมาแต่แรกก็จบแล้ว” บ่นยาวเป็นหมีกินผึ้งพลางกอดอก หันไปมองใบหน้าคมที่ตาจ้องถนน ซึ่งนั่นก็ถูกต้องแล้วเพราะเขาขับรถ ถ้าไม่มองถนนสิน่ากลัว
“ถามไปทำไม มีในข้อสอบเหรอ” หล่อนกำมือแน่น ไม่ชอบก็ตรงที่เขาต่อปากต่อคำเก่งเนี่ยแหละ ถามประโยคเดียวทะเลาะกันอีกยี่สิบประโยค ไม่รู้ว่าชอบเขาไปได้อย่างไร หรือบางทีสมองจะกระทบกระเทือนอย่างที่สกุนตลาว่าจริงๆ
“ไม่อยากรู้แล้ว ช่างมันเถอะ” ทำหน้าบึ้งใส่เขาแล้วมองออกนอกหน้าต่าง
“ก็ตอบไปแล้ว แค่คุยรู้เรื่องก็พอ” หันมามองสารถีสุดหล่อน ทำไม สเป็คผู้หญิงที่เขาชอบมันน้อยจังเลย มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นเอง
แต่ว่าคนที่คุยรู้เรื่อง...มันกว้างมากเลยนะ
หรือเขากำลังจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงที่เถียงเก่ง อาจจะชอบคนอยู่ในโอวาทหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็ค่อนข้างห่างไกลเลยสิ นอกจะจากพูดเก่งแล้วยังอยู่นอกกรอบของหญิงไทยใจงามอีก
ลองคิดใหม่ดีกว่า ณัชอาจจะหมายถึงคนที่เรียนคณะเดียวกัน พูดคุยภาษาธุรกิจเหมือนกันไม่ใช่คนที่เรียนคนละสาขาวิชาอย่างหล่อน
“ทำไมตอนนั้นพี่ไม่เลือกแพทย์ล่ะ” หันไปเหวใส่ทันที จำได้ว่าเขาเคยคิดจะเรียนคณะแพทยศาสตร์ แต่ก็เบนเข็มไปเรียนบริหารอย่างกะทันหัน ทั้งที่คะแนนสอบของชายหนุ่มสามารถเข้าแพทย์ได้สบาย อาจจะได้อันดับหนึ่งของประเทศด้วยซ้ำ
“กลัวเลือด” เกือบลืมไปเลย
หล่อนพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่ตนกับชายหนุ่มไม่ได้เรียนสายวิทย์สุขภาพเหมือนกัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง
“ถึงแล้ว นั่งเหม่ออะไร” สะดุ้งเมื่อถูกเขาเรียก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย พร้อมถือชีทแล้วลงจากรถยนต์ของร่างสูงทันที ไม่วายโบกมือลาพลางยิ้มให้เขาค่อยเดินเข้าไปในอาคารเรียน
หลังผ่านสอบกลางภาคมาไม่นานการเรียนก็หนักขึ้น แถมกิจกรรมก็จ่อมาอีก เธอจึงพยายามจัดสรรเวลาให้ดี ถึงทำกิจกรรมก็ไม่ควรทิ้งการเรียน ไม่อย่างนั้นมารดาเอาตายแน่
“ยืมเลคเชอร์แกหน่อยสิ ฉันจดไม่ทันตั้งเยอะ” ชลิตาอ้อนเพื่อนคนสวย กอดแขนเอาไว้แน่นพลางทำตาปริบ จนหล่อนต้องเปิดกระเป๋าแล้วยื่นสมุดให้อีกฝ่าย
“ขอบใจมาก บุญคุณนี้ฉันจะไม่ลืม” พรรณิดาส่ายศีรษะให้กับความเล่นใหญ่เกินใครของเพื่อนใหม่
“แกจะไปซ้อมใช่ไหม” ไม่อยากไปเลยซักนิด ที่ไปคัดเลือกก็เพราะอยากให้ณัชมารับ เดี๋ยวนี้โลกของเธอมีเพียงพี่ชายข้างบ้าน ทั้งที่ทะเลาะกันมาตลอด แต่พอได้ยอมรับใจตัวเองแล้วก็รักจนถอนตัวไม่ขึ้น
“อือ ไม่อยากไปเลยอ่ะ อยากวาร์ปไปตอนเลิกแล้วพี่ณัชมารับ” เริ่มงอแงจนคนมองแอบหมั่นไส้ เดี๋ยวนี้คำก็พี่ณัชสองคำก็พี่ณัช อยากให้ย้อนไปเมื่อก่อนเหลือเกิน พูดแรงจนนึกว่าจะไม่เผาผีกันเสียอีก
แต่มาลองนึกดูก็ไม่แปลกใจที่พรรณิดาจะตกหลุมรัก สกุนตลาไม่เคยเห็นเพื่อนคบผู้ชายคนไหน พูดถึงก็แต่พี่ณัช เป็นเรื่องไม่ดีบ้างเรื่องดีบ้าง นั่นแสดงให้เห็นว่าในสายตาของเพื่อนเธอมีเพียงพี่คนนั้นตลอดเวลา
แค่ไม่ยอมรับหัวใจตนเอง...ทว่าพอยอมรับแล้วก็เป็นหนักอย่างที่เห็นนี่แหละ
“พี่เขาจะมารับเหรอ” พอโดนถามจี้ใจดำก็หน้างอ หล่อนก็ลุ้นเหมือนกันว่าเขาจะมารับหรือเปล่า โทรไปก็ไม่รับด้วยสิ
“ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องมา ไม่มาฉันจะโกรธ” ชลิตาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างนึกขำกับท่าทีเหมือนเด็กน้อย พอมีความรักจากอายุสิบแปดก็กลายเป็นสิบขวบทันที
“อย่างกับพี่ณัชจะง้อ เฮ้อ พวกฉันไปแล้ว ขอให้ซ้อมอย่างมีความสุขนะจ๊ะ” พอเพื่อนโบกมือลาก็เริ่มรั้งเอาไว้
“ไม่อยู่ดูก่อนเหรอ แป็บเดียวเอง” สองสาวส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไม่จ้ะ ฉันต้องทำรายงาน” เหตุผลทำเอาพรรณิดาต้องรีบแย้ง
“ส่งตั้งเดือนหน้า รีบไปหรือเปล่า” สกุนตลาถึงกับเขกมะเหงกใส่ศีรษะมนแต่ไม่แรงนัก
“ฉันไม่ได้ฉลาดเหมือนแกนะจ๊ะ จะได้เป็นอัจฉริยะข้ามคืนน่ะ อีกอย่างไม่อยากพอกงานเอาไว้ด้วย มีเวลาว่างก็ทำให้เสร็จดีกว่า” ฟังอย่างนั้นก็หันมองเพื่อนอีกคน
“อย่ามองอย่างนั้นสิ ฉันต้องไปทำงานพาร์ทไทม์” หล่อนอยากทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อของที่อยากได้ และเก็บไว้เป็นทุนในอนาคต
“ทิ้งฉันหมดเลย” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะบอกลาทั้งสองคนแล้วไปทำหน้าที่ของตนให้ดี ในใจก็ลุ้นว่าพี่ชายข้างบ้านจะมารับหรือเปล่า
ถ้าไม่มารับหล่อนจะไปวีนถึงบ้านเลยคอยดูสิ อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับเต็มคำเสียด้วย กลับพูดเหมือนให้หล่อนคิดเอาเอง ตอนเช้าเธอก็ย้ำซึ่งเขาแค่ไล่ให้ลงจากรถ คิดแล้วก็หงุดหงิด ไม่มีความคืบหน้าในสัมพันธ์ครั้งนี้เลย
หรือเธอจะเป็นได้แค่น้อง
ไม่เอาหรอก เกลียดสถานะนี้จะตาย ใครอยากเป็นพี่น้องกับคนที่ตัวเองชอบกัน มีแค่คนที่ไม่คิดอะไรนั่นแหละถึงอยู่ในสถานะนั้นได้
วันแรกรุ่นพี่มาพูดพื้นฐานและแนะนำให้รู้จักกัน เพราะมีคทากรจากหลากหลายคณะ นัดแนะการซ้อมพร้อมตารางในแต่ละวัน เล่นเอาเธอถึงกับหน้าถอดสี ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ ถอนตัวทันหรือเปล่าเนี่ย
“พิ้งกลับยังไง ไปกับเราไหม” สายป่านเพื่อนจากคณะนิเทศศาสตร์เดินมาถาม เธอนิ่งสักพักก่อนจะมองถนนแล้วตาวาวเพราะเห็นรถยนต์ที่คุ้นเคย
“ไม่เป็นไร พอดีพี่ชาย เอ่อ รุ่นพี่มารับน่ะ ไปก่อนนะป่าน เจอกันพรุ่งนี้” จากที่คิดจะบอกว่าพี่ชายก็รีบเปลี่ยน เธอไม่อยากให้เขาเป็นแค่พี่ชายซักหน่อย
โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินแกมวิ่งไปหาคนตัวสูงที่ลงจากรถ พร้อมยื่นถุงขนมมาให้ด้วยหน้าตาเรียบเฉยจนเหมือนไร้อารมณ์ แต่หล่อนไม่สนใจหรอก เขามารับก็ดีใจมากแล้ว
“อะไรอ่ะ” ถามเสียงอ่อนเสียงหวาน รับมาเปิดดูแล้วเงยหน้ามองณัชพร้อมยิ้มหวานให้อีกด้วย
“ตามีก็ดูสิ” คำพูดของเขาทำเอากำมือแน่น ทำไมไม่อ่อนหวานเหมือนที่เธอวาดภาพเอาไว้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
แต่ก็เป็นตัวของตัวเองดี ต้องแบบนี้สิถึงใช่พี่ณัชปากเสียที่หล่อนรู้จักมาสิบกว่าปี
“พาไปหาไรกินหน่อย หิวมากกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว” ปัดประโยคนั้นออกแล้วอ้อนเสียงหวาน เล่นเอาร่างสูงต้องขึ้นรถโดยไม่ตอบอะไร แต่เชื่อเถอะอย่างไรเขาก็ต้องพาเธอไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านแน่นอน คนปากแข็งแบบนี้พูดไม่ตรงกับใจหรอก
“นี่อะไรอ่ะ” เบาะนั่งข้างคนขับมีถุงผ้าวางไว้ หล่อนหยิบมาเปิดดูพบกล่องข้าวที่ถูกบรรจุไว้อย่างดี ใบหน้าหวานยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ทำกับข้าวมาให้ด้วยเหรอ” รีบเข้าไปนั่งในรถ แล้วกอดถุงผ้านั้นไว้แน่น
“แม่ฝากมาให้” ตอบเสียงเรียบแล้วขับออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับบ้าน
“พี่กลับบ้านก่อนมารับพิ้งเหรอ” เจอกันก็เต็มไปด้วยคำถาม จนคนฟังคร้านจะตอบแต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องตอบทุกครั้ง
“อือ” ทำตาหวานใส่สารถีรูปหล่อ หลังจากนั้นจึงได้รับประทานอาหารขณะที่คนข้างกายขับรถ ตอนดึกไฟแดงไม่เยอะทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้าน ทว่าเธอยังกินไม่หมดเพราะอยากอยู่กับเขานานๆ
ถึงหน้าบ้านก็ไม่ยอมลงสักที เล่นเอาหนุ่มหน้าหล่อต้องหันมามองเป็นการกดดัน แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักที เธอจึงพยายามทำเป็นไม่รู้ว่าเขาต้องการไล่ตนลงจากรถ
ทว่าไม่นานร่างสูงก็เลือกจะเปิดโทรศัพท์แทน เล่นเอาคนตัวเล็กเริ่มสงสัยว่าพี่ชายกำลังทำอะไร เหลือบมองก็เห็นว่าหน้าจอเต็มไปด้วยตัวหนังสือยาวเหยียด คงกำลังอ่านรายงานหรือเรื่องที่กำลังศึกษานั่นแหละ
“พี่จะเข้าบริษัทอะไรเหรอ” กลายเป็นว่าพวกเขาจอดรถหน้าบ้านโดยที่ไม่มีใครเข้าบ้านซักคน หล่อนกินอาหารส่วนชายหนุ่มก็อ่านบทความเกี่ยวกับบริษัทที่ตนต้องการเข้าไปเป็นหนึ่งในฟันเฟือง แน่นอนว่ามันไม่ใช่บริษัทในประเทศ
ณัชต้องการความก้าวหน้า โดยใช้เวลาอันรวดเร็ว ตั้งแต่เด็กจนโตเขาอยู่กับคำว่าลูกเมียน้อยตลอด จึงพยายามเรียนให้เก่ง ทำทุกอย่างเพื่อลบคำนั้นออกไป ต้องกลายเป็นผู้บริหารแนวหน้าของประเทศให้ได้ เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นก็สำคัญ
ต้องเข้าไปเรียนรู้และกอบโกยเงินให้ได้มากที่สุดเสียก่อน พร้อมกันนั้นยังคิดจะเรียนปริญญาโทอีกด้วย หลายคนบอกว่าเขาบ้าไปแล้วที่จะเรียนพร้อมทำงาน มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย หนักจนแทบไม่ได้หลับได้นอน
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ตอบโดยไม่หันมามองหน้า
“พิ้งไม่ใช่เด็กนะ อายุสิบแปดแล้ว” เขาเงยจากหน้าจอค่อยหันมามองคนที่ทำหน้าบึ้ง
“แต่ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กินข้าวไปเลยไม่ต้องพูดมากหรอก” พรรณิดาตักข้าวคำโตเข้าปาก พลางเคี้ยวเสียงดังแต่คนข้างกายก็ไม่ได้สนใจ
ตอนไหนเธอจะโตซักที รู้อย่างนี้น่าจะเกิดพร้อมกัน พ่อกับแม่ทำไมไม่รีบมีเธอให้เร็วกว่านี้ เผื่อจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของณัชบ้าง
ไม่ใช่สิ เธอต้องไม่ใช่ตัวเลือก ต้องเป็นแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น
หลังจากวันนั้นผ่านมาเป็นสัปดาห์หล่อนก็ยังซ้อมหนักเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ รุ่นพี่ค่อนข้างเคร่งพอสมควร งานในคณะก็ต้องทำ งานมหาวิทยาลัยก็ไม่ขาด อยากมอบโล่เกียรติยศให้ตนเสียเหลือเกิน
และพี่ชายข้างบ้านก็ขับรถมารับเช่นทุกวัน จนคนอื่นเห็นชินตาเสียแล้ว ขณะที่หล่อนเดินมาหาเขาด้วยท่าทีเหน็ดเหนื่อย กลับโดนชายแปลกหน้ามาขวางทางเอาไว้ พอเงยหน้ามองก็ต้องขมวดคิ้วเนื่องจากไม่คุ้นหน้าคนนี้เอาเสียเลย