5 ตีสนิท
พราววรินทร์เลิกงานแล้วก็ขับรถตรงกับที่พักทันทีวันนี้คนไข้มาใช้บริการที่เยอะมากหญิงสาวต้องอธิบายกับผู้ป่วยที่มารับยาตั้งแต่เช้ากว่าจะได้ทานอาหารกลางวันก็เกือบจะบ่าย 2 โมง แล้วก็ได้นั่งพักเพียง 15 นาทีก็ต้องเริ่มงานต่อ เธอจึงกลับที่พักด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่ทำกังจะเปิดประตูห้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ไหวไหมคุณ” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้เธอต้องหันไปมอง
“คะ?” หญิงสาวไม่เข้าใจคำถามของเขา
“ก็ผมถามคุณว่าไหมไหว ดูท่าเดินอย่างกับคนไปออกรบมาอย่างนั้นแหละ” คนพูดหัวเราะเมื่อเห็นหญิงสาวเดินมาด้วยท่าทางหมดแรงจนเขาอดที่จะเข้าไปทักทายไม่ได้
เธอไม่ตอบเพราะมันก็คงเป็นอย่างที่เขาว่านั้นแหละ เธอทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อยและตอนนี้ก็อยากนอนพักมากกว่าที่จะมายืนคุยกับเขา
“อือ ขอตัวก่อนนะ” เธอรีบเปิดประตูแล้วเข้าห้องทันที
แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแต่พราววรินทร์ก็ต้องอาบน้ำก่อนทุกครั้งเพราะเธอไม่รู้เลยว่าในแต่ละวันนั้นต้องสัมผัสกับเชื่อโรคอะไรบ้าง พอได้อาบน้ำก็เหมือนว่าร่างกายจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง หญิงสาวเหนื่อยจนลืมคิดว่าเย็นนี้จะทานอะไร พอเปิดตู้เย็นก็มีแค่อาหารแช่แข็งกับน้ำเปล่าและน้ำผลไม้เท่านั้น
หญิงสาวหยิบน้ำผลไม้มาหนึ่งขวดจากนั้นก็นอนยกขาสูงอยู่บนโซฟา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะดูว่าเย็นนี้จะทานอะไรดี เธอเข้าแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมเพราะความสะดวกสบาย
ก๊อก..ก๊อก..
เสียงเคาะประตูทำให้เธอต้องลุกไปดู เมื่อมองผ่านตาแมววออกไปก็เห็นว่าคนที่มาเคาะเป็นเด็กหนุ่มข้างห้อง หญิงสาวจำเป็นต้องเปิด
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“เปล่าครับ แค่แวะมาทักทายและอยากมาชวนไปกินข้าวด้วยกัน” ชายหนุ่มทำตัวเป็นกันเองกว่าครั้งแรกที่เจอมาก
“ไม่เป็นไร ไปกินคนเดียวเถอะ” เธอเสียงห้วนหางเสียงที่เคยมีเวลาคุยกับคนอื่นหายไป คงเพราะชายหนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่าเธอ พราววรินทร์จึงคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดเป็นทางการกับเขามาก
“ไม่เอา กินคนเดียวมันเหงา” เขาเดินเข้ามาในห้องเธอโดยที่เธอยังไม้ได้ชวน แต่เพราะร่างที่สูงของเขาเบียดตัวแทรกเข้ามาอย่างรวดเร็วเธอจึงต้องรีบหลบ เขาเดินมาทรุดนั่งบนโซฟาแล้วหยิบน้ำส้มไปดื่มหน้าตาเฉย
“แล้วปกติกินกับใครล่ะ”
“ก็กินกับเพื่อน กินกับที่บ้านนั่นแหละ ผมพึ่งมาอยู่กับพี่คิดว่าจะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เขาก็ปล่อยให้กินข้าวคนเดียว” สิปปกรแกล้งทำหน้าละห้อย อันที่จริงเขาชอบทานอาหารคนเดียวมากกว่า
“แล้วทำไมไม่รอกินกับหมออนุตรล่ะ” หญิงสาวซักต่อ
“พี่โอห์มกลับช้าผมหิวแล้ว ผมมีเรื่องจะถามคุณด้วย”
“เรื่องอะไรถามตอนนี้ก็ได้นี่”
“เอาน่า...ไปกินข้าวก่อน ผมไม่พาไปขายหรอกน่า ถึงขายได้ก็คงไม่ค่อยได้ราคา ตัวเล็กน้ำหนักคงไม่ดีเท่าไหร่” เขาพูดแล้วก็หัวเราร่วนยิ่งพอเห็นหน้าเธอเหมือนไม่พอใจเขาก็ยิ่งนึกสนุก
“ไม่ได้กลัวพาไปขายหรอก อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ตัวเล็ก นายนั่นแหละที่ตัวโต” เธอรีบบอกเพราะเธอไม่ได้กลัวเขาอย่างที่เขาคิด
“งั้นก็ไปกันเลยสิ บอกให้ก็ได้ว่าที่มาชวนเพราะยังไม่ค่อยรู้จักร้านแถวนี้เท่านั้นเอง”
“อ้อ บอกอย่างนี้แต่แรกก็ไปแล้วแหละ”
“เอารถพี่ไปนะ”
“ทำไม ไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซด์เหรอ”
“อือ กลัวตก”
“ไม่ตกหรอก ผมขี่ไม่เร็ว”
“จะไปไหม ถ้าจะไปก็ไปรถพี่” แล้วเขาก็ต้องยอมเอารถของเธอไป หญิงสาวให้เขาเป็นคนขับส่วนเธอเป็นคนคอยบอกทาง
พอไปถึงร้านเขาก็สั่งอาหารทันทีโดยมาถามเธอสักนิดว่าเธออยากทานอะไร แต่สำหรับพราววรินทร์แล้วนั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะเธอเป็นคนทานง่ายและอาหารที่เขาสั่งก็เป็นอาหารที่เธอเองก็ชอบ
“อะ ผมสั่งแล้ว ของคุณล่ะ” เด็กหนุ่มยื่นเมนูให้เธอดู
“แค่นั้นก็พอแล้วมั้ง”
“ปกติคุณกินอะไรเหรอเอริน”
“ทำไมไม่เรียกพี่” เธอถามเขา
“ก็เอรินตัวเล็กนิดเดียวไม่เหมาะจะเป็นพี่หรอก”
“ไม่ได้ตัวเล็ก แต่พี่ว่านายตัวโตเกินไปต่างห่าง”
“ถ้าผมเรียกพี่แล้วมีอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนไหมล่ะ” เขาต่อรอง
“ไม่มี แค่อยากให้เคารพกันบ้าง”
“อย่าเลย ยังไม่แก่สักหน่อย เอาเป็นว่าเรียกแบบนี้ไปก่อนถ้าวันไหนอยากเรียกพี่ก็เรียกเองแหละ”
‘แล้วนายจะต้องได้เรียกฉันว่าพี่อย่างแน่นอน’ พราววรินทร์แอบคิดในใจเพราะวันนั้นที่เธอหมายถึงก็คือวันที่เธอเป็นพี่สะใภ้ของเขานั้นเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ยิ้มอะไร”
“เปล่า รีบกินเถอะอาหารมาแล้ว”
มื้อนี้ชายหนุ่มก็อาสาจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดแต่เธอไม่ยอมเพราะเธอนั้นคิดว่าตัวเองมีงานทำแล้วผิดกับอีกคนที่ตอนนี้ยังเป็นนักศึกษาอยู่
“ถ้าอย่างนั้นจ่ายคนละครึ่งก็ยังดี” สิปปกรเองก็ไม่ยอม
“เอาน่าพี่จ่ายไปก่อน นายยังเรียนอยู่เลย เมื่อเช้าก็เลี้ยงไปทีหนึ่งแล้วนะ”
“ไม่ละ ถ้าไม่ยอมให้จ่ายคนล่ะครึ่งก็เดินกลับนะ” เขาชูกุญแจในมือให้เธอดู และนั่นก็ทำให้หญิงสาวตัวเล็กต้องยอมให้เขาจ่ายเงินค่าอาหารครึ่งหนึ่ง
“จำไว้เลยนะนายปาล์ม ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่พี่จะออกมากินข้าวกับนาย”
“แน่นะครับ” คนถามทำหน้าทะเล้น
“แน่สิ” พราววรินทร์ตีหน้าเครียด
“แล้วถ้าครั้งหน้ามากับพี่โอห์มด้วยล่ะจะมาด้วยกันไหม”
คำถามของคนตัวโตจี้จุดเข้าอย่างจัง พราววรินทร์มีสีหน้าลังเลจนชายหนุ่มยิ้มเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า
“ขอคิดดูก่อน”
“อย่าคิดนานนะ ผมรู้ว่าคุณชอบพี่ชายผม”
“เอาอะไรมาพูด มั่วแล้วย่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธทันควัน
“อาการมันฟ้อง” เขาบอกเธอเพราะเมื่อเช้าตอนที่เขาขอนั่งทานอาหารเช้าด้วยดูเธอไม่ค่อยพอใจแต่พอพี่ชายเขาเดินเข้ามาสีหน้ายินดีของเธอก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน
พราววรินทร์นั่งเงียบเธอกลัวว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูของนายแพทย์หนุ่มเธอคงมองหน้าเขาไม่ติดแน่ๆ
“นายอย่าบอกใครนะ”
“อ้าวเรื่องจริงเหรอ” เขาหัวเราะลั่น
“นี่นาย...” พราววรินทร์ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
“ถึงว่าล่ะอยากให้เรียกว่าพี่นัก อยากเป็นพี่สะใภ้นี่เอง” ชายหนุ่มยังล้อไม่เลิก
“พอเถอะหยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว อย่าให้ฉันรู้นะว่านายเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ฉันได้ฆ่านายทิ้งแน่”
“คร้าบบบ กลัวแล้ว” เขาหัวเราะร่วน “ขอไปซื้อของต่อได้ไหม” เมื่อออกจากร้านสิปปกรก็ถามพราววรินทร์
“วันนี้เมื่อยขาแล้วขี้เกียจเดินเธอ” ปฏิเสธตรงๆ และก้มลงบีบน่องตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มเธอไม่จำเป็นต้องวางมาดเรียบร้อยอย่างตอนที่อยู่กับพี่ชายของเขา