บทที่ 6 ผีโพง
“ไปหาไอ้ถมมันหน่อย แกงอะไรล่ะวันนี้”
“ไม่รู้นังใจมัน ใช้ให้มาเก็บกะเพรา”
“แกงปลาจ้ะพี่ทิดภี เดี๋ยวจะให้พี่พันเอาไปส่งจ้ะ”
สายใจส่งเสียงลงมาจากบ้าน ได้ยินคำสนทนาของสามีกับโสภี
“ขอบใจ ข้าไปก่อนนะทิดพัน สายใจ เดี๋ยวไอ้ถมมันจะออกนาซะก่อน จะชวนมันไปช่วยขุดคันนาหน่อย เอ็งว่างไหมล่ะพัน ไปช่วยข้าสักวันได้หรือเปล่า”
“ว่างจ้ะ ไปสิ ห่อข้าวไปกินหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอก ข้าให้เมียข้าห่อเผื่อ เตรียมตัวไว้ ข้าไปบอกไอ้ถมแล้วจะกลับมากินข้าวค่อยไปกัน ขอบใจเน้อ”
“จ้า”
โสภีเดินผ่านไป คำพันจึงขึ้นเรือน วันนี้เขาว่าง ออกไปเปิดน้ำระบายออกจากนาแต่เช้าแล้ว หากไปช่วยโสภีขุดคันนาแวะไปปิดน้ำตอนสายๆ ก็เรียบร้อยแล้ว ข้าวหว่านไว้ขึ้นหมดแล้ว ฝนตกเมื่อคืน น้ำเจิ่งนองท่วมต้นกล้าต้องไปเปิดน้ำระบายออกลงไปนาเพื่อนบ้าน พวกเขาเปิดระบายจนถึงนาสุดท้ายซึ่งเป็นลำห้วยเล็กๆ เปิดน้ำลงไปในลำห้วย เมื่อเปิดน้ำหรือไขน้ำออกจากนาตนเองพอจึงปิดคันนา การเปิดน้ำออกจากคันนามีช่องเล็กๆ เปิดแล้วปิดด้วยการขุดดินข้างๆ คันนาปิดไว้เช่นเดิม
ถมเห็นโสภีเดินมาหน้าบ้าน เขาแทบจะวิ่งลงบันไดไปหา ความอัดอั้นในใจ ความกลัว ความสงสัย วกวนรบกวนเขาจนรุ่งสางจึงหลับ เขาอยากเล่า อยากบอกโสภี อย่างน้อยโสภีเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา โสภีรู้เรื่องนี้ เคยเล่าให้เขาฟังนานมาแล้วแต่เป็นหมู่บ้านอื่นที่มีแสงสีเขียวออกหากบเขียดกินหน้าฝน หน้าแล้ง ตามริมห้วย ริมบึง ริมหนอง แสงสีเขียวออกหากินเฉพาะคนเลี้ยงไม่เลี้ยงไม่ดูแล ปล่อยทิ้งแห้งเหี่ยวและจะย้อนกลับมาทำร้ายคนเลี้ยงด้วยวิธีของมัน
“พี่ทิด มาหาข้าเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ใช่หรือเปล่า”
“อือ ข้ารู้ว่าเอ็งกลัว เอ็งเห็นอะไรวะ เล่าให้ข้าฟังที เล่าให้หมด”
“คือ...ข้า...”
ถมเหลียวซ้ายขวากลัวใครจะมาได้ยินสิ่งที่เขาจะพูด เขาไม่อยากให้ใครรับรู้แม้แต่ภรรยาของเขา ความเข้าใจของเขาอาจผิดพลาดก็ได้ แสงที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เขากลัวก็ได้ คนรู้มากคนก็มากความ เขาเล่าให้โสภีฟังคนเดียวเพราะโสภีอยู่ในเหตุการณ์หวาดผวาของเขา
“กลัวใครจะรู้หรือไงวะ”
“ใช่พี่ ข้าไม่อยากให้ใครรู้ กลัวมันจะลามไปกันใหญ่ ข้าเห็นคนเดียว คนฟังตีความไปหลายเรื่องนะพี่”
“เออ จริงของเอ็ง งั้นมาทางนี้ เมียเอ็งมาอยู่ใกล้ มันได้ยินจะเป็นเรื่อง”
โสภีเดินนำถมไปทางหลังบ้าน ทำทีเป็นเด็ดยอดไม้เอามาดม เขาพอรู้เรื่องยาสมุนไพรบ้าง เรียนรู้มาจากคำพน
“เล่ามาเร็วๆ แล้วไปช่วยข้าขุดคันนาสักวัน เมื่อกี้ข้าบอกไอ้ทิดพันมันว่าจะมาหาเอ็งไปช่วย มันจะไปช่วยข้าด้วย”
“ได้จ้ะพี่”
ถมรับปากไปช่วยโสภีและรีบพูดถึงแสงสีเขียวที่เห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา
“มันเป็นแสงสีเขียว ตอนแรกข้าคิดว่าคนในหมู่บ้านเราก็กระแอม ถามออกไปว่าใคร แสงนั่นลอยเร็วมาก หายไปทางป่าหญ้ารกๆ มันอะไรล่ะพี่ทิดภีถ้าไม่ใช่...”
ถมหยุดคำไว้ โสภีเข้าใจคำนั้น แสงสีเขียวมีความหมายเดียว ‘ผีโพง’ ถมหมายถึงคำนี้และตีความว่าแสงสีเขียวที่เห็นเป็น ผีโพง
“อย่าเพิ่งคิดมากไอ้ถม มันอาจไม่ใช่ก็ได้ บ้านเราไม่มีหรอกเชื่อข้าเหอะ”
“ไม่มีแล้วที่ข้าเห็นล่ะพี่ทิด มันใช่แน่ๆ ตาข้าไม่ฝาดด้วยนะพี่”
“เออ ข้าเข้าใจเอ็ง ถ้ามีก็คงมาจากหมู่บ้านใต้ เขาลือกันว่ามี ตาโพล้งแกเลี้ยงไว้ ตอนหลังแกตาย ลูกหลานไม่สนใจก็เลยเล่นงานลูกหลานเข้าให้ ลูกแกเป็น มีคนเห็นแต่พักหลังเงียบไป ลูกแกก็หายไปจากหมู่บ้านนานเลยแต่ได้ข่าวว่ามันกลับมาแล้ว”
“หรืออย่างนั้น”
“นั่นสิ น่าจะอย่างนั้น อย่าเพิ่งคิดมากเลยวะ ไปกินข้าวกินปลา เตรียมไปนากับข้า ขอแรงช่วยสักวันเถอะว่ะ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาหรอกพี่ ขอให้บอกเถอะ พี่ทิดเก็บไอ้นี่ไปนะ นังหมอนมันจะได้ไม่สงสัยว่าเราคุยอะไรกัน”
“เออ ข้าทำอยู่แล้วแหละ มันรอถามอยู่หน้าบ้านนั่น”
โสภีเริ่มคิดมากแทนถม เขาบอกหนุ่มรุ่นน้องห้ามคิดมาก ห้ามคิดไปไกลแต่เขากำลังคิด กำลังทบทวนบางอย่างเกี่ยวกับแสงสีเขียว ลูกหลานตาโพล้งหมู่บ้านใต้ถูกทำร้ายจากผีโพง กลายเป็นผีโพงเสาะหาของดิบของคาวกินยามอดอยาก ความอดอยากไม่ใช่อาหารธรรมดาแต่เป็นของผีโพง
ในคำบอกเล่าจากปู่ย่าตาทวดสืบต่อกันมา ผีโพง เป็นว่านชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่มีคนนำมาปลูกเพื่อใช้ทำคุณไสยในทางเสน่ห์ยาแฝด หากใครได้ไปใช้แตะหญิงที่ตนหลงรัก หญิงนั้นจะหลงใหลรับรักตนทันทีส่วนหญิงสาวหากนำยาเสน่ห์ไปดีดใส่ชายที่ชอบใจ ชายนั้นจะหลงรักเช่นเดียวกัน
นอกจากว่านโพงใช้เป็นส่วนผสมทำยาเสน่ห์แล้วยังเชื่อกันว่าเป็นสิ่งหนึ่งทำให้หนังเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก อยู่ยงคงกะพัน ความเชื่อเหล่านี้เป็นสาเหตุให้มีคนนำว่านมาปลูกเพื่อต้องการสิ่งเหล่านี้