บทที่๑...พี่ชายข้างบ้าน (๒)
“ทะเลาะกับพี่ณัชมาอีกแล้วสิเรา” นิสิตเภสัชศาสตร์คนเก่งถอนหายใจ วางกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเดินไปล้างมือเพื่อมากินข้าวเย็นกับแม่ หิวไส้จะขาดเพราะตอนเข้าเชียร์เธอไม่กินข้าวกล่องที่รุ่นพี่นำมาให้ อยากกลับมากินข้าวที่บ้านมากกว่า
ช่วงนี้ยุ่งกับเรื่องกิจกรรมเพราะเป็นน้องใหม่ของสถานศึกษา ไหนจะเรื่องเรียนที่ต้องปรับตัวอีก แต่ปีหนึ่งยังไม่ค่อยมีอะไรมาก ส่วนใหญ่เรียนวิชารวม มีของคณะไม่กี่ตัวและเป็นพื้นฐานไม่ค่อยยาก แต่รุ่นพี่บอกว่าปีสามจะเริ่มหนักให้เตรียมตัวไว้
แต่คนเราจะเตรียมตัวเพื่อขึ้นปีสามเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ เพิ่งได้สัมผัสกับชีวิตเฟรชชี่เอง
“พี่ณัชปากเสีย” บ่นกับมารดาแล้วคดข้าวใส่จาน นั่งลงตรงข้ามท่านก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารด้วยความหิว
“พี่เขาแค่พูดตรง” แก้ต่างจนลูกสาวต้องส่ายหน้า แม่เธอเอ็นดู ลูกชายของน้าหวานเหลือเกิน ทำอะไรก็ดูดีไปหมดในสายตาท่าน อยากตัดแว่นตาความจริงให้ใส่ จะได้มองเห็นความร้ายกาจในตัวผู้ชายคนนั้นเหมือนที่หล่อนเจอ
“พูดไม่เข้าหูสิไม่ว่า” ตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวแรงพลางนึกว่ากำลังเคี้ยวณัช แค่นี้อารมณ์ที่ร้อนก็เย็นลงมาหน่อยนึง
หลังจากวันนั้นดูเหมือนจิรศักดิ์จะกลายเป็นสารถีไปส่งสามสาวหลังเลิกกิจกรรมรับน้อง เกรงใจแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ เห็นรุ่นพี่เต็มใจขนาดนี้ แถมวันนี้ดูเหมือนฝนจะตกอีกด้วย รถยนต์เข้ามาในซอยบ้านของพรรณิดาก่อนมันจะหยุดเมื่อถึงกลางซอย
หล่อนหันมองชายหนุ่มทันที เขาพยายามสตาร์ทแต่มันก็ไม่ติด เธอมองนาฬิกาเห็นว่าสี่ทุ่มแล้วกลัวมารดาจะรอจึงขอลงจากรถ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่โจ้ เดี๋ยวพิ้งเดินกลับเองก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง” สะพายกระเป๋าเตรียมลงจากรถ แต่ข้อมือเล็กก็ถูกคว้าไว้ก่อน เธอพยายามบิดมือออกแต่เขาก็กำไว้แน่น
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ยืนยันเสียงหนักแน่น
“ไม่เป็นไรค่ะ” เห็นเค้าลางไม่ดี เธอแอบใช้มืออีกข้างล้วงไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์ปลดล็อคแล้วกดโทรออกเบอร์ล่าสุด จำไม่ได้ว่าเป็นใครแต่ไม่ใช่มารดา พยายามดึงความใจไม่ให้จิรศักดิ์สังเกตว่าตนกำลังทำอะไร
“พี่ชอบพิ้ง ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น” ไม่ผิดจากที่คิดไว้ เธอรู้ว่าเขาชอบตนเอง แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้เพราะอีกฝ่ายเข้ามาในลักษณะของรุ่นพี่ ไม่ได้มีท่าทีรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป
จนกระทั่งวันนี้ที่ดูเหมือนเขาอยากข้ามเส้นพี่น้อง แต่เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน พรรณิดาตัดสินใจปฏิเสธอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่ฝนตกกระหน่ำราวเป็นใจให้บรรยากาศน่าอึดอัดมากกว่าเดิม
“พิ้งไม่ได้ชอบพี่ ขอโทษด้วยนะคะ” พยายามดึงมือตัวเองออก แต่เขายังจับไว้แน่น ดวงตาคมฉายแววเจ็บปวดก่อนจะแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
มันน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก
“ทำไมพิ้งไม่ชอบพี่ล่ะ พี่หล่อ พี่รวย พี่เรียนดี มันครบแล้วไม่ใช่เหรอ” นี่เขาคิดว่าเหตุผลแค่นี้จะทำให้ผู้หญิงชอบได้หรือไง หัวเสียจนเกือบผรุสวาทออกไป ทว่ายั้งปากเอาไว้ทัน
“ไม่ชอบคือไม่ชอบค่ะ ปล่อยพิ้งได้แล้ว” หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตนเองสักครั้ง เธอไม่น่าไว้ใจเขาเลย อีกฝ่ายมาส่งเกือบสัปดาห์ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขานิสัยดีพูดจาสุภาพ
ใครจะรู้ว่าแท้จริงเป็นคนเช่นนี้
“พิ้งต้องชอบพี่ ถ้าไม่ชอบ พี่จะทำให้ชอบเอง” เขาคว้าใบหน้าหวานมาจูบอย่างรวดเร็ว แต่เธอหลบได้ทันปากจึงโดนแก้มแทน มือเล็กทุบตามตัวเขาแต่มันไม่กระเทือนสักนิด จนหล่อนเผลอหยิบตุ๊กตากระเบื้องของเขาที่วางไว้หน้ารถมาถือไว้
ทุบลงไปยังศีรษะจนจิรศักดิ์ร้องเสียงหลง ปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระก่อนที่พรรณิดาจะรีบวิ่งลงจากรถอย่างไม่คิดชีวิต ฝนเทกระหน่ำลงมาจนร่างกายเปียกปอน ชุดนักศึกษาแนบลำตัวดีที่มีเสื้อทับข้างใน ก้าวเท้าอย่างเร็วไม่แม้แต่จะหันไปมองข้างหลัง
เสียงฟ้าผ่าจนสะดุ้งต้องหยุดฝีเท้า ได้ยินเหมือนเสียงคนวิ่งไล่ตามหลังก็รีบวิ่งต่อจนกระทั่งถูกฉุดไปข้างทาง ร่างบางกรีดร้องเสียงดังอย่างไม่คิดชีวิต
“กรี๊ด ช่วยด้วย” น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย แต่มันกลมกลืนไปกับน้ำฝนที่ตกกระทบใบหน้าและลำตัว
“ฉันเอง ฉันเองพิ้ง ตั้งสติก่อน” เสียงทุ้มที่ได้ยินทำให้เงยหน้าไปมอง พอเห็นว่าคนที่จับเธอไว้เป็นณัชก็ปล่อยร้องโฮพลางกอดเขาแน่น ชายหนุ่มกอดตอบแล้วลูบแผ่นหลังบางท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พาเธอขึ้นรถของตนเอง ส่งเสื้อคลุมเพื่อให้หล่อนได้ห่มกาย ก่อนจะเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อกลับบ้าน แต่มือเล็กกลับจับแขนชายหนุ่มเอาไว้ แล้วจ้องมองด้วยแววตาสั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเจอหล่อนในเวลาที่น่าสงสารเช่นนี้มาก่อน
“ไม่กลับบ้านได้ไหม พิ้งไม่อยากให้แม่รู้” ถึงจะเข้มแข็งมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่อยากให้มารดาเห็นสภาพของตนเอง
ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง เพราะลำพังแค่งานก็หนักมากแล้ว คุณอัญชันขึ้นเป็นหัวหน้ามีลูกน้องให้ดูแลหลายสิบชีวิต เครียดจากงานแล้วยังต้องมาเครียดเรื่องลูกอีก เธอไม่อยากให้มารดาเป็นกังวล
“แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าสักวันป้าอัญต้องรู้” ถามย้ำระหว่างจอดรถข้างทาง
“มันต้องไม่ใช่วันนี้” ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเธอได้ ตัดสินใจขับรถผ่าสายฝนเพื่อไปพักโรงแรมแถวนี้
หญิงสาวสูดลมหายใจแล้วโทรหามารดา บอกว่าจะนอนหอเพื่อนไม่กลับบ้าน ท่านพูดสองสามประโยคแล้ววางสาย หลังจากนั้นพรรณิดาก็ร้องไห้โฮตลอดเส้นทางก่อนจะถึงโรงแรมที่ใกล้บ้าน ร่างสูงจอดรถแล้วพาเธอเข้าไปข้างใน
จัดการจองสองห้อง แต่ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเข้าพักเต็มเหลือเพียงห้องเดียวจึงต้องตกลงตามนั้น หล่อนล้าเกินกว่าจะพาไปพักที่อื่น เข้าไป ในลิฟต์แล้วมายังห้องพักของตน ตอนนี้เหมือนว่าร่างบางไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ยอมทำตามที่ณัชบอกทุกอย่าง
“นี่ชุดฉันที่ติดรถ เธอเอาไปเปลี่ยนก่อนแล้วกัน ส่วนชุดเธอเดี๋ยวฉันให้คนเอาไปซัก” ยื่นเสื้อยืดแขนยาวและกางเกงวอร์มให้หล่อน มือเล็กเอื้อมมารับแล้วเข้าไปอาบน้ำ
ได้ยินเสียงร้องไห้ไม่ขาดสายทั้งที่ระหว่างทางก็ร้องไปเยอะแล้ว สงสารและโกรธผู้ชายคนนั้นจนอยากกระทืบให้จมดิน คงต้องคุยอย่างจริงจังว่าให้แจ้งความ ไม่ควรปล่อยคนแบบนี้ให้ลอยนวลได้อีก
รอไม่นานร่างบางก็ออกมาในชุดของเขา มันใหญ่จนเหมือนว่าคนตัวเล็กขโมยเสื้อพ่อมาใส่ เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่โดนดวงตากลมโตถลึงใส่จึงต้องหยุด ลุกเดินไปหาเธอก่อนจะพับแขนเสื้อที่กินมือน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“อย่างกับเสื้อพ่อ” เธอพึมพำเสียงเบา แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อย ไม่ชินกับการอยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสอง ตอนที่เขาเช็คอินเธอก็มัวแต่อยู่ในภวังค์ เดินตามร่างสูงจนเพิ่งรู้ตัวในห้องน้ำว่าต้องนอนด้วยกัน จึงพยายามพูดจาทำลายบรรยากาศกระอักกระอวน
“รออยู่นี่ เดี๋ยวเอาลงไปให้เขาซัก พรุ่งนี้จะได้มีชุดใส่ไปเรียน” คว้าชุดนักศึกษามาใส่ถุง แล้วลงไปข้างล่างปล่อยให้พรรณิดานั่งที่ปลายเตียง
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ดีที่มันไม่เปียกหล่อนจึงเปิดดูข้อมูลการโทรออก เพิ่งเห็นว่าตอนเกิดเรื่องกดโทรหาณัช ไม่น่าล่ะทำไมเขาถึงได้มาช่วยเธอ
“แล้วทำไมเบอร์พี่ณัชถึงคุยล่าสุด” พึมพำกับตนเอง ก่อนจะย้อนนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมชีทเรียนที่บ้าน มารดาจึงวานเขาเอามาให้ที่คณะ ช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน
แขนเรียวยกขึ้นมากอดตนเอง หล่อนนึกถึงดวงตาคมยามที่จ้องผ่านสายฝน ความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจมันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพียงแค่ณัชโอบกอด หล่อนรู้สึกปลอดภัยยามกับเขา ถึงจะทะเลาะกันแทบทุกครั้งที่เจอหน้า
แต่ลึกในใจพรรณิดารู้ดีว่ามันไม่ใช่ความเกลียด เพราะเธอทำแบบนั้นเพื่อปิดกั้นหัวใจตนเองต่างหาก ไม่อยากยอมรับสักนิดว่ากำลังหลงรักพี่ชายข้างบ้าน
เสียงประตูเปิดออกก่อนจะปิดลงอย่างแผ่วเบา เขาเดินเข้ามาในครรลองสายตา คนที่เป็นดั่งพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยในเวลาคับขัน
“พรุ่งนี้เขาจะเอามาส่งที่หน้าห้อง เธอนอนบนเตียงแล้วกันเดี๋ยวฉันนอนที่โซฟา” จัดการเสร็จสรรพแล้วเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย เขาเองก็ตากฝนเหมือนกันจึงต้องสระผมแล้วออกมาด้วยชุดที่คล้ายหล่อน แต่เป็นเสื้อแขนสั้น
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เห็นหญิงสาวยังนั่งเหม่อจึงถามขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบไดร์แล้วเสียบปลั๊กที่หัวเตียง ค่อยจัดการผมยาวสลวยที่ยังมีน้ำเกาะเต็มไปหมด หล่อนสะดุ้งเมื่อเขาจับต้องร่างกายตัวเอง
“มานั่งนี่ สายมันไม่ถึง” ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเพียงแค่คิดว่าเขากำลังจะเป่าผมให้ตนเอง ถึงมันเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
ไม่สิ มันใหญ่มากต่างหาก มีที่ไหนคนไม่ชอบหน้าจะมานั่งปรนนิบัติกัน ณัชประสาทกลับหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะแค่สงสารและอยากสงเคราะห์คนโชคร้ายก็ได้
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพิ้งทำเอง” ปฏิเสธพลางจะแย่งที่เป่าผม แต่เขาก็หลบทัน
“เดี๋ยวก็เหม่ออีก ฉันทำให้นี่แหละ” จำต้องยอมเพราะเถียงไปก็ไม่ชนะ ร่างสูงจัดการไดร์ผมที่เปียกให้อย่างอ่อนโยน ใครจะคิดว่ามือใหญ่ขนาดนั้นแต่เวลาจับผมนุ่มกลับเบาจนแทบไม่รู้สึก จากอาการเกร็งก็เริ่มผ่อนคลาย
หล่อนเม้มปากแน่นพยายามบังคับหัวใจไม่ให้เต้นกับความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้แก่กัน เรื่องของจิรศักดิ์เริ่มจางหาย ถูกแทนที่ด้วยอาการตกหลุมรักที่เธอไม่อยากยอมรับ
“ขอบคุณนะ” บอกเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ณัชกลับได้ยินเต็มสองหู
“เปลี่ยนจากขอบคุณกลับมาเป็นพิ้งคนเดิมเร็วๆ ก็พอ” หญิงสาวหัวเราะออกมาเล็กน้อย เหลือบมองเขาที่กำลังอมยิ้ม
วินาทีนั้นเองที่หล่อนรู้สึกจุกเหมือนตกหลุมขนาดใหญ่
เธอตกหลุมรักที่ณัชเป็นคนขุดโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว...