ตอนที่ 2-2 ( เดินทางเข้าป่า )
“ผมมาคราวนี้ ถึงยังไงผมก็ต้องจับไอ้เสือผาดให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย ถ้าจับมันไม่ได้ผมจะไม่ยอมกลับเด็ดขาด” สารวัตรภาคินเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“ผมดีใจมากเลยที่มีตำรวจดี ๆ และตั้งใจทำงานจริงจังอย่างสารวัตร”
“แต่อาชีพตำรวจชีวิตมันเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะตายวันไหนก็ยังไม่รู้ เพราะเหตุนี้แหละที่ผมถึงไม่อยากแต่งงาน”
“ไม่ต้องกลัวหรอก คนเราถ้าไม่ถึงที่ตายมันก็ไม่ตายง่าย ๆ หรอก เดี๋ยวผมจะให้ของดีไปไว้ป้องกันตัว” พรานเที่ยงพูดจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพระ ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับตะกรุดโทนขนาดยาวห้านิ้วที่ร้อยติดไว้กับเชือกร่มสีดำ
“อ่ะ เอาตะกรุดนี่ไป”
“ตะกรุดโทนเหรอครับพรานเที่ยง”
“ใช่! ตะกรุดโทนของหลวงปู่ศุข เอาห้อยคอติดตัวไว้ ยามคับขันจะช่วยคุ้มครองเราได้”
“ขอบคุณมากครับพรานเที่ยง” สารวัตร รีบยกมือไหว้ ก่อนจะหยิบตะกรุดโทนมาห้อยคอแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“สารวัตรง่วงรึยัง ผมว่าเราไปนอนกันดีกว่า จะได้ตื่นกันแต่เช้า”
“ที่นี่ดูท่าทางยุงจะชุมนะครับ”
“ก็ชุมอยู่เหมือนกันครับ บ้านผมมันอยู่ใกล้ป่า แต่ไม่เป็นไร ผมให้ไอ้ทัพมันสุมไฟไล่ยุงให้แล้ว”
“ขอบคุณครับ งั้นก็ไปนอนกันเถอะ ผมรู้สึกง่วงแล้วเหมือนกัน”
สารวัตรภาคินพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน
สารวัตรภาคินเดินไปล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ลูกน้องทัังห้าคนที่พากันนอนหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า
พรานเที่ยงเห็นว่าพวกเขานอนหลับกันหมดแล้ว จึงเดินเข้าห้องไปนอน
บรรยากาศยามค่ำคืนของบ้านไม้ยกพื้นเตี้ย ๆ ที่อยู่ท่ามกลางสวนมะม่วงมองดูมืดสนิท ตอนนี้มีเพียงแสงสว่างจากกองไฟที่สุมไว้ไล่ยุงเท่านั้น
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน
ทุกคนต่างพากันนอนหลับใหลหมดแล้ว บรรยากาศกลางดึกเงียบสงัดวังเวง คงมีเพียงเสียงจิ้งรีดจั๊กจั่นเรไรที่กรีดปีกร้องดังแว่วมาตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ
รุ่งเช้าของวันใหม่
เสียงไก่ตื่นมาตีปีกโก่งคอขันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พระอาทิตย์ยามเช้าโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า สาดแสงอ่อน ๆ สว่างไสวไปทั่วหมู่บ้านทัพตะเคียน
ทุกคนรีบตื่นลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา พรานเที่ยงกับไอ้ทัพพากันตื่นมาหุงข้าว ทำกับข้าวกันแต่เช้ามืด
หลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อย พวกเขาก็พากันเก็บสัมภาระทั้งหมดขึ้นมาสะพายบ่า ก่อนจะพากันเดินออกมารอที่ลานหน้าบ้าน
สารวัตรภาคินกับลูกน้องพากันยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นพรานเที่ยงกับลูกชายเดินออกมา
“การเดินทางในป่า มันไม่เหมือนการเดินทางในเมือง มันมีสิ่งที่เราไม่รูัไม่เห็นมากมาย ในป่ามันมีกฏของป่า ขอให้ทุกคนเชื่อฟังและทำตามที่ผมบอกด้วย”
“ครับพรานเที่ยง”
“ทุกคนได้ยินที่พรานเที่ยงบอกแล้วใช่ไหม อย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของผมกับพรานเที่ยงเด็ดขาด”
“ครับสารวัตร”
“เอาละ ออกเดินทางกันได้แล้ว”
พรานเที่ยงพูดจบก็ยกปืนลูกซองยาวคู่กายขึ้นมาสะพายบ่า แล้วเดินนำหน้าทุกคนไปทันที
สารวัตรภาคินกับลูกน้องทั้งหมดพากันเดินตามพรานเที่ยงไปติด ๆ
ไอ้ทัพรีบยกปืนลูกซองห้านัดกับเป้ที่ใส่สัมภาระขึ้นมาสะพายบ่าแล้วรีบเดินตามหลังพวกเขาไป เพื่อคอยระวังภัยให้ข้างหลัง
บรรยากาศสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาใบหนาทึบ จนทำให้ทางเดินที่เป็นทางลูกรัง ดูร่มครึ้มไปตลอดเส้นทาง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
พวกเขาก็เดินมาถึงทางที่จะเข้าไปสู่ผืนป่าทับลาน
“อ้าว! ตอนนี้เรามาถึงทางที่จะเข้าไปยังผืนป่าทับลานแล้ว หยุดพักกินน้ำกันก่อน”
สิ้นคำพรานเที่ยงทุกคนก็แยกย้ายกันไปหาที่นั่งพัก ก่อนจะปลดกระติกน้ำที่เอวออกมายกขึ้นดื่มอย่างหิวกระหาย
พรานเที่ยงนั่งลง ดึงผ้าขาวม้าที่ใช้โพกหัวออกมาเช็ดเหงื่อเม็ดโต ๆ ที่กำลังไหลย้อยออกมาเต็มใบหน้า ก่อนจะดึงกระติกน้ำมายกขึ้นดื่มด้วยอาการเหนื่อยล้า
“เหนื่อยมั้ยครับสารวัตร”
“เหนื่อยเหมือนกันครับพรานเที่ยง อยู่แต่ในเมืองไปไหนก็นั่งแต่รถ มาเดินทางไกล ๆแบบนี้ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา”
“ผมรู้ว่าทุกคนไม่เคยเดินป่าแบบนี้ ผมถึงต้องให้หยุดพัก เมื่อเข้าไปในป่าที่รกทึบแล้ว เราจะเดินกันเรื่อย ๆ เพราะยังไงไอ้เสือผาดมันคงยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอก มันน่าจะกบดานอยู่ในป่านี่แหละ”
“ใช่ครับพรานเที่ยง ผมคิดว่ามันคงไม่กล้าหนีกลับเข้าไปในเมืองแน่นอน เพราะถ้ามันเข้าไป ยังไงก็หนีตำรวจเงื้อมมือตำรวจไม่รอด”
“เอาละ พักกันหายเหนื่อยแล้ว ออกเดินทางกันต่อดีกว่า”
พรานเที่ยงพูดจบก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าทุกคนไปทันที
ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงชายป่าทับลาน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่รกทึบยืนต้นชูใบสูงตระหง่าน
พรานเที่ยงหันไปยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด
“เรามาถึงชายป่าทับลานแล้ว ผมจะทำพิธีเปิดป่าก่อน แล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”
พรานเที่ยงพูดจบก็หยิบผ้าขาวออกมาปูแล้วเอาข้าวปลาอาหารและน้ำออกมาจัดใส่ในกระทงใบตองวางลงบนผ้าขาว ก่อนจะหยิบธูปในย่ามออกมาจุดเก้าดอก แล้วนั่งลงยกมือพนมเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ
“ข้าแต่เจ้าป่าเจ้าเขา ทวยเทพเทวดา องค์เทพารักษ์ ผู้สางนางไม้ ทั้งหลายทั้งปวง วันนี้พวกข้าพเจ้าเข้ามาในป่า เพื่อมาตามจับผู้ร้าย มิได้คิดที่จะเข้ามารบกวนหรือลบหลู่ท่านแต่อย่างใด ขอให้ท่านทั้งหลายจงช่วยเปิดป่าและชี้ทางให้พวกข้าพเจ้าพบเจอคนร้าย และโปรดช่วยปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้าทุกคนด้วยเถิด”
พรานเที่ยงบอกกล่าวจบ ก็ปักธูปลงบนดิน แล้วหันไปเอ่ยกับทุกคน
“ผมบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขาและทำพิธีเปิดป่าเสร็จแล้ว รอให้ธูปหมดดอกก่อนค่อยเดินทางกันต่อ ยังมีเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมืด”
“ครับพรานเที่ยง”
ทุกคนพากันนั่งพักรอให้ธูปหมดดอก เพราะกลัวว่าธูปที่จุดจะทำให้เกิดไฟไหม้ป่า
ทุกคนนั่งรออยู่ครู่หนึ่ง พรานเที่ยงเห็นว่าธูปที่จุดไหม้หมดดอกแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วหยิบปืนกับเป้ขึ้นมาสะพายบ่า
“ธูปหมดดอกแล้ว เดินทางกันต่อเถอะ”
พรานเที่ยงพูดจบก็ออกเดินนำหน้าทุกคนไปทันที
พวกเขาเดินมาได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงชะนีร้องโหยหวนแว่วมาตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ ทำให้ทุกคนรู้ว่า ตอนนี้พวกเขาเริ่มเดินเข้ามาในป่าลึกแล้ว