บทที่ 4 แสงสีเขียว
“ยาอยู่บนโต๊ะข้างสำรับข้าวนะพี่”
หล่อนเข้ามุ้ง ไม่ห่วงสามีเพราะเขากำลังกินยาที่หล่อนต้มให้ สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร สามารถช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้เป็นอย่างดี หล่อนไม่ห่วงเรื่องเจ็บป่วยของสามี ล้มตัวลงนอน ครู่เดียวก็หลับไป
ฝนพรำครู่เดียวก็หยุด บรรยากาศในท้องทุ่งนาสดชื่น ลมพัดโชยอ่อนๆ เขียดท้องนา ส่งเสียงร้องระงม ชาวบ้านที่หวังจะได้เขียดตัวน้อยไปทำเค็ม เดินท่อมๆ ตามคันนา คนละมุมหัวคันนา คนละมุมในท้องทุ่งกว้างกว่า 100 ไร่ กว้างพอจะหาเขียดเต็มข้อง บางคนหาได้ครึ่งข้องก็กลับเข้านอน
คืนนี้เช่นคืนฝนตกหนักหลายคืนก่อน ชาวบ้านออกส่องเขียด ส่องกบหลายคน แสงคบไฟจากไต้ ส่องสว่างเป็นจุดๆ บางคนตะโกนถามกันแล้วเงียบหายไปเพราะต่างคนต่างเจอสัตว์ตัวเล็กที่ต้องการ
โสภีเดินห่างกลุ่มเพื่อนบ้านไปทางท้ายนาซึ่งไกลจากหมู่บ้านกว่ากิโลเมตร ถมเดินตามหลังส่งเสียงหาเขาเป็นระยะ
“ทิดภี ได้ไหม”
“พอได้ เอ็งล่ะ”
“ไม่กี่ตัว มันโดดเร็ว ไม่รู้วันนี้มันหนีอะไร โดดหาย โดดหาย”
ถมตอบโสภีแต่ตามองตามพื้นหญ้าบนคันนาและข้างคันนาซึ่งเขียดมักจะแอบอยู่ตามกอหญ้า การสนทนาหยุดลงเพราะถมเห็นตัวเขียดอยู่บนยอดหญ้า เขาเล็งที่ตาเขียดและยกมือตะปบลงตัวเขียดแต่พลาดเพราะมันกระโดดสวนขึ้นมาตรงหน้าเขา เขาเบนหน้าหนีและนาทีนั้น สายตาของเขามองไปเห็นดวงไฟสีเขียวเรืองแสงอยู่ทางขวามือ ห่างจากที่เขายืนอยู่ไม่ถึง 20 วา
สายใจหลับราวกับคนถูกวางยา ส่วนสายพิณนอนหลับๆ ตื่นๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่างนอกบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเกาะว่านโพงของปู่ หล่อนเห็นแสงพุ่งออกจากกลุ่มกอว่าน ความกลัวทำให้หล่อนไม่กล้าเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์แสงที่เห็น
ถึงเวลาเข้านอน หล่อนจึงหลับด้วยความกลัวผสมกังวลแต่ก็ลืมตาไม่ได้ ได้ยินเสียงก่อกแก่กในครัวก็ไม่กล้าออกจากห้องนอน เสียงสายฝนพรำบนหลังคาหญ้าแฝก ตับจากหยุดไปแล้ว เสียงกบเขียดร้องระงมอยู่กลางทุ่งนา
คำพันออกจากบ้านไปหากบเขียด สายพิณเข้าใจอย่างนั้น เสียงพ่อเดินลงบ้าน หล่อนจำเสียงเดินของพ่อได้ การนอนกระสับกระส่ายครู่ใหญ่ก็หลับสนิท คำพันลงบ้านไปหากบเขียดเช่นชาวบ้านคนอื่นๆ
แสงสีเขียววูบลงครู่หนึ่งก็ลอยขึ้นสูงและลอยไปตามขอบคันนา ไปกลางนาและวูบลงอีก เสียงกบร้อง เขียดร้องเซ็งแซ่ขณะเสียงสีเขียววูบลงไป
ถมยืนจ้องแสงที่เห็นด้วยอาการเพ่งมอง คนในหมู่บ้านเดียวกันหรืออีกหมู่บ้านออกมาส่องกบ ส่องเขียดเช่นเดียวกับเขาหรือเปล่าแต่ทำไมแสงคบไฟใต้ต่างจากของเขา แสงวูบลงลอยขึ้นและลอยห่างออกไปรวดเร็วเมื่อถมกระแอม
“ใครน่ะ ทิดดอนหรือเปล่า อ้าวเฮ้ย ไปซะแล้ว”
ถมร้องทักหลังจากกระแอม เขาเรียกชื่อดอนดังๆ แสงนั้นยิ่งลอยห่างออกไปและพริบตาก็หายไปกับกลุ่มพงหญ้าคันนา ถมเดินกลับมาหาโสภี ความกลัวแล่นขึ้นมา
“ทิดภี เรากลับกันไหม ข้าพอแล้วละ เรากลับกันดีกว่านะ”
ถมชวนโสภีกลับเข้าหมู่บ้านแต่กริยาเหลียวมองไปทางหลังทำให้โสภีต้องมองตาม ไม่มีอะไรนอกจากความมืด เสียงเขียดหยุดร้อง ความเงียบครอบคลุมทั่วทั้งนา
“เป็นอะไรของเอ็งวะไอ้ถม จะรีบกลับไปไหน ข้ายังได้ไม่ถึงครึ่งข้องเลย ไปต่ออีกหน่อยหรือถ้าเอ็งอยากกลับก็กลับไปก่อน”
“ไม่เอา ข้าไปด้วย”
ถมเดินแซงโสภีนำหน้าไปก่อน โสภีเหลียวมองด้านหลังอีกครั้ง ไม่เห็นอะไรเช่นเคย ถมมีทีท่ากลัวอะไร ไม่ใช่ธรรมดาของถม ทุกครั้งออกมาส่องกบ ส่องเขียด หากไม่ได้เกือบเต็มข้อง ไม่ยอมกลับแต่วันนี้เร่งให้กลับ ถมต้องเจออะไรบางอย่างและเป็นสิ่งที่ไม่น่าพบเจอสักเท่าไร
ถมไม่มีสมาธิหาเขียดหรือกบสักตัว เขาเดินเคียงข้างโสภีไม่ห่าง เมื่อถมไม่แยกไปหาทางอื่นโสภีจึงต้องกลับเข้าบ้าน
“ไอ้ถม เอ็งกลัวอะไรวะ ข้าว่าจะถามเอ็งตอนอยู่กลางนา กลัวเอ็งจะไม่กล้าตอบ ตอนนี้เข้ามาบ้านแล้ว ตอบข้ามาว่าเอ็งไปเจออะไร ทำไมถึงกลัวขี้หดตดหายอย่างนี้”
“พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ข้าเข้าบ้านก่อนนะ”
ถมไม่ตอบคำถามของโสภี ความมืดรอบตัว บรรยากาศเงียบ วังเวง ไม่เอื้ออำนวยให้ถมหลุดปากเผยคำตอบให้โสภีคลายความข้องใจ เขาเลือกตอบตอนพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่ายามค่ำคืนเช่นนี้
“มันเป็นเอามาก กลัวอะไรนักหนาวะ”
โสภีเดินต่อเพราะบ้านของเขาอยู่เกือบสุดหมู่บ้าน ห่างจากบ้านถมพอควร ขณะเขาเดินผ่านบ้านคำพัน ขนลุกขึ้นมาเฉยๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนกลัวผี เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูกว่าเกิดอาการอย่างนี้ได้อย่างไร เขาเงยหน้ามองบ้านคำพัน เห็นแต่ความมืดมิด คนในบ้านหลับสนิท
“ไม่มีอะไรสักหน่อย ขนหัวลุกได้ยังไงวะ”