II? : เรียกข้าว่าท่าน..
“ฮัลโหล! มูน!!”
“อ่า.. เสียงเธอ?”
“แกรู้ไหมว่าฉันไปเจออะไรมา!”
“จะไปรู้ได้ไง เสียงตื่นเต้นแบบนี้… คงไม่ใช่ว่าไปช่วยวิญญาณที่ไหนอีกอะ”
“อันนั้นก็ใช่ แต่มันมากกว่านั้นเว้ย!”
“..อ่าๆ งั้นเล่ามา” บีเบลหันซ้ายหันขวาขณะรีบเดินกลับบ้าน ความเงียบสงัดยามราตรีแอบทำให้ฉันขนลุกบางๆ
“แกฟังฉันดีๆนะ”
“อ่า”
“…ฉันเจอยมทูต! ยมทูตที่แบบเหมือนคนเลยคือเห็นแค่หน้านะเพราะเขามีฮู้ดสีดำพริ้วๆปิดหน้าอยู่อะ หล่อด้วยแต่ตาสีแดงนะ ฉันเจอตอนที่มีวิญญาณพาฉันไปที่จุดที่ตายอะ! เขาโผล่มาจับดวงวิญญาณนั้นแล้วก็หมุนวาร์ปหายไปต่อหน้าต่อตาฉันเลย!” ฉันเล่าทุกอย่างที่เจอให้มูนฟัง แน่นอนปลายสายเงียบก่อนจะตอบมาแค่สั้นๆ
“…รีบกินยานอนซะ ฉันว่าเธอเมายา”
“มูน ฉันไม่ได้โกหก”
“จะบอกว่าเห็นยมทูตมาจับวิญญาณ แล้วก็ปรากฎตัวให้มนุษย์เห็นแบบนั้น? ใครมันจะไปเชื่อ”
“เห้ย ฉันเห็นจริงๆ! หล่อมากแต่ก็น่ากลัวมากด้วย!”
“…เอาเป็นว่าแกเจอยมทูต?”
“อ่า!”
“หล่อมาก?”
“ใช่ๆ!”
“…รีบเข้าบ้านซะ เดี๋ยวคนเเถวนั้นจะคิดว่าเธอบ้า” เอ้า! นี่จะไม่เชื่อกันจริงๆว่างั้น? นี่ฉันไม่ได้โกหกนะทุกคนก็เห็นใช่ไหมละ!
ไม่ทันได้ด่ามันกลับ มูนก็ตัดสายฉันทิ้งไปอีก!
“เออ! ดีจริงๆ!” บีเบลยืนเท้าเอวอยู่กลางซอยที่เงียบสงัด เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผู้หญิงตัวบางๆอย่างเธอจะออกมาเดินนอกบ้านคนเดียว ไอ้ตอนแรกที่กล้าออกมาเพราะมีผีมาด้วยไง ขโมยกะโจรจะทำอะไรฉันก็ต้องโดนผีนางนั้นหลอกบ้างแหละ.. แต่คือตอนนี้ไม่มีแล้ว…
ความกลัวเริ่มเข้ามาในสติเมื่อเห็นร่างผู้ชายที่ฉันมั่นใจว่าเป็นคนเหมือนฉันสองคนกำลังเดินเข้ามา บีเบลรีบหันหลังแล้วสาวเท้าเร็วๆเพื่อเดินกลับบ้าน แต่ยิ่งเดิน พวกนั้นก็ยิ่งตาม ยิ่งวิ่ง ก็ยิ่งถูกตามติดๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” ฉันออกแรงวิ่งเมื่อรู้ว่าผู้ชายสองคนนั้นกำลังคิดทำอะไรสักอย่างกับฉัน ซึ่งมันมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างที่จะถูกกระทำในเวลาดึกๆแบบนี้! นี่ฉันแค่จะออกมาช่วยดวงวิญญาณนั่นไง แต่กลับถูกผีหักหลังแล้วหนึ่ง! ยมทูตที่ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตายและลางร้ายก็ดันโผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆแล้วสอง! นี่ฉันกำลังจะถูกอะไรอีกเนี่ย! ข่มขืนเหรอ! หมกข้างทางแบบนี้!
“ไม่เอานะ!!!!”
บีเบลกรี๊ดลั่นขณะที่วิ่งหนี แต่จู่ๆก็เหมือนมีค้างคาวตัวใหญ่โฉบเฉี่ยวผ่านหน้าฉันไป แต่ด้วยความที่มันตัวใหญ่ผิดปกติฉันเลยหันกลับไปมองก่อนจะหยุดชะงัก ไอ้ค้างคาวที่ฉันเข้าใจ คือผู้ชายที่ฉันเจอที่ริมสระบัว
“…นาย ยมทูต”
ร่างสูงสง่าทมึนด้วยสีของผ้าคลุม หันมองฉันเพียงครู่ก่อนจะหันกลับไปหาผู้ชายสองคนที่ตกใจจนลงไปนั่งที่พื้นถนน เขาเดินเข้าประชิดตัวก่อนจะทำท่ายื่นมือไปที่ผู้ชายสองคนนั้น แล้วจู่ๆก็มีวงไฟสีฟ้าลอยออกมาจากมือลอยปะทะเข้าที่กลางหน้าผากแล้วสองคนนั้นก็สลบไป ร่างสูงหันกลับมาหาฉัน เขาเดินเข้ามาช้าๆรู้สึกตัวอีกทีเขาก็อยู่ตรงหน้าฉันแบบไม่ทันตั้งตัว
“…นาย ทำอะไรสองคนนั้น” แล้วจู่ๆก็ผายมือแบบเดียวกันให้ฉัน ดวงไฟสีฟ้าลอยเข้ามากำลังจะปะทะเข้าที่หน้าผาก…
“…นายทำอะไร?”
“…..” ชายตาแดงสวมผ้าคลุมสีทึบเลิ่กคิ้วใส่ เขาปล่อยดวงไฟสีฟ้าออกมาอีกครั้งก่อนมันจะสลายไปทันทีที่เข้าใกล้หน้าผาก
“..ทำไม?”
“ทำไมเหรอ? ใช่สิ ฉันต้องถามว่านายทำแบบนี้ทำไม? เพื่ออะไร? แล้วทำไมสองคนนั้นสลบไปแบบนั้น?”
“…..”
“นี่ นายเป็นยมทูตจริงๆเหรอ?” บีเบลสัมผัสร่างกายของร่างสูง ชายตาแดงสบัดแขนเธอทิ้งพร้อมกับทำหน้างง เขาไม่เคยทำพลาด แต่เพราะอะไรกันกับผู้หญิงคนนี้…
“ทำไมลบความจำไม่ได้”
“?”
“…เธอเป็นใคร?”
ฉวับ! ก่อนจะคว้าเคียวพระจันทร์เสี้ยวจี้ไปที่ต้นคอของหญิงสาว
“อ๊ะ!”
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร! มีเวทมนตร์อันใดถึงลบล้างพลังของข้าได้!”
“..เห้ เป็นยมทูตนี่ต้องพูดจาภาษาเชยขนาดนี้ด้วยเหรอ?” บีเบลตอกกลับไม่เกรงกลัว เธอกำลังตื่นเต้นกับสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เธอเพิ่งได้เห็น
“?”
“..นี่ ไหนๆก็ล้างความทรงจำที่ฉันเห็นนายไปแล้วไม่ได้ ..ก็ ช่วยตอบคำถามฉันหน่อยสิ”
“…..”
“น่า.. นะๆ” ร่างสูงกุมขมับ เขาเก็บเคียวเสี้ยวพระจันทร์ก่อนจะเปลี่ยนชุดกลางถนนทันที ฉันเหมือนหลุดมาในโลกแฟนตาซีก็ไม่ปาน ยมทูตคลุมโม่งดำถือเคียวเมื่อกี้กลายเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีที่มีความสูงเกือบ190เซน แผงอก ไหล่กว้าง พร้อมกับชุดที่ร่างสูงผิวขาวซีดสวมอยู่ มันทำให้ฉันแยกไม่ออก หากคนคนนี้เป็นยมทูตจริงไม่ใช่ผีที่อยากจะมาแสดงอภินิหารละก็ ฉันต้องเชื่อว่าเขาเป็นคนปกติเหมือนฉันแน่ๆ
“เปลี่ยนร่างได้ด้วยเหรอ!”
“…เพื่อความกลมกลืน …ทีนี้จะบอกได้หรือยัง ว่าเธอ มีเวทมนตร์อะไร ฉันถึงลบความทรงจำเธอไม่ได้” อ่า.. ภาษาพูดก็เปลี่ยนไปด้วยแฮะ..
“ฉันไม่มีเวทมนตร์อะไรทั้งนั้นแหละ ว่าแต่นายอะ เป็นยมทูตแท้ๆแต่ดันโผล่มาให้คนเห็นแบบนี้ นายไม่ต้องเสียเวลาไล่ลบความจำคนพวกนั้นหรือไง”
“..ไม่กลัวฉัน?” ตอบตรงคำถามมากกกกก
“..ไม่กลัว ฉันเห็นวิญญาณจนชิน แค่ตื่นเต้นที่ได้เห็นยมทูตอย่างนายก็แค่นั้นแหละ”
“…..”
“ที่กลับมานี่เพื่อจะลบความจำ?”
“อืม”
“แต่ดันลบความจำฉันไม่ได้?”
“…อืม”
ด้วยความที่บีเบลไม่ได้มีความกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับยมทูตหนุ่ม ร่างสูงแปลกใจอย่างมาก เขาไม่เคยไม่สามารถลบความทรงจำใครได้ เลยตัดสินใจพูดออกมา
“มากับฉัน”
“เอ๊ะ?”
“มีเรื่องต้องพิสูจน์”
“เรื่อง? เรื่องอะไร?”
“ตามมาเดี๋ยวก็รู้” แต่ร่างสูงหันหลังเดินออกไปยังปากซอย ทำให้บีเบลที่ทิ้งท้ายรีบวิ่งตามอย่างไม่เข้าใจ
“นี่.. นายวาร์ปได้นิ ก็พาฉันไปแบบที่พาผีสาวคนนั้นไปสิ”
“ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้?”
“เพราะอยู่ในร่างจำแลงของคน และผู้คนแถวนี้มีมากเกินไป”
“..จำแลงคน?” ยมทูตทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? ถ้าจำแลงคนได้.. งี้ก็เท่ากับว่า…
“ต้องมีพวกนาย แบบ ..ยมทูตตัวอื่นปนอยู่กับมนุษย์งั้นเหรอ?”
“…อืม”
“พูดจริงอะ!”
ปึ่ก!
“โอ๊ยย!” ฉันชนกับแผ่นหลังกว้างที่หยุดเดินดื้อแล้วเอี้ยวตัวกลับมาหาฉัน
“เธอเป็นมนุษย์ ที่สอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง==^”
“ใครจะไม่อยากรู้บ้างละ เคยอ่านเจอแต่ว่ายมทูตจะปรากฎตัวให้เห็นเฉพาะคนที่ตายแล้วเท่านั้น แต่นายกำลังจะบอกว่ามียมทูตเดินอยู่เต็มเมืองไปหมดแบบนี้ เป็นใครใครก็ตื่นเต้นกันทั้งนั้นละ”
“……”
“แถมยังแปลงกายได้.. หล่อเหลาโอปป้าเป็นบ้า”
“โอปป้าเป็นบ้า?”
“ช่างเถอะ โลกของนายคงไม่มีซีรี่ย์เกาหลีให้ดู” เขาหยุดนิ่งไปพักนึงก่อนจะหันหลังให้ฉันแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ.. ฉันพอจะเข้าใจละว่าทำไมเขาถึงแปลงร่างเป็นคนปกติ เพราะหลุดจากปากซอยมา ผู้คนก็เดินกันขวักไขว่ไปหมด เป็นอีกครั้งที่ฉันวิ่งไปเพื่อเสมอกับร่างสูง
“ชื่อไรอะ มีชื่อไหม?”
“ถ้าอยากรู้ชื่อคนอื่นก็หัดบอกชื่อตัวเองก่อน” จ๊ะ!
“ฉันบีเบล อายุ24ปี ทีนี้ก็ตานายละ”
“…..”
“ชื่ออะไร”
“คิรัวร์” อ่ายมทูตก็มีชื่อแฮะ
“นาย.. อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“พันหนึ่งร้อยสิบปี”
“หะ ห๊าาา! พะ พันหนึ่งร้อย สะ สิบปี!”
“ตกใจอะไร? ยมทูตมีชีวิตเป็นนิรันดร์” ฉันที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้รู้ก็ยังคงเดินตามหลังคิรัวร์ต้อยๆๆ นี่คิดคำนำหน้าแทบไม่ถูก ลุง พ่อ ปู่ ตา หรือทวดดีนะ มีชีวิตเป็นนิรันดร์งั้นเหรอ
“แบบนี้ยมทูตไม่เกลื่อนโลกนายไปหมดแล้วเหรอ?”
“ถึงจะเป็นนิรันดร์ แต่ก็ใช่ว่าถูกฆ่าแล้วจะไม่ตาย”
“!!!”
“โลกของฉันมีบทลงโทษสำหรับยมทูตที่ทำงานผิดพลาด หากผิดร้ายแรงก็จะถูกตัดสินโดยยมบาล”
“แล้ว แล้ว.. ความผิดร้ายแรงนี่หมายถึงอะไร?”
“……”
“แล้วที่นายลบความจำที่ฉันเห็นนายไปแล้วไม่ได้นี่โทษหนักไหมอะ? จะโดนฆ่าหรือเปล่า?”
“……”
“เห้~ คิรัวร์!”
“อย่าเรียกชื่อฉันห้วนๆ” เสียงเข้มสั่งกำชับก่อนจะชี้หน้าฉันดุปราม
“ลุง? ทวด?”
“นั่นคือคำเรียกของสิ่งมีชีวิตที่แก่ชราเกินไป”
“….”
“เรียกข้าว่าท่าน”
“ท่าน?”
“ใช่ เรียกข้า.. เรียกฉัน แบบนั้น”
“ท่าน.. คิรัวร์…”
“อืม”
“กระดากปากเป็นบ้าเลย เรียกชื่อนี่แหละ เว้นให้เป็นกรณีพิเศษสิ ฉันพิเศษนะที่มนต์ของยมทูตใช้กับฉันไม่ได้~” อีกครั้งที่คิรัวร์มองบีเบลอย่างฉงนใจ สิ่งใดที่ทำให้มนต์ของเขาเสื่อมคลายกัน
“ไปกันเถอะ ฉันอยากรู้ว่ายมทูตกำลังจะพาฉันไปที่แห่งใด~~” รอยยิ้มพร้อมกับดวงตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็น ทำคิรัวร์นิ่งเงียบไป.. เขาไม่เคยเจอมนุษย์ตนใดที่ไร้ซึ่งความกลัวเมื่ออยู่ต่ออย่างเขา
“…อย่าหัวใจวายตายก็แล้วกัน” ก่อนจะเดินนำหน้าบีเบลไปอีกครั้ง ในขณะที่หัวใจของหญิงสาวเต้นระส่ำด้วยความอยากรู้
ฉันกำลังต่อปากต่อคำกับยมทูตสุดหล่อเหมือนส่งตรงมาจากเกาหลี แบบนี้พอเป็นลางได้ไหม.. ว่าชีวิตฉันที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยสู้ดีนักจะดีขึ้นเพราะยมทูตลบความจำฉันไม่ได้
“คิรัวร์ …นายให้พรฉันได้ไหม?”
“ฉันไม่ใช่ซาตาน ไม่มีสัญญาปีศาจแบบที่เธอต้องการ”
“ยมทูตทำไม่ได้เหรอ?”
“…..”
“ทำได้แค่ตามเก็บดวงวิญญาณเองเหรอ?”
“…..”
“ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนิ”
“ฉันมีหน้าที่พาดวงวิญญาณไปยังดินแดนหลังความตาย ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินผู้ตาย หรือให้พรมนุษย์จำพวกเธอ”
“..มนุษย์จำพวกฉันมันยังไง?”
“…ก็ที่เอาแต่คาดหวัง กับสิ่งที่มองไม่เห็น” เหมือนโดนตบหน้าเลยอะ
“อะไรละ.. ทั้งชีวิตฉันก็หวังแค่ถูกหวยเท่านั้นแหละ==*”
“โชคลาภ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น”
“แต่ฉันได้เห็นยมทูตอย่างนายไง นั่นก็หมายความว่า.. ฉันอาจจะมีโชคแบบบิ๊กเบิ้มรอฉันอยู่สักเรื่องก็เป็นได้”
“….เพ้อเจ้อ”
“!!!!” เจอยมทูตด่าว่าเพ้อเจ้อนี่ เจ็บเบอร์ไหนให้ทาย!==^