6 อาหารเช้ากับเราสามคน
“ซื้อไม่นานหรอกให้เอรินรอที่ทางออกก็ได้ ผมเคยเห็นว่ามันมีเก้าอี้นวดไฟฟ้าอยู่ด้วยคุณจะได้นวดรอ”
“สรุปว่าต้องไปด้วยจริงๆ ใช่ไหม”
“ก็ของใช้มันจำเป็น” ใบหน้าของสิปปกรจริงจังจนเธอไม่กล้าปฏิเสธเขาเป็นครั้งที่สอง
“งั้นก็หาที่จอดรถใกล้ๆ ประตูด้วยนะ” แล้วเขาก็ขับรถตรงไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ที่สุดเขาจอดรถให้เธอลงที่ประตูทางเข้าส่วนตัวเองจะวนไปหาที่จอดรถ
“เดี๋ยวซื้อของเสร็จจะโทร. หานะแล้วเอรินก็มารอตรงนี้ โอเคไหม” เขานัดแนะ
“ฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์มา” พราววรินทร์ตอบเบาๆ
“คนอะไรออกมาข้างนอกไม่รู้จักพกโทรศัพท์ ถ้าเกิดใครอยากติดต่อด่วนจะทำยังไง” คนอายุน้อยบ่น
“อย่ามาบ่นหน่อยเลยน่า ก็ใครล่ะชวนให้ออกมาพี่ชาร์ตแบตไว้ก็เลยไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นรอผมตรงนี้นะอย่าพึ่งไปไหน” เขาทำอย่างกับว่าเธอเป็นเด็กที่เพิ่งเคยออกมานอกบ้านเป็นครั้งแรก
พราววรินทร์เดินเข้าไปรอด้านในเพราะไม่อยากยืนสูดควันรถ เพียงไม่นานเขาก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา
“ป่ะ เดี๋ยวคุณไปรอผมที่เก้าอี้นวดนะ” เขาเดินเธอนำ
“นายเคยเคยมานวดเหรอถึงรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
“เปล่าหรอก แต่เคยเดินผ่านและจำได้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
พอถึงบริเวณเก้าอี้นวดไฟฟ้าที่เรียงรายกันอยู่เขาก็ดันตัวเธอให้นั่งลงและหยอดเหรียญ 10 บาทลงไป 2 เหรียญ ยัดเหรียญ 10 บาทใส่มือหญิงสาวจำนวนมาก พราววรินทร์ไม่ทันได้อ้าปากบอกว่าเธอเองก็มีเหรียญอยู่บ้างเขาก็วิ่งไปแล้ว พอได้นั่งรถไปสักพักก็รู้สึกเพลินและหายเมื่อย พอเครื่องหยุดหญิงสาวก็หยอดเหรียญ 10 บาทลงไปอีก 2 เหรียญแล้วก็อีก 2 เหรียญ จนกระทั่งตอนนี้เหรียญในมือเหลืออยู่เพียง 4 เหรียญ
“รอนานไหม” คนถามยื่นไอศกรีมแบบโคนให้เธอ
“ไม่นานขอบใจนะ ได้ของครบแล้วใช่ไหม”
“ครบแล้ว กลับเลยนะ คุณจะได้พัก”
“ขอนวดต่ออีกจนกินไอติมหมดได้ไหมล่ะ” เธอยื่นมือให้เขาดูเหรียญ 10 บาทยังเหลืออยู่อีก 4 เหรียญ เขาหยิบเหรียญในมือของเธอแล้วหยอดลงที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับหญิงสาว
“เพลินดีเหมือนกันนะ” เขาหันมาพูดกับเธอเบาๆ ทั้งสองคนนั่งกินไอศกรีมกันอย่างเงียบๆ พอครบเวลานวดก็พากันกลับ
“รอตรงนี้เดี๋ยวนะ ผมไปเอารถก่อน” เขาย้ำกับเธอเมื่อเห็นว่าเธอทำท่าจะเดินตาม
“เดินไปพร้อมกันก็ได้ เมื่อกี้ได้นวดไปแล้วหายเมื่อยไปเยอะเลย”
“อืม...” สิปปกรมองคนตัวเล็กแล้วยิ้ม
ชายหนุ่มกำลังคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนี้จะเป็นพี่สะใภ้ของเขาจริงๆ เขาจะดีใจไหม เพราะเท่าที่รู้จักกับเธอได้ไม่กี่วันก็รู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรเหมาะสมกับพี่ชายของเขาเลย หญิงสาวเป็นคนบอบบางน่าทะนุถนอมและดูซื่อมากเกินไป ถ้าได้เป็นแฟนกับพี่อนุตรเธอคงต้องอยู่อย่างลำบากแน่ๆ เพราะพี่ชายของเขาวันๆ ก็เอาแต่ทำงานไม่ค่อยมีเวลาสนใจอย่างอื่น เรื่องที่จะได้ออกมาเดินซื้อของและทานข้าวด้วยกันนั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย และเธอยังต้องเผชิญกับบรรดาสาวๆ ที่มาชอบพี่ชายของเธอนั้นเธอคงรับมือไม่ไหวแน่ๆ สิปปกรคิดว่าคนที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ของเขานั้นต้องเป็นผู้หญิงที่เก่งรอบด้านและต้องเป็นคนที่อื่นที่ไม่ใช่เธอ
“พรุ่งนี้ทำงานกี่โมง”
“ถามทำไม”
“ก็ถามดูเฉยๆ”
“เข้างาน 8 โมงเหมือนที่ทำงานทั่วไปนั่นแหละ” เธอตอบเขาไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
เสียงเคาะประตูแต่เช้าทำให้คนที่กำลังรวบผมอยู่หน้ากระจกต้องรีบเดินออกไปเปิดประตู
“มีอะไรหรือเปล่า มาแต่เช้า”
“จะชวนไปกินข้าวด้วยกันครับ”
“ขอบใจนะ แต่ไม่ไปหรอกพี่จะรีบไปทำงาน”
“ไปกินที่ห้องผมนี่เอง พี่โอห์มก็อยู่ด้วยนะ” เขากระซิบ
“อย่างนั้นขอแต่งตัวก่อนได้ไหม” เมื่อรู้ว่าคนที่แอบชอบอยู่ด้วยเธอก็ตกลง
“ก็เห็นเรียบร้อยดีแล้วนี่ไม่เห็นต้องแต่งอะไรเลย”
“ขอมัดผมก่อนได้ไหม”
“เดี๋ยวค่อยกลับมามัดก็ได้ ปล่อยแบบนี้ก็สวยดีออก” คำชมจากปากของเขาทำให้เธอแอบยิ้ม แล้วรีบหยิบกุญแจห้องเดินตามเขาไป
แม้จะอยู่ห้องพักติดกันมานานเกือบปีแต่เธอก็ไม่เคยเข้ามาที่ห้องของนายแพทย์หนุ่มเลยสักครั้ง ห้องของเขาใหญ่กว่าห้องของเธอเสียอีกเพราะมีห้องนอนถึง 2 ห้อง ภายในห้องก็ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คล้ายๆ กับห้องของเธอเพียงแต่ห้องของเขาจะออกไปโทนสีเข้มกว่าห้องของเธอเท่านั้น
พอเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาหมออนุตรก็วางแท็ปเลตแล้วกล่าวทักทาย
“มาแล้วเหรอเอริน วันนี้เราสองคนโชคดีมีคนทำอาหารให้ทาน” เขายิ้มให้พราววรินทร์ก็รีบยิ้มตอบ ปกติแล้วชายหนุ่มคนนี้จะค่อนข้างขรึมน้อยครั้งมากที่เธอเห็นเขายิ้มแบบนี้
“อาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ” สิปปกรยกจานใส่ไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและขนมปังมาวางตรงหน้า
“ทำเองหมดเลยเหรอ”
“แน่นอนครับ ไม่อยากไปเสียเวลาไปกินข้างนอก”
“หมายถึงร้านเมื่อวานเหรอ พี่ว่าก็อร่อยดีนี่”
“ไม่อร่อยเลยสักนิด พี่โอห์มกินบ่อยจนชินมากกว่า”
“ก็มีอยู่ร้านเดียวที่ใกล้สุดนี่” หมอหนุ่มบอกน้องชาย
หญิงสาวคนเดียวในห้องแอบมองสองพี่น้องที่คุยกันอย่างสนิทสนม เธอไม่เคยเห็นนายแพทย์หนุ่มในมุมนี้มาก่อนส่วนใหญ่ที่เห็นคือเขาจะเป็นคนพูดน้อยและเคร่งขรึม
“เดี๋ยวผมไปหาซื้อกระทะเล็กมาดีกว่า แล้วพี่จะรู้ว่าอร่อยน่ะ มันเป็นยังไง”
“อือ พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน” สองคนหัวเราะประสานกัน
“เอรินอร่อยไหม” เด็กหนุ่มหันมาถามเมื่อเห็นว่าเธอนั่งเงียบ
“อือ อร่อยดี” พราววรินทร์ชมจากใจจริง
“อร่อยก็ต้องกินดีเยอะๆ นะครับ จะได้โตไวๆ”
“ปาล์ม ทำไมไปพูดกับพี่เขาแบบนั้น แล้วไม่เห็นเรียกเอรินพี่เลย” อนุตรดุน้องชาย
“ก็เอรินตัวเล็กนิดเดียวเอง เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอแล้วน่ารักดีด้วย”
อาหารมื้อนี้ดูผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าครั้งก่อนๆ ที่พราววรินทร์เคยนั่งทานกับอนุตรเพียง 2 คนคงเพราะสิปปกรที่เป็นคนชวนคุยอยู่ตลอดเวลา
“คุยเพลินเลยผมต้องไปทำงานก่อนนะครับ เอรินวันหลังก็มาทานด้วยกันอีกนะนายปาล์มเค้าทำอาหารอร่อย” หมออนุตรบอกแล้วตัวเองก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้ให้หญิงสาวอยู่กับน้องชายตามลำพังเพียงสองคน
“แล้วเอรินไม่รีบเหรอ”
“พี่เข้างาน 8 โมงไม่ เหมือนหมอที่ต้องไปดูผู้ป่วยในก่อนมาออกตรวจผู้ป่วยนอก”
“อ๋อเข้าใจละ ถึงว่าพี่โอห์มไม่ชวนให้ไปทำงานพร้อมกันแล้ว พรุ่งนี้เอรินอยากกินอะไรล่ะ”
“ไม่ต้องทำเผื่อทุกวันหรอก พี่เกรงใจ”
“เอาน่าคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจหรอกเอรินตัวเล็กนิดเดียวกินไม่เยอะ ผมทำเผื่อได้สบายมากอยู่แล้ว” เขาย้ำว่าตัวเล็กจนเธอเริ่มหน้างอไม่พอใจ
“ทำไมชอบว่าตัวเล็ก”
“ก็ไม่ได้ว่าสักหน่อย แค่บอกว่าตัวเล็ก” เขาแก้ตัว
“นั้นแหละ”
“ก็ตัวเล็กจริงๆ อย่างนี้จะมีแรงไปสู้กับใครเขา”
“ไม่เห็นต้องสู้กับใครเลย”
“ก็ถ้าได้เป็นแฟนพี่ชายผม อาจมีสาวๆ คู่แข่งเยอะนะ”
“ใครว่าจะเป็นแฟนพี่ชายนายกันล่ะ”
“อ้าวก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่ได้ชอบขนาดจะให้มาเป็นแฟน”
“แล้วชอบแบบไหน” สิปปกรไม่เข้าใจ
“ก็แบบชื่นชนเพราะหมออนุตรทั้งหล่อ ทั้งใจดี พูดเพราะกิริยามารยาทก็สุภาพ”
“อ๋อ แล้วแบบผมไม่ชอบเหรอ”
“จะชอบไปได้ยังไง นายเด็กกว่าพี่ตั้งเยอะ”
“แล้วถ้าไม่ดูอายุล่ะชอบไหม”
“ก็ไม่ชอบเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ทำไมล่ะ”
“แล้วทำไมต้องถาม ไม่คุยด้วยแล้วจะไปทำงานล่ะ”
“อ้าว ถามไม่ตอบ”
“ขี้เกียจตอบแล้ว” ที่ไม่ตอบเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบเขา
“งั้นถามอีกข้อนะ”
“อะไรอีกล่ะ”
“พรุ่งนี้เช้ากินข้าวต้มกุ้งไหม”
“จะทำเผื่อเหรอ อย่าลำบากเลย”
“ไม่ลำบากอะไร ซื้อของมาเมื่อคืนตั้งเยอะ เอรินก็เห็นนี่”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นกินก็ได้”
“ไม่แพ้กุ้งใช่ไหม”
“อือไม่แพ้ แต่ของพี่ไม่ใส่ต้นหอมนะ”
“ไม่ชอบกินเหรอ”
“อือ ถ้าจะใส่ก็ได้ เดี๋ยวเขี่ยออกเอง”
“ไม่ใส่หรอก ไม่ได้ซื้อมาด้วย ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน กินแล้วเหม็นติดปาก”
“ใช่ๆ แปรงฟันแล้วก็ยังเหม็น” พราววรินทร์เห็นด้วยกับเขาเป็นครั้งแรก
“อือ เหม็นไปถึงหายใจเลยแหละ” แล้วทั้งสองคนก็พากันหัวเราะ