บทที่๒...เริ่มจีบไม่ให้รู้ตัว (๑)
หลังจากวันนั้นพรรณิดาก็สนิทกับพี่ชายข้างบ้านมากขึ้นจนแม่ทั้งสองบ้านสงสัย ว่าที่หมอยามักขอติดรถณัชไปมหาวิทยาลัย บางครั้งก็กลับพร้อมกันทั้งที่หล่อนมีรับน้องถึงดึก ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์รอรับจนคนเป็นแม่อย่างอัญชันหายกังวลเรื่องลูกกลับค่ำ
หล่อนไม่ประสงค์แจ้งความ แต่ก็เอาไปพูดในคณะจนรู้กันทั่ว พลางมองจิรศักดิ์เปลี่ยนไป วันนี้มีกิจกรรมรับน้องวันสุดท้ายก่อนจะได้รุ่น พวกเธอจึงค่อนข้างตั้งใจเป็นอย่างมาก
จนทุกอย่างผ่านไปพ้นไปด้วยดี พากันกอดคอร้องไห้ยามได้ธงรุ่น รู้ดีว่ามันยากลำบากมากแค่ไหน ขนาดลดการรับน้องแบบโซตัสจนเหลือแค่ระเบียบทั่วไป แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่ามันโหดอยู่ดี
“แกเห็นพี่โจ้ไหม หน้าบวมช้ำเหมือนถูกต่อย สงสัยไปขัดแข้งขัดขาใครเข้า” หลังออกจากห้องประชุมก็พูดถึงเรื่องอันเป็นที่กล่าวขาน
จิรศักดิ์มาทำกิจกรรมในสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ใบหน้าหล่อบวมช้ำ แขนต้องใส่เฝือกเอาไว้หมดเค้ารุ่นพี่สุดฮ็อตที่สาวรุมกรี๊ดไม่เหลือชิ้นดี พรรณิดาเห็นก็สมเพชในใจ ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความสงสาร เพราะสิ่งที่เขาทำกับเธอมันยังชัดเจนในความรู้สึกจนไม่สามารถลืมได้
“สมควร น่าจะโดนหนักกว่านี้” พูดอย่างไม่ยี่หระ แล้วยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นรถยนต์ของณัชมาจอดหน้าคณะตนเอง รีบเดินกึ่งวิ่งไปหาเขา
“พี่ณัช มารับพิ้งเหรอ” ดวงตากลมเป็นประกายเมื่อเห็นร่างสูงยืนพิงรถราวพระเอกในละครที่มารอรับนางเอก
เธอยอมรับใจตัวเองแล้วว่าหลงรักเขาเข้าเต็มเปา และมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่สะสมมานานแล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นเช่นนั้น ณัชมีอะไรดีให้ชอบบ้างนอกจากหน้าตา
ก็แค่เรียนเก่ง ปากร้ายแต่ใจดี เอาใจใส่คนอื่น ชอบช่วยเหลือ ข้อดีก็แค่นี้เอง...
“เปล่า รอเอาอาหารให้อาโป” หล่อนหน้ามุ่ยทันทีเมื่อเขากำลังพูดถึงอาโป สุนัขประจำคณะของเธอที่ชอบเร่ร่อนไปตามคณะอื่นจนกลายเป็นหมาชื่อดัง ไปไหนใครก็รู้จัก
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องรอให้อาหารไหมล่ะ ร่างบางทำหน้ามุ่ยจนณัชแอบอมยิ้ม ก่อนจะหันไปมองเพื่อนทั้งสองคนของเธอ
“พี่ณัชสวัสดีค่ะ” สองสาวยกมือไหว้ เขาก็ค้อมศีรษะรับไหว้พลางยิ้มให้เล็กน้อย
“กลับเลยไหม” หันมาถามพรรณิดาที่ยังไม่หายงอน แต่ถ้าเล่นตัวก็กลัวเขาจะขับรถกลับโดยไม่ง้อ จึงต้องทิ้งทิฐิแล้วพยักหน้า
“กลับ พวกแกขึ้นรถเลย เดี๋ยวพี่ณัชไปส่ง” หันมาบอกเพื่อนแล้วจัดแจงทุกอย่าง เล่นเอาหนุ่มบริหารถึงกับส่ายหัว แต่ก็ยังหันมาบอกสกุนตลาและชลิตา
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมารับหล่อนทีไรก็ไปส่งเพื่อนสนิททั้งสองคนของน้องข้างบ้านตลอด จนกลายเป็นเคยชินไปเสียแล้ว
เมื่อทุกคนขึ้นรถสารถีก็ทยอยไปส่งยังที่หมาย ก่อนจะเหลือแค่ตนและสาวเภสัชที่นั่งร้องเพลงอยู่เบาะหน้าเพียงสองคน ดูเหมือนว่าหล่อนจะกลับมาร่าเริงเป็นปกติแล้ว
นึกเจ็บใจที่พรรณิดาไม่เอาเรื่องจิรศักดิ์ ให้เหตุผลแค่ว่าไม่ต้องการให้มารดาทราบเรื่อง และไม่อยากขึ้นโรงพัก ซึ่งความจริงควรเอาให้หนัก ถ้าเล่นถึงติดคุกได้ก็ยิ่งดี มันควรสำนึกว่าไม่มีสิทธิ์ข่มเหงผู้หญิง
แค่คิดถึงเรื่องวันนั้นเลือดก็ขึ้นหน้าจนกำพวงมาลัยแน่น
“พี่ณัชกินข้าวยัง พิ้งยังไม่ได้กินอะไรเลย แวะข้างทางหน่อยสิ อือ พิ้งอยากกินจิ้มจุ่ม” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ เหมือนไม่ได้ถามความเห็นเขาแต่กำลังสั่งมากกว่า ดวงตาคมเหลือบมองหล่อนแล้วถอนหายใจเสียงดัง
“แล้วตอนเชียร์ทำไมไม่กิน” ไม่วายเอ่ยถาม
“ก็มันไม่หิว ทำไมต้องพูดเยอะด้วย บอกก็ทำตามสิ” การต่อปากต่อคำกับร่างสูงเป็นเรื่องปกติของเธอ ถึงจะชอบแต่ก็ไม่อ่อนข้อให้หรอก
“เฮ้อ” ถอนหายใจเหมือนจะไม่ยอมทำตาม แต่สุดท้ายก็เลี้ยวรถเข้าไปในซอยขนาดเล็ก จอดชิดขอบถนนแล้วค่อยดับเครื่องยนต์ เล่นเอาร่างบางถึงกับงงว่าเขาจอดทำไม หล่อนหันซ้ายแลขวาก็เห็นเพียงรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ที่จอดเรียงราย
พอหันไปมองณัชก็เห็นว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัย หล่อนจึงได้ทำตามทั้งที่ยังไม่ได้ถามอะไร ทว่าพอชายหนุ่มจะลงจากรถก็ยังเห็นเธอนั่งนิ่งเหมือนเดิม
“จะไปกินไหมจิ้มจุ่มน่ะ นั่งนิ่งอยู่ได้” ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้าง แล้วทีแรกทำเหมือนไม่อยากพาไป สุดท้ายก็ตามใจหล่อนจนได้
แบบนี้จะไม่ให้รักให้หลงอย่างไรไหว
“พี่ณัชพาพิ้งมากินจริงเหรอ” รีบลงจากรถแล้วเดินตามเขาไปทันที
“โกหกมั้ง พามาขายแต่ไม่รู้จะได้ราคาดีหรือเปล่า” ปากแบบนี้แหละถึงไม่อยากทำดีด้วย หล่อนมองเขาตาขวางอยากทุบสักที แต่ดันถึงร้านจิ้มจุ่มข้างทางเสียก่อน จึงต้องเข้าไปนั่งแล้วสั่งอาหารมากิน
หล่อนไม่ลืมโทรบอกมารดาว่ากินข้าวข้างนอก ให้ท่านเข้านอนได้เลย ก่อนจะบอกรักและวางสาย เป็นปกติของบ้านเธอ แต่ดูเหมือนณัชจะไม่ทำเช่นนั้นกับแม่ เขามองราวมันเป็นเรื่องประหลาดจนเธอต้องถามน้ำเสียงยียวน
“มองทำไม ไม่เคยบอกรักแม่เหรอ” ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ค่อยบอกรักท่าน อย่างมากก็เอาดอกมะลิไหว้ในวันแม่ หรือช่วยทำอาหารในบางวัน ก็ถือเป็นการบอกรักในฉบับของณัชแล้ว และ คุณนรียาก็รับรู้ได้
“เฮ้อ สงสารน้าหวานจริงๆ มีลูกชายก็ปากแข็ง ปากเสีย ไม่ได้ดั่งใจอะไรสักอย่าง” เขาเอียงคอเล็กน้อยแล้วมองหล่อน
“นี่เธอกำลังด่าฉันใช่ไหม” คนตัวเล็กทำตาโต
“เปล่าสักหน่อย คิดเองหรือเปล่า ใครจะกล้าว่าพี่ณัชแสนดี แสนน่ารัก สุภาพบุรุษตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากันล่ะ ไม่มี๊ไม่มี” เห็นแล้วก็หมั่นไส้จนยกกำปั้นเขกศีรษะมน ถึงจะไม่แรงมากนักแต่หล่อนก็ทำราวกับว่าโดนค้อนทุบ
“โอ๊ย เจ็บๆๆๆ มือคนหรือหินกันแน่ ทำไมหนักแบบนี้”
“เว่อร์แล้ว” หล่อนหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนที่ชุดหม้อดินจะถูกวางบนโต๊ะ พร้อมกับจิ้มจุ่มชุดใหญ่ที่พวกเธอสั่ง
แค่เห็นก็น้ำลายสอ หล่อนรีบหยิบผักลงไปในหม้อก่อนเพราะชอบกินผักแบบเปื่อยนุ่ม พอร่างสูงจะขัดก็โดนสายตากลมจ้องอย่างหาเรื่อง จึงต้องตามใจเธอรอกินอย่างเดียว เขาเองก็หิวเหมือนกันเพราะยังไม่ได้กินข้าวเย็น
“ข้าวผัดมาแล้ว” สั่งข้าวผัดมาด้วยจึงรีบเคลียร์โต๊ะแล้วตักอาหารมากินระหว่างรอจิ้มจุ่มสุก ไม่ลืมแบ่งให้คนตรงข้ามด้วย
หลังจากจิ้มจุ่มสุกก็กินใครกินมันไม่สนใจกัน ถึงจะไม่มีบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดสักนิด ที่จริงเธอก็ไม่ได้อึดอัดยามอยู่กับณัชหรอก แค่อยากจิกกัดเท่านั้นเอง เริ่มคิดว่าตนเองนิสัยเสียยามอยู่กับพี่ข้างบ้าน
เธอเป็นตัวเองมากเกินไป แทบไม่สงวนท่าทีหรือวาจาสักครั้ง แสดงออกไม่สนว่าเขาจะมองตนเช่นไร เรียกว่าความสบายใจก็ไม่ผิดนัก
แล้วเพิ่งรู้ไม่นานว่ากำลังตกหลุมรักเขา จะมาเปลี่ยนนิสัยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ตัดสินใจลุยจีบในแบบของตัวเองเนี่ยแหละ
“อะไร” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อหล่อนวางชิ้นเนื้อที่สุกลงบนจานของตน
“หัวใจไง ให้พี่ณัช” บอกเป็นนัยน์ว่าได้มอบหัวใจของตนให้เขา พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานแต่เหมือนเขาจะไม่เข้าใจ ถึงได้คีบหัวใจที่หล่อนให้ออกไปไว้ขอบจาน เล่นเอาร่างบางถึงกับหน้าบึ้ง
“กินเดี๋ยวนี้ อุตส่าห์คีบให้” สั่งเสียงเข้ม แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าไม่ยอมทำตาม
“ไม่เอา ไม่ชอบ” บอกตามตรง จนเธอมองเขาตาขวาง จ้องอยู่อย่างนั้นจนณัชรู้สึกอึดอัด สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วคีบเนื้อชิ้นนั้นเข้าปาก ทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข ต่างจากพี่ชายที่แสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับ
หลังจากกินของคาวก็สั่งของหวาน สองหนุ่มสาวอิ่มจนแทบลุกไม่ไหว เธอหันมาโทษเขาที่พากินตอนดึก ถ้าน้ำหนักขึ้นจะทำอย่างไร ต่อปากต่อคำกันไปตลอดทางจนถึงบ้าน
“ขอบคุณนะคะ” ยกมือไหว้แล้วลงจากรถ
“เฮ้อ อยากได้เป็นแฟนอ่ะ ทำไงดี” ยืนอยู่หน้าบ้านตนเองแล้วมองพาหนะของเขาที่เข้าบ้านหลังข้างๆ พึมพำเสียงเบากับตนเอง
ไม่ปิดบังและไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง แต่เสียอย่างเดียวที่ไม่กล้าบอก...
รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กและแสดงออกว่าเกลียดเขาอย่างชัดเจน อยู่ดีๆ จะให้เดินเข้าไปบอกหรือไงว่าพิ้งชอบพี่ณัชนะ เขาคงได้หัวเราะแน่
สาวนิสิตคณะเภสัชถอนหายใจแล้วเดินเข้าบ้าน สักวันเธอจะต้องบอกรักเขาให้ได้ ไม่ยอมหลงรักข้างเดียวอยู่แบบนี้หรอก
“พี่ณัชตื่นได้แล้ว!” ตะโกนใส่ข้างหูจนชายหนุ่มสะดุ้งลุกจากเตียง ก่อนจะลืมตาพบว่าน้องข้างบ้านมาอยู่ในห้องนอนของตนเอง เขาถึงกับเบิกตากว้างไม่เคยเห็นเธอบุกมาถึงรังของตนเช่นนี้
มันเกิดอะไรขึ้น เราสนิทกันขนาดนี้แล้วเหรอ
“เข้ามาได้ยังไง” ถามเสียงแหบ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ตีสาม ต้องทำสรุปเกี่ยวกับบริษัทตัวอย่างที่อาจารย์ให้ศึกษา แล้วหาบริษัทที่อยากฝึกงานอีก ช่วงนี้งานเยอะเพราะกำลังหาที่เรียนปริญญาโทด้วย เขาอยากเรียนควบคู่ไปกับการทำงาน
ไม่ต้องเป็นมหาวิทยาลัยดังก็ได้ ขอแค่ได้วุฒิการศึกษาเพื่อนำไปเป็นใบเบิกทางในการทำงาน แต่ถ้าได้สถานศึกษาโด่งดังก็ดี อย่างน้อยก็มีคอนเนคชั่นของรุ่นพี่เพื่อความก้าวหน้าในการงาน
“จะให้สอนชีวะ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ลูบหน้าตนเองแล้วล้มตัวลงนอนทันที
“ไม่ล่ะ จะนอน” วันหยุดทั้งทีทำไมต้องมาเจอเด็กกวนด้วย ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วห่มผ้าคลุมกาย หล่อนเห็นอย่างนั้นก็รีบจับแขนเขาแล้วรั้งให้ลุกขึ้นนั่ง แต่แรงเท่ามดก็ไม่ช่วยอะไรเลย
“พี่ณัช ลุกมาช่วยกันก่อนสิ” พยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายพรรณิดาจึงเลือกจะลงไปรอข้างล่าง เขาคงไม่นอนทั้งวันหรอก
แต่ถึงจะนอนทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหา เพราะวันนี้หล่อนว่าง รอเขาได้ตลอดนั่นแหละ
เสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้าน ทำเอาคนที่เพิ่งลงมาข้างล่างในเวลาเกือบเที่ยงต้องหยุดชะงัก เสียงหนึ่งคือมารดาของตน ส่วนอีกเสียงเป็นน้องข้างบ้านที่ชอบทำตัวเป็นลูกสาวคนเล็กเหลือเกิน ว่างเป็นต้องมาบ้านเขา ทั้งกินขนม ทั้งกินอาหารด้วย
ถ้าคิดเงินค่าอาหารคงได้เป็นล้าน
“เสียงดังหนวกหูชะมัด” เดินเข้ามาในครัวแล้วพูดใส่แขก ทำเอา นรียารีบดุลูกชาย
“ณัช พูดแบบนั้นได้ยังไง ไม่น่ารักเลยนะ” ร่างบางได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าเป็นใส่ณัช ไม่ว่าอย่างไรน้าหวานก็เข้าข้างเธอ จนดูเหมือนว่าหล่อนเป็นลูกสาวของท่านแทนชายหนุ่มเสียแล้ว
“แม่ ผมโตเกินกว่าจะใช้คำว่าน่ารักแล้วนะ” บอกหน้าบึ้ง ท่านชอบใช้คำนี้ตั้งแต่เขาเล็กจนโตเป็นหนุ่ม จะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว
“โตแค่ไหนก็เด็กในสายตาแม่นั่นแหละ เพิ่งตื่นใช่ไหมเรา แม่กับน้องทำข้าวเที่ยงไว้แล้ว มากินด้วยกันสิ” จะบอกปฏิเสธเพราะหมั่นไส้พรรณิดา แต่ท้องก็ทรยศมันร้องเสียงดังจนเขาอับอาย เล่นเอาสาวเภสัชหัวเราะเสียงใส
“ตื่นสายจนหิวเลยเหรอพี่ณัช” ล้อเลียนจนร่างสูงต้องสั่งเสียงเข้ม
“ไม่ต้องพูดเลย” เดินไปนั่งประจำที่ของตัวเอง โดยมีหญิงสาวคดข้าวมาให้เรียบร้อย เขามองเม็ดข้าวเรียงตัวกันพูนจานก็ต้องเงยมอง ร่างบางที่นั่งตรงกันข้าม
“นี่กะให้ฉันกินอิ่มถึงพรุ่งนี้เลยเหรอ” พรรณิดาแสร้งทำตาโต
“ถึงพรุ่งนี้เองเหรอ ที่พิ้งตักให้นี่คิดว่าพี่จะอิ่มถึงเดือนหน้าซะอีก” ไม่เคยชนะหล่อนเลยสักครั้ง วาจาประชดประชันล่ะก็หญิงสาวเก่งเป็นที่หนึ่ง
คุณนรียามองลูกชายกับหลานสาวต่อล้อต่อเถียงกันก็ส่ายศีรษะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต เคยนึกอยากได้พรรณิดาเป็นลูกสะใภ้ แต่ดูจากการกระทำของลูกชาย คงไม่ได้มีใจให้น้องข้างบ้าน เห็นเจอหน้ากันทีไรปะทะฝีปากจนปวดหัว
“ก็ทำได้นิ มาให้สอนทำไม” หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็พากันมานั่งอยู่สวนหลังบ้านที่มีร่มเงาของไม้ต้นใหญ่บดบังแสงแดด ลมพัดเย็นเอื่อยทำให้ไม่ร้อนจนเกินไป แถมได้กลิ่นดอกมะลิที่น้าหวานปลูกไว้อีก ดีกว่านั่งอยู่ในบ้านเป็นไหนๆ
เขาตรวจข้อสอบเคมีที่ให้หญิงสาวลองทำ พร้อมทั้งถามพื้นฐานของวิชานี้หล่อนก็ตอบได้ จึงสงสัยว่าจะให้สอนทำไม มีเหตุผลอะไรแอบแฝงหรือเปล่า