บทนำ
รถยนต์แล่นเข้ามาภายในบ้านสองชั้นที่ด้านหน้ามีหญ้าขึ้นรกชัฏ วันก่อนรถบรรทุกคันใหญ่ขนของเข้ามาไว้ในบ้านคอยท่าเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย ประตูด้านข้างคนขับถูกเปิดออกก่อนที่หนูน้อยวัยเก้าขวบจะก้าวเท้าเหยียบพื้น มองรอบบ้านพลางกอดตุ๊กตากระต่ายแน่น
ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเพราะเคยอยู่แต่คอนโดสูงใจกลางเมือง พอมาอยู่เขตชานเมืองใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติก็เริ่มงอแง หันมองมารดาที่ก้าวฉับเข้าไปในบ้าน ไม่วายหันมามองลูกสาวตัวน้อยพลางเอ่ยเรียกจนต้องรีบเดินตาม
เพื่อนหลายคนบอกว่าพ่อกับแม่ของเธอเลิกกัน พอบอกแม่ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าแยกกันอยู่ พ่อจะมารับไปเล่นด้วยวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาก็อยู่กับมารดา
“แม่ บ้านใคร” กระตุกเสื้อมารดาแล้วถามด้วยเสียงหวาดหวั่น
“บ้านของเรา ต่อจากนี้แม่กับพิ้งจะอยู่ที่นี่กันสองคน” เด็กน้อยเริ่มเบ้ปาก กระชับกอดตุ๊กตาแน่นกว่าเดิม
“พ่อล่ะ” ถามเสียงสั่น
“พ่อก็อยู่บ้านพ่อ แล้ววันเสาร์พ่อจะมารับหนูไปเล่นด้วย” เด็กหญิงพรรณิดา วีรวิเศษน้ำตาคลอเมื่อได้ยินอย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงฉับพลันไม่ทันที่เธอจะทันตั้งตัว น้ำตาไหลจนต้องรีบเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าส่งเสียงสะอื้น
“ร้องไห้ทำไม แม่ก็อยู่ที่นี่ไง” ย่อกายลงมาโอบกอดลูกสาวด้วยความรัก จากที่คิดจะไม่ร้องตอนนี้กลับร้องไห้เสียงดังอย่างอัดอั้น
ทุกอย่างใหม่หมดสำหรับหนูน้อยวัยเก้าขวบ สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้จนพอใจแล้วเธอค่อยพาลูกไปนอนที่ห้องบนชั้นสอง ส่วนตนเองก็แยกมาเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนหน้านี้ได้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดไว้ให้แล้ว เหลือแต่สนามหญ้าหน้าบ้านที่หล่อนจะจัดการเอง
“แม่ไปไหน” แม่จับจูงมือบุตรสาวมายังบ้านหลังข้างเคียง อีกมือก็ถือถ้วยกับข้าวเอาไว้ส่งกลิ่นหอมจนท้องเริ่มประท้วง
“แม่จะพาไปหาน้าหวาน” เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านที่ใช้รั้วด้านข้างด้วยกัน แต่ตัวบ้านนั้นแตกต่าง ด้านล่างเป็นปูนชั้นสองเป็นไม้สักทอง มีสวนร่มรื่นด้านหน้า ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ด้านข้างเป็นต้นมะม่วงที่ยื่นไปยังบ้านของหล่อนด้วย
เดินผ่านประตูเข้ามาเป็นโซนห้องรับแขก มีคุณน้าคนสวยยิ้มหวานเข้ามาทักทาย เธอแหงนหน้ามองเพราะส่วนสูงที่ต่าง แต่ท่านก็ย่อกายลงเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“สวัสดีค่ะน้องพิ้ง จำน้าหวานได้ไหม” คิดสักพักแล้วส่ายศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรเพราะไม่คุ้นเคยกับท่าน หล่อนเป็นคนขี้อายจึงได้ขยับเข้าไปซ้อนข้างหลังมารดา ทำเอาคุณน้ายิ้มอย่างเอ็นดู แล้วค่อยลุกยืนเพื่อทักทายรุ่นพี่ที่รู้จัก
“เอาอะไรมาให้คะพี่อัญ” พวกเธอทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็นพี่รหัสน้องรหัสที่ยังไปมาหาสู่จนถึงทุกวันนี้ ช่วงเย็นเธอก็ไปช่วยพี่อัญชันจัดข้าวของ พูดคุยกันครู่หนึ่งแล้วค่อยกลับบ้านเพื่อทำอาหารให้ลูกชาย
“พี่ทำผัดเปรี้ยวหวาน ณัชน่าจะกินได้ใช่ไหม” ถามถึงลูกชายของรุ่นน้อง หล่อนพยักหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย
“กินได้ค่ะ พอดีเลยจะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน ป่ะน้องพิ้ง วันนี้กินข้าวเย็นกับน้านะ” สองแม่ลูกเดินตามเจ้าของบ้านไปยังห้องอาหาร เห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยของกินมากมายทำเอาหนูน้อยลอบกลืนน้ำลายด้วยความหิว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
คุณน้าจัดแจงเก้าอี้ให้ลูกสาวของรุ่นพี่ ส่วนตนก็ขึ้นไปเรียกลูกชายที่อยู่บนบ้านให้ลงมาข้างล่าง ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงจากบันไดก็หันไปมอง พบหนุ่มหล่อหน้านิ่งที่สบตากับเธอพอดี พรรณิดารีบหลบตาไม่กล้ามอง
ไม่รู้ทำไมพี่คนนั้นถึงมองเธอเหมือนต้องการจะดุ เราเพิ่งเจอกันเองนะ
“ณัช ไหว้ป้าอัญสิลูก” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทำความเคารพ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำของตนเอง นั่นคือตรงข้ามเด็กหญิงที่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงยมองอีกฝ่าย
“น้องพิ้ง นี่พี่ณัชนะคะ” น้าหวานบอกหลานสาว เธอจึงยกมือไหว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนการเจอกันครั้งแรกจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
คนน้องก็กลัว คนพี่ก็หน้านิ่งเหลือเกิน
การรับประทานอาหารวันนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย หลังกินเสร็จชายหนุ่มก็ขึ้นห้องไปอ่านหนังสือ ส่วนเด็กหญิงก็ดูการ์ตูนและกินขนมที่ น้าหวานทำ เริ่มผ่อนคลายจากอาการเกร็ง จนตอนนี้ติดคุณน้าแจเพราะท่านทำขนมอร่อย
จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือนที่เธอย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เด็กหญิงเริ่มเข้ากับเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนได้แล้ว แต่พอกลับมาบ้านก็ต้องเหงาเหมือนเดิม แม่ไม่ค่อยมีเวลาเพราะต้องทำงาน เธอจึงไปคลุกอยู่กับน้าหวาน
ท่านไม่ค่อยออกไปไหน แถมชอบทำขนมไว้รอเธออีกด้วย เล่นเอาตอนนี้หนูน้อยเริ่มมีพุงจนคุณแม่ต้องสั่งงดขนม
“พี่ณัชไม่กินเหรอคะ” พูดจาออดอ้อนจนคนอยากมีลูกสาวนึกเอ็นดู ลูกชายของเธอค่อนข้างตรงฉิน ไม่ค่อยเข้าหาแม่สักเท่าไหร่ วันๆ ก็อยู่แต่กับตำรา อ่านหนังสือจนแทบจะเรียนข้ามชั้นได้อยู่แล้ว เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 4.00 ความประพฤติดีเยี่ยม เสียแต่ว่าเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้
จะมีก็แต่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างต้นหนที่คบกันมานาน พอให้คลายใจว่าลูกชายยังมีเพื่อนคบ ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ต้องอยู่คนเดียว
“พี่เขาไม่ชอบกินขนมค่ะ น้าถักเปียให้ไหม” พยักหน้าทันที ถึงจะเลิกเรียนแล้วแต่หนูน้อยก็ยังอยากสวย จึงนั่งหันหลังแล้วให้น้าหวานถักเปีย มารดาของเธอชอบมัดรวบให้เพื่อประหยัดเวลา ท่านทำงานเป็น นักขายประกัน ทำยอดค่อนข้างดีจนขึ้นเป็นพนักงานดีเด่นของบริษัท
หลังกินขนมอิ่มเธอก็เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันวิ่งผ่านหน้าบ้าน เริ่มอยากไปเล่นกับพวกเขาจึงขอน้าหวาน พอท่านอนุญาตก็รีบวิ่งตามออกไป จนถึงลานสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน ทว่าเท้าเล็กหยุดชะงักยามเห็นพี่ชายหน้าดุโดนคนรุมล้อม
“ไอ้ลูกเมียน้อย แม่เป็นเมียน้อย” พรรณิดาขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับคำนั้น
“ลูกขยะ ไอ้ขยะสังคม ฮ่าๆๆ” หลายคนเข้าไปด่าทอ ใช้คำลดทอนคุณค่าความเป็นคนของเด็กชาย ซึ่งเขายังคงนิ่งเงียบ แกว่งชิงช้าเล่นไม่โต้ตอบ ดวงหน้าคมเรียบเฉยราวไม่รู้สึกรู้สากับคำกล่าวนั้น แต่พอมองลงมาที่มือมันกำแน่นจนเส้นเลือดปูด
“แม่มึงทำไมชอบแย่งผัวคนอื่นวะ หาเองไม่ได้เหรอ”
“ทำครอบครัวเขาแตกแยกสันดานเสียว่ะ” หลายประโยคที่กล่าวโทษแม่ของเด็กชายณัช ศักดิ์สินชัย ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ยอมนั่งฟังคำด่าอยู่อย่างนั้นจนพวกที่รุมล้อมเริ่มหนีหายเพราะด่าไปอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึก
เด็กหญิงสบตากับพี่ชายที่ลุกจากชิงช้า หล่อนเผลอก้าวถอยหลังเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ก่อนจะผ่านหล่อนไปราวคนไม่รู้จัก
พรรณิดากลับบ้านโดยเต็มไปด้วยความสงสัย พอเห็นมารดาอยู่ที่บ้านก็รีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยรอยยิ้ม รับประทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนจะดูละครช่วงเย็น ส่วนเธอก็ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย แต่เรื่องเมื่อเย็นก็ยังไม่จางหายไปสักที
“แม่ เมียน้อยคืออะไรเหรอ” หันมาถามเล่นเอาแม่อัญชันถึงกับทำหน้าดุ
“ไปได้ยินมาจากไหน” พยายามบังคับเสียงไม่ให้ดุจนลูกกลัว แต่มันก็ทำได้ยาก
“มีคนล้อพี่ณัช บอกว่าแม่เป็นเมียน้อย น้าหวานเป็นเมียน้อยเหรอ มันแปลว่าอะไร” ได้ยินลูกสาวพูดแบบนั้นก็อยากจะทำโทษเด็กพวกนั้นเหลือเกิน
“เดี๋ยวหนูโตขึ้นก็จะรู้เอง แต่ให้จำไว้ว่าเราไม่ควรไปพูดแบบนั้นกับน้าหวานหรือใครก็ตาม มันไม่น่ารักเลยเข้าใจไหม” หนูน้อยพยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน
สุดท้ายหล่อนก็ไม่รู้ว่าคำนั้นมันแปลว่าอะไร
จนเติบใหญ่จึงรู้ความหมายของคำว่าเมียน้อย...