บทที่๑...พี่ชายข้างบ้าน (๑)
มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อเสียงเพิ่งเปิดการเรียนการสอนได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ นิสิตที่แต่งกายตามระเบียบทำให้มองออกตั้งแต่ครั้งแรกว่าเพิ่งเข้ามาเรียนชั้นปีที่หนึ่ง บรรยากาศของสถานศึกษาเต็มไปด้วยความสดใส
ยามเย็นมีเสียงเพลงเชียร์ดังก้องใต้ตึกคณะ การรับน้องเริ่มต้นขึ้นโดยมีอาจารย์มาคุมเข้มเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี ระบบรับน้องแบบโซตัส (Sotus) ถูกคัดค้านจากนิสิตและผู้ปกครอง พร้อมทั้งคณาจารย์บางท่าน หลายคณะจึงได้ยกเลิกระบบนี้และเปลี่ยนเป็นรับน้องแบบสร้างสรรค์แทน
จะยกเว้นก็แต่วิศวกรรมศาสตร์ที่รับน้องโหดเหมือนเดิม และไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งด้วย ราวแยกเป็นเอกเทศไม่สนใจคณะอื่น
“ฉันไม่อยากเป็น ไม่เอาด้วยหรอก” สามสาวนั่งอยู่ใต้ต้นหูกวางใกล้คณะของตนเอง ชุดนักศึกษาถูกระเบียบยังคงเป็นเช่นนั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น พวกเธอเลิกเรียนคาบสุดท้ายและกำลังนั่งรอเพื่อเข้ากิจกรรมรับน้อง
ระหว่างนั้นก็พูดคุยเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการทำกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากของคณะ มีรุ่นพี่ในคณะมาทาบทามสาวสวยในกลุ่มให้ไปเป็นคทากร ซึ่งถึงจะทาบทามแต่ใช่ว่าจะได้เป็น ต้องผ่านการคัดเลือกหลายขั้นตอน ปีที่แล้วมีผู้สมัครกว่าสามร้อยคน คัดจนเหลือเพียงเก้าคน
เรียกได้ว่างานหิน
“ลองก่อนสิ ใช่ว่าแกจะได้เป็นซะเมื่อไหร่ คนมีเป็นร้อย” สกุนตลา วิเศษเกศาบอกกับเพื่อนสนิทของตนเอง เธอมีรูปร่างผอมมาตั้งแต่เด็ก กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนสักทีไม่ว่าจะยัดอาหารไปเยอะเท่าไหร่ก็ตาม จนได้ฉายาไม้เสียบลูกชิ้น
“นั่นสิ ตำแหน่งนี้มีแต่คนอยากเป็น พี่เขาอุตส่าห์มาชวน พิ้งน่าจะลองหน่อยนะ” ชลิตา ดวงประเสริฐรีบเสริมทัพทันที หล่อนเป็นคนมีน้ำมีนวล แต่ส่วนมากคนชอบล้อว่าอวบระยะสุดท้าย ผิวกายขาวใสเพราะเป็นลูกหลานคนจีน ดวงตาเล็กจนแทบเป็นเส้นตรง
คนถูกคะยั้นคะยอได้แต่ถอนหายใจ เพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่นานก็ถูกชักชวนให้ทำกิจกรรมเสียแล้ว ถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหันซ้ายมองเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมอย่างสกุลตลา หันขวามองเพื่อนที่เพิ่งมาเจอกันในคณะอย่างชลิตา
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง คงต้องเก็บเอาไปคิดให้ถี่ถ้วน อย่างไรก็มีเวลาอีกเป็นเดือนกว่าจะเปิดรับสมัครคทากร ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ดีเสียอีกได้เจออะไรใหม่ๆ แถมได้คะแนนหน่วยกิตอีกต่างหาก บางทีอาจเป็นใบเบิกทางให้หล่อนทำงานในวงการก็ได้
แต่ว่าเรียนเภสัชต้องทำงานในวงการบันเทิงด้วยเหรอ...
“ลองดูสิลูก พี่เขาชวนขนาดนี้ต้องเห็นอะไรดีๆ ในตัวเราแน่” สองแม่ลูกช่วยกันจัดโต๊ะอาหารในเช้าวันถัดมา
จากเด็กหญิงที่มัวแต่หลบหลังแม่ บัดนี้พรรณิดาเติบใหญ่จนกลายเป็นสาวสวยที่ชายหลายคนหมายปอง ผนังบ้านเต็มไปด้วยรูปของหล่อนที่ทำกิจกรรมในโรงเรียน ทั้งดัมเมเยอร์ ถือป้ายวันงานสำคัญของสถานศึกษา แข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าเธอเป็นเด็กกิจกรรมอย่างเต็มตัว โดยได้รับการสนับสนุนจากมารดา
“หนูจะทำได้เหรอ ปีก่อนคนสมัครสามร้อย รับแค่เก้าคนเองแม่” คิดแล้วก็ต้องส่ายศีรษะ แต่ละรอบคัดเลือกโหดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะเตรียมสำหรับงานฟุตบอลประเพณีหรือไปรบกันแน่
“มีอะไรที่ลูกแม่ทำไม่ได้ด้วยเหรอ เราน่ะเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก ลุยเลย!” ถูกมารดาปลุกใจขนาดนี้หล่อนก็เริ่มฮึด
จากที่ไม่คิดจะลงสมัครก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ลองสักตั้งก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าได้เข้าไปเป็นหนึ่งในเก้าอย่างน้อยแม่จะได้ไปอวดเพื่อนว่าลูกเป็นคทากร
หลังจัดโต๊ะเสร็จก็เริ่มรับประทานอาหารเช้า ทว่าเสียงเปิดประตูบ้านทำให้ต้องเหลียวหลังไปมอง เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดนิสิตเดินเข้ามาขณะที่ในมือถือถ้วยชามโต ใบหน้าคมราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกจนคนเห็นนึกหมั่นไส้
ไม่แน่ใจว่าเป็นคนหรือหินเดินได้กันแน่ ไร้ความรู้สึกเหลือเกิน โดนน้ำร้อนลวกก็คงไม่ร้อง โดนไฟไหม้ก็คงแค่สะดุ้งเท่านั้นแหละ
“ณัช มากินข้าวเช้าด้วยกันสิ” คุณอัญชันเรียกลูกชายของรุ่นน้องมาร่วมโต๊ะ ทว่าเขากลับส่ายหน้าปฏิเสธแล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะอาหารของสองแม่ลูก
“ผมเรียบร้อยแล้วครับ พอดีแม่ทำบัวลอยลูกชิดเลยแบ่งมาให้ป้าอัญครับ” น้ำเสียงราบเรียบแถมยังสุภาพ หน้าตาก็หล่อเหลาจนหล่อนอยากได้มาเป็นลูกเขย
จะติดก็แต่ลูกสาวของตนนี่แหละ ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไรชายหนุ่มนักหนา ชอบทำหน้าตาล้อเลียนจนติดเป็นนิสัย ดุไปหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เข้าหูของพรรณิดาเลย
“ฝากขอบใจแม่ด้วยนะ เราจะไปมหา’ลัยแล้วเหรอ” แต่งชุดเสียเต็มยศ เธอมองแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่คิดว่าพี่ปีสี่ที่อีกไม่นานจะจบการศึกษาต้องผูกไทซะจนมองเผินๆ นึกว่าอยู่ปีหนึ่ง
“ครับ สวัสดีครับ” ถามคำตอบคำไม่ได้ต่อความยาวเหมือนยามที่พรรณิดาคุยกับน้าหวานหรือนรียาแม่ของฝ่ายชาย หากได้พูดกันเดาไว้ก่อนเลยว่าสามชั่วโมงก็ไม่จบ ไม่รู้สรรหาเรื่องอะไรมาพูดนักหนา จนหล่อนกลายเป็นลูกรักแทนที่ของณัช
“ถ้าอย่างนั้นป้าฝากยายพิ้งไปมหา’ลัยด้วยสิ วันนี้ป้าต้องไปอีกทางคงไปส่งน้องไม่ได้ รบกวนหน่อยนะ” คนที่กลายเป็นของฝากทำตาโต หันมองมารดาพลางส่ายศีรษะ
“แม่ ไม่ไปกับพี่ณัชหรอก อึดอัดแย่ หนูจะไปเอง” พูดออกมาโดยไม่รักษาหน้ามารดาสักนิด ใช่ว่าไม่เคยขึ้นรถของชายหนุ่ม แต่ขึ้นทีไรก็ต้องทะเลาะกันจนกลายเป็นความอึดอัด เธอจะทำอะไรเขาก็ขัด เปิดเพลงก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่ได้ หายใจยังโดนด่าเลยมั้ง
“นั่นสิครับ ผมก็อึดอัดเหมือนกัน” เธอเงยหน้าแล้วมองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจ เกลียดที่ณัชตอบกลับได้ตรงจนมันเสียดแทงหัวใจ
เห็นหน้าก็เกลียด แต่แปลกที่ยังชอบไปตอแยและก่อกวนเขาเสมอยามชายหนุ่มอ่านหนังสือ พอเห็นหน้าคมคิ้วขมวดเป็นโบว์เธอก็มีความสุข
“ดีจ้ะ อึดอัดทั้งสองคนงั้นป้าฝากน้องด้วยนะ รีบกินสิพี่เขาต้องรีบไปเรียนนะ” พรรณิดาถึงกับอ้าปากค้างไม่คิดว่ามารดาจะมาไม้นี้
สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องติดรถเขาไปมหาวิทยาลัย พวกเขาเรียนที่เดียวกันแต่ว่าหล่อนเรียนคณะเภสัชศาสตร์ ส่วนณัชเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีชั้นปีที่สี่แล้ว อีกไม่นานก็เรียนจบตามความคาดหวังของน้าหวาน
เห็นบอกว่ามีบริษัทต่างชาติมาจองตัวตั้งแต่ยังไม่จบ ได้ยินก็แอบหมั่นไส้ทว่าไม่แปลกใจเท่าไหร่ เห็นเธอทำกิจกรรมหรือไปแข่งขันวิชาการเยอะยังไม่เท่าณัช
ชายหนุ่มเรียนเก่งมากจนเพื่อนให้ฉายาว่าณัชขั้นเซียน เป็นปรมาจารย์ของทุกคน อยากรู้วิชาไหนเขาตอบได้หมด โรงเรียนส่งไปแข่งขันทางวิชาการทั้งคณิต อังกฤษ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ชายหนุ่มเหมาหมด ถ้วยรางวัลเต็มบ้านจนแทบไม่มีตู้เก็บ
แต่เขากลับไม่ทำกิจกรรมจำพวกกีฬาสีหรือถือป้ายเลย เก็บตัวอ่านหนังสือทุกครั้งยามมีงานกีฬาสี พบเจอตัวได้ง่ายคือห้องสมุด หนอนหนังสือตัวจริง
“บอกแล้วว่าไม่ให้เปิดเพลง” พอขึ้นรถเธอก็กดเปิดเพลงทันที แต่เขาก็ปิดอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน
“ก็มันเงียบ พิ้งไม่ชอบความเงียบ ถ้าพี่ไม่อยากฟังก็เอามืออุดหูไว้สิ” กดเปิดอีกครั้งจนเพลงสากลดังขึ้น
“นี่ยายสมองนิ่ม ถ้าฉันเอามืออุดหูจะเอามือไหนขับรถไม่ทราบ สอบเป็นเภสัชได้ไง ลอกคนข้างหน้าเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นก็ปรี๊ดแตก กว่าหล่อนจะสอบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เครียดอยู่หลายเดือนแล้วมาถูกเขาหยามอย่างนี้ยอมไม่ได้
“อย่ามาดูถูกพิ้งนะ พิ้งอ่านหนังสือเป็นปีกว่าจะสอบได้ ถ้าปากพูดอะไรดีๆ ไม่ได้ก็เงียบไปเลย” ว่าจบก็กอดอกแน่นพลางหันมองนอกหน้าต่าง คิดว่าอีกไม่นานเขาต้องง้อเธอ ทั้งที่รู้ดีว่าคนอย่างณัชไม่มีทางทำแบบนั้น
รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะทะเลาะกันมาตลอดแต่เธอก็รู้ใจเขาเป็นอย่างดี บางครั้งเคยทะเลาะกันนานเป็นเดือนไม่พูดจากัน แต่เพียงเขาเดินเอาขนมมาให้เธอก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม
แล้วชายหนุ่มยังบอกว่าไม่ได้ง้ออีก น้าหวานแค่วานเอาขนมมาให้เท่านั้น แต่หล่อนไม่เชื่อหรอก ผู้ชายปากแข็งชอบพูดอะไรไม่ตรงกับใจ
“เอ๊ะ พี่จะปิดเพลงทำไม” หันมาเหวใส่เมื่อเพลงของตนถูกปิดอีกครั้งหลังจากแย่งชิงเปิดได้
“ก็เห็นนั่งเชิดคอเป็นกิ้งก่ามองนอกหน้าต่าง นึกว่าไม่อยากฟังเพลง” คำเปรียบเทียบเล่นเอาเธออ้าปากพะงาบ อยากด่ากลับแต่คิดคำด่าไม่ออก
“ไอ้ ไอ้พี่ณัชบ้า ปากแบบนี้ไงถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที” ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะเหลียวมองคนข้างกาย
“อยู่กับฉันยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือไงถึงรู้ว่าไม่มีแฟน” เจอตอกกลับ แบบนี้ทำเอาพรรณิดาถึงกับเขว หล่อนไม่เคยเห็นเขาพาผู้หญิงคนไหนมาบ้าน หรือพูดถึงใครเป็นกิจจะลักษณะ ในเฟซบุ๊กก็ไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้ามา คอมเม้นเท่าไหร่
จึงคิดเองเออเองว่าณัชโสด...มันไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ
“งั้นขอให้แฟนพี่ทิ้ง ขอให้ร้องไห้เสียใจกับความรัก” ยังคงไม่หยุดต่อล้อต่อเถียง การได้แกล้งณัชถือเป็นความสุขอย่างสูงสุดของเธอ แต่เหมือนว่าจะโดนตอกกลับหน้าหงายร่ำไปจนน่าหงุดหงิด
“แช่งคนอื่นระวังเป็นเอง” สุดท้ายแล้วหล่อนก็ได้แต่นั่งกอดอกหน้าบึ้งไปจนถึงคณะของตนเอง ปิดประตูเสียงดังไม่กลัวว่ามันจะพังสักนิด ก่อนจะรีบเดินขึ้นอาคารเรียนได้ยินเสียงชายหนุ่มไล่ตามหลังมาก็อมยิ้มมีความสุข
เห็นเขาโมโหมันเหมือนเพิ่มพลังให้เธออย่างไรไม่รู้
“กลับบ้านกันยังไงเหรอ ให้พี่ไปส่งไหม” หลังเลิกกิจกรรมรับน้องตอนสามทุ่ม หล่อนก็ออกจากอาคารเรียนพร้อมเพื่อน
พรรณิดามักจะขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน ก่อนจะต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปในซอยบ้านของตนเอง มองนาฬิกาสงสัยคงต้องเร่งฝีเท้ากลัวจะไม่ทันขบวนรถไฟ
“เอ่อ ไม่เป็นค่ะ” ชลิตาบอกปฏิเสธ แต่เหมือนรุ่นพี่จะไม่ได้สนใจเธอเท่าไหร่ ดวงตาเอาแต่จ้องมองพรรณิดาไม่คลาดเคลื่อน
“ไปเถอะ นี่ก็ดึกแล้วกลับคนเดียวอันตราย” สามสาวมองหน้ากัน สกุนตลาพักที่หอในมหาวิทยาลัย ส่วนชลิตาพักอยู่ที่บ้านซึ่งไม่ไกลมากนัก ลงรถไฟใต้ดินไม่กี่สถานีก็ถึงแล้ว แต่ก็ต้องต่อรถเมล์หรือมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน วันไหนขยันก็เดินเท้า
“ให้ไอ้โจ้ไปส่งเถอะ พี่รับรองได้ว่ามันไม่กัด” พี่ปาล์มซึ่งเป็นพี่รหัสของพรรณิดาเข้ามาร่วมวง พลางตบบ่าเพื่อนในกลุ่มที่มาบอกให้ช่วยจีบน้องรหัสของเธอ ปฏิเสธไปแล้วแต่อีกฝ่ายตื้อไม่เลิกสักที เห็นเป็นเพื่อนเลยช่วยนิดหน่อย
“ค่ะ” หล่อนไม่อยากมีเรื่องกับรุ่นพี่จึงยอมตอบตกลง ทั้งสามนั่งบนรถเบนซ์สี่ประตูของจิรศักดิ์ ก่อนจะไปส่งสกุนตลาคนแรก แล้วชลิตาคนถัดมา ปิดท้ายด้วยพรรณิดาที่บ้านไกลกว่าเพื่อน
ระหว่างทางเขาก็ชวนคุยเพื่อคลายความอึดอัด หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนกระทั่งถึงบ้านจึงไหว้ขอบคุณแล้วรีบลงมาอย่างรวดเร็ว ที่จริงเขาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร เป็นคนคุยสนุกอัธยาศัยดีด้วยซ้ำ
มองรถยนต์แล่นออกจากหน้าบ้านของตนเอง ว่าที่หมอยาจึงหมุนกายจะเข้าข้างใน แต่ได้ยินเสียงของพี่ชายนักบริหารเสียก่อน
“ไปเรียนไม่กี่วันมีผู้ชายมาส่งถึงบ้าน เรียนมหา’ลัยมันดีอย่างนี้เอง” ร่างสูงเดินออกมาจากบ้านของเธอ ทำเอาหญิงสาวต้องถอนหายใจ อีหรอบนี้คงไม่พ้นเอาอาหารมาส่ง ไปทำงานเป็นพนักงานส่งของท่าจะรุ่ง
“ก็คนมันสวย ช่วยไม่ได้นะคะ” สะบัดผมแล้วเดินเลี่ยงเขาเพื่อนเข้าบ้าน แต่ก็ไม่วายโดนวาจาประชดประชันของชายหนุ่มตามจิกกัด
“จะตกลงปลงใจกับใครก็ดูให้ดีว่าเขามีเจ้าของหรือเปล่า ที่เตือนเพราะหวังดี กลัวซวยไปชอบแฟนชาวบ้าน” มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ปากเสียตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงวันนี้ เสมอต้นเสมอปลายไม่มีเปลี่ยนจริงๆ
“ขอบคุณที่เตือนนะคะ จะน้อมรับคำเตือนไปใช้ในชีวิตประจำวัน” ว่าจบก็เดินเข้าบ้านไม่ลืมปิดประตูแล้วลงกลอนอย่างแน่นหนา
หล่อนหันกลับไปมองร่างสูงที่เดินเข้าบ้านตัวเองก็ยิ่งโมโห ไม่รู้ว่ามีอาชีพเสริมเป็นการกวนประสาทเธอหรือไง เจอหน้าเป็นต้องหาเรื่องชวนทะเลาะตลอด
“ไอ้ผู้ชายปากเสีย ใครได้เป็นแฟนซวยไปทั้งชาติ” บ่นพึมพำแล้วเดินเข้าบ้านด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เล่นเอามารดาที่กำลังรับประทานอาหารถึงกับต้องถาม