IV? : นั่นละ.. ยมทูตที่เธอกำลังเจอ
ฟึ่บ! บีเบลออกแรงผลักร่างของคิรัวร์ให้ลงไปนอนข้างๆ เธอดันตัวแล้วก้มมองตัวเองที่เปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำ
“เอาแต่บอกว่าฉันมีไอ้สิ่งนั้น.. มันเป็นยังไงฉันเองยังไม่รู้แท้ๆ”
“…..”
“บ้าบอกันทั้งนั้น!” บีเบลลุกขึ้น ตบมือกับกางเกงตัวเองเพื่อไล่ทรายที่ติดมือก่อนจะรีบเดิน
วาร์ป! แต่คิรัวร์ก็พุ่งมาขวางทางฉันด้วยความเร็วที่มนุษย์ปกติไม่สามารถทำได้
“เธอจะหันหลังให้ฉันไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้? ก็ในเมื่อที่นี่มันมีแต่คนบ้า… ไม่ใช่สิ! พวกนายไม่ใช่คน”
เป็นอีกครั้งที่คิรัวร์จ้องหน้านวลของบีเบล ดวงตาสีแดงไม่ได้จ้องมองราวกับจะกลืนกินเธอ เพียงแค่อยากจับความจริงจากความรู้สึกและคำพูดของเธอเท่านั้น และพอมั่นใจได้ว่า… บีเบล ไม่รู้เรื่องศิลา
“ลาก่อนนะ นายยมทูต” ฉันบอกลายมทูต ใช่.. มันบ้ามากที่ชีวิตนี้ได้เจอสิ่งมีชีวิตหรือ.. สิ่งไม่มีชีวิตก็ไม่รู้อะ ฉันไม่เก่งมากหรอกที่จะรู้ว่ายมทูตจัดอยู่ในสปีชี่ห์ไหน ถ้าให้พูดตามความจริงก็.. ตอนนี้ฉันกำลังโมโหเลือดขึ้นหน้าจนเริ่มแยกแยะอะไรไม่ค่อยได้ละ ลองมาเป็นฉันสิ มียมทูตมาบอกว่าฉันมีสมบัตของดินแดนแห่งความตาย โดนเขาจับกดน้ำ ถามหาแต่หินที่ฉันไม่เห็นรู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นแบบไหน ถึงเกือบจะดีใจที่ได้รู้จักกับยมทูตเก็บดวงวิญญาณแล้วอะนะ แต่เจอแบบนี้ก็ไม่เอาแล้ว! นี่ไม่นับที่เขาเอาเคียวมาจ่อคอฉันตั้งสองรอบนะ! ดูเขาทำแต่ละอย่างสิ! มันน่าไหมละ!
บีเบลก้าวขาเดินหนีคิรัวร์อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอเดินเบี่ยงคิรัวร์ออกไปทิศทางไหนไม่อาจรู้ได้ เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอต้องไป แต่….
“…แล้วฉันจะออกไปยังไงเนี่ย!” ฉันหันไปตวาดใส่คิรัวร์ที่ยืนนิ่งแล้วมองฉันอยู่ที่เดิม ที่นี่เหมือนดินแดนที่ไม่ใช่โลกมนุษย์อะ… รู้สึกแค่ว่าคนที่เดินอยู่รอบๆมันไม่ใช่คนปกติ สายตาที่มองกัน… มันน่าอึดอัด ยิ่งตอนที่ฉันหันไปตวาดคิรัวร์ตอนเดินออกมาจากบ่อน้ำนะ พวกนี้ก็มองฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันอะ ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรือไงกัน กะอีแค่ยมทูตเก็บวิญญาณ ทั้งที่เฮดคือพญายมบาลแท้ๆ.. ทำเป็นแตะต้องคิรัวร์ไม่ได้ โลกเราอะเนอะ มีชนชั้นไม่เว้นแม้แต่โลกหลังความตาย ใครเป็นผู้สร้างโลกกัน ฉันอยากจะทำลายมันทิ้งซะให้หมด แล้วสร้างโลกใหม่ขึ้นเองให้สิ้นเรื่อง! จะสร้างให้ยมทูตไม่มีสิทธิ์มาจับหัวมนุษย์ สัตว์ประเสริฐ อย่างฉันกดน้ำแน่!
“หากอยากจะออกไปจากที่นี่ จงขอร้องข้า”
“เฮอะ~ ขอโทษนะ ฉันไม่ขอร้องไอ้บ้าที่จับฉันกดน้ำนั่น!”
“เช่นนั้น เจ้าก็จงหลงอยู่ในมิติของพวกข้า”
“นายกำลังจะฉายแสงเหรอ? เอาสิ! เอาเล้ย ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าไอ้ยมทูตกระจอกอย่างนายจะมีพลังอะไรมาทำอะไรฉัน ลบความจำฉันนายก็ยังลบไม่ได้ นายจะทำอะไรได้คิรัวร์?”
วาร์ป~ อีกครั้งที่เขาปรากฎตัวต่อหน้าฉันด้วยความเร็วเกินมนุษย์ ปลายนิ้วที่มีเนื้อหนังขาวซีดก่อนหน้า ค่อยๆกลายเป็นนิ้วกระดูกที่แตะสัมผัสคางของฉัน ดวงตาสีแดงฉานมันแดงกว่าเก่า ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉันเผลอชมไปเมื่อก่อนหน้าเริ่มสลายกลายเป็นใบหน้าที่มีแต่โครงกระดูก เสื้อผ้าที่สวมกลายเป็นโม่งสีดำที่ภายในมีสีแดงเข้ม
“ฮึ่ก!” บีเบลตกใจกับภาพที่เห็น โครงกระดูกตรงหน้าคือคนคนเดียวกับร่างมนุษย์สมบูรณ์เมื่อกี้ ร่างเล็กตัวสั่นก่อนจะก้มมองมือกระดูกของยมทูตตนนี้ช้าๆ
“วาจาสามหาวเยี่ยงเจ้า ไม่ควรได้รับความเมตตาจากข้า” น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป! มันกังวานสะท้อนเหมือนเราอยู่บนหุบเขาสูง ที่ได้ยินเสียงที่สะท้อนออกไปดังกลับมา
“อะ.. ฮึ่ก~”
“หากไม่ยอมคืนสิ่งนั้นแต่โดยดี เห็นที.. ข้าคงต้องปลิดชีพเจ้า”
“อึ้ก!!!” หายใจไม่ออก! คิรัวร์ในร่างกระดูกใช้มือจับตรึงที่ใบหน้าของบีเบล นิ้วกระดูกกำลังดูดบางสิ่งจากหน้าผากของหญิงสาว บีเบลที่ตกใจขั้นสุดหรืออาจจะช็อกอยู่ตัวสั่นแข็ง ดวงตาเล็กจ้องมองใบหน้าที่มีเพียงกะโหลกราวศพที่ถูกฝังมานาน.. ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาบางๆ หยดลงสัมผัสบนมือของยมทูต
ติ้ง~
“… ไม่~ พ่อ~”
“……”
“อึ้ก~” ร่างเล็กสะอึกราวกับกำลังจะขาดอากาศหายใจ… แต่ทันใดนั้น..
หวืบ! มือกระดูกของคิรัวร์ก็ยอมปล่อยจากใบหน้าของเธอ กลับคืนสู่สภาพร่างมนุษย์หนุ่มก่อนหน้า บีเบลล้มลงไปกองกับพื้นด้วยเรี่ยวแรงที่หายไปเกือบหมดสิ้น พร้อมกับนั่งสั่นราวกับลูกนกตกน้ำ
“ข้าปลิดชีพเจ้าได้เพียงปลายนิ้ว”
“…ฮึ่ก~”
“พาข้าไป” บีเบลรีบจับคอของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองร่างสูงในสภาพปกติด้วยความกลัว
“…..”
“สิ่งที่เรียกว่าบ้าน”
“…..”
“พาฉันไปที่นั่น” พร้อมกับเสียงที่กลับมาปกติแบบในตอนแรก… เมื่อกี้มันน่ากลัวมาก.. นั่นคือร่างที่แท้จริงของเขาอย่างนั้นเหรอ… ฉันกลืนน้ำลายอีกครั้งก่อนจะค่อยๆดันตัวเองขึ้นยืน
“…ทำไมถึงมั่นใจนัก ว่าฉันมีสิ่งที่พวกนายตามหา”
“มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันตามหา แต่มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรมีในครอบครอง”
“…..”
“ไม่คู่ควร กับสัตว์ที่มักมากในความโลภ อย่างมนุษย์”
“…แล้วมันจะมาอยู่ที่ฉันได้ยังไง ฉันไม่เคยหยิบหรือขโมยของใครนะ”
“การรับของโจร ก็ถือเป็นเรื่องที่ผิด”
“ห๊ะ?”
“ทั้งที่เห็นวิญญาณ เสร่อช่วยพวกนั้นแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รู้อะไรซะเลย” อีกครั้งที่คิรัวร์หรี่ตามองฉันด้วยแววตาสีแดง
“ของที่ถูกขโมยมา ไม่ว่าจะส่งต่อไปกี่รุ่น เปลี่ยนเจ้าของไปอีกกี่มือ คนที่รับครอบครอง ก็ถือว่าคนคนนั้นรับซื้อของโจร เธอคงเข้าใจคำนั้น”
“…..”
“เธออาจจะมีมัน เพราะมีใครบางคนให้เธอมา”
“…..”
“พาฉันไป ที่บ้านของเธอ”
“ไม่ได้หรอก.. พ่อฉันอยู่ พ่อไม่โอเคแน่ๆถ้าฉันพานายเข้าบ้าน” บีเบลโกหกออกไปแบบนั้น เพราะร่างที่แท้จริงของคิรัวร์ทำให้เธอเกิดความกลัว คิดสภาพตามที่ฉันเห็นสิ มีโครงกระดูกเดินเข้าบ้านไม่พอนะ เป็นฉันที่พาเขาเดินเข้าบ้านตัวเอง แถมมิหนำซ้ำ... เป็นยมทูตไม่ใช่คนไปอีก ซึ่งนั่นทำให้รอยยิ้มของคิรัวร์แสยะ
“ให้ฉันบอกไหม ว่าพ่อเธอชดใช้กรรมอยู่นรกขุมไหน หรือเสพสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นอะไร”
“…..” บีเบลกลืนน้ำลาย
“คนตายมีที่ของคนตาย และฉันมั่นใจว่าฉัน… คือคนที่เก็บดวงวิญญาณของพ่อเธอเองกับมือ” ก่อนจะชูมือแล้วค่อยๆกลายเป็นมือกระดูกอีกครั้ง
“คิรัวร์…” บีเบลเสียงสั่น
ชีวิตที่เห็นดวงวิญญาณของฉัน คอมพลีสมาก เมื่อมียมทูตมาเดินเคียงข้าง และสามารถบอกฉันได้อีกว่า พ่อแม่หรือพี่น้องฉันไปชดใช้กรรมอยู่ที่นรกหรือมีความสุขทิพย์อยู่บนสวรรค์... ไม่ใช่ในรูปแบบที่ดีสักนิด
“อย่าตุกติก อย่าคิดว่าฉัน.. ไม่กล้าทำอะไรเธอ”
“…..” ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย ทำไงดี…
“ฉันเข้าบ้านเธอได้โดยเจ้าที่บ้านเธอไม่ต้องออกมาต้อนรับ หรือไม่… เจ้าที่บ้านเธอ อาจจะมายืนต้อนรับฉันให้เข้าบ้านพร้อมกับเธอก็ได้”
“…..”
“หมดเวลาอึ้ง ยมทูต… ไม่ได้มีหน้าที่แค่เก็บดวงวิญญาณ”
“…..”
“นั่นละ ยมทูตที่เธอกำลังเจอ”
…นี่ฉัน ต้องพายมทูตไปเยี่ยมบ้านจริงๆนะเหรอเนี่ย!