19 ข่าวดี
สิปปกรขับรถของเธอมายังร้านอาหารเล็กๆ ที่เขาเคยขับรถผ่าน ร้านนี้มีจำนวนไม่กี่โต๊ะ บรรยากาศดูอบอุ่น ทั้งร้านตกแต่งโทนสีขาวสะอาดตา ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้หวายบุนวมให้กับพราววรินทร์นั่งแล้วตัวเองก็อ้อมไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม
กว่าทั้งสองคนจะทานอาหารเสร็จก็นานโขเพราะทานไปคุยไปจนเกือบถึงเวลาร้านปิด
“พรุ่งนี้เช้ามากินข้าวที่ห้องไหม” เขาถามเมื่อใกล้จะถึงคอนโดมิเนียม
“จะทำอะไรให้กินล่ะ ขอดูก่อนว่าอยากกินไหม” พราววรินทร์นั้นอยากตอบตกลงทันทีแต่ก็กลัวจะดูน่าเกลียดและเธอก็พึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลก่อนกลับมาทานอาหารเช้า
“ถ้าไม่ถูกใจก็จะไม่มากินใช่ไหม แต่พี่โอห์มก็อยู่นะ” สิปปกรจำได้ว่าครั้งก่อนเขาชวนเธอมาทานเธออิดออดแต่พอบอกว่าพี่ชายของเขาอยู่ด้วยเธอก็ยอมมาทันที
“บอกมาสิว่าทำอะไรกิน”
“ว่าจะไปซื้อโจ๊กที่ตลาดใกล้ๆ มากินน่ะ ไม่ได้ทำเองหรอก”
“ร้านที่คนต่อแถวยาวๆ นั่นใช่ไหม”
“ใช่ๆ เคยกินเหรอ อร่อยหรือเปล่า”
“อร่อย พี่เคยกินแต่ก็นานแล้วเพราะขี้เกียจไปต่อแถว”
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ต่อแถวกันแล้ว เขาให้จับบัตรคิว”
“นายจะไปซื้อใช่ไหม”
“ใช่สิ พรุ่งนี้ผมจะไปวิ่งตรงสวนสาธารณะใกล้ร้านนั่นแหละ เลยว่าจะจับบัตรคิวไว้แล้วพอใกล้ถึงคิวค่อยมายืนต่อแถว”
“ฝากซื้อหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ ทำไมพูดเหมือนจะไม่มากินด้วยกัน”
“ก็ประมาณนั้น พอดีว่าต้องไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ไม่รู้จะเสร็จตอนกี่โมงเลยไม่อยากให้นายรอ นายซื้อมาแขวนไว้ที่ประตูห้องแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่กลับมากินเอง”
“ครับ โจ๊กของเอรินใส่อะไรบ้าง”
“โจ๊กรวม ใส่ไข่ ไม่ใส่ขิง ใส่ผักชี ไม่ใช่ต้นหอม”
“โอเค ตามนั้น”
สิปกกรส่งกุญแจรถคืนให้เธอแล้วพากันเดินเข้าลิฟต์ไป
“ฝันดีนะ” สิปปกรบอกเบาๆ ก่อนที่จะเข้าห้องตัวเองไปด้วยรอยยิ้ม
แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเพื่อนของสิปปกร วันนี้เขาได้รับข่าวดีว่าตอนนี้กฤตพลได้สติแล้ว เขารีบเข้าไปเยี่ยมเพื่อนทันดี
“เป็นไงบ้างวะ หลับไปนานเลย”
“อือ ก็ดี” กฤตพลพยักหน้าและตอบสั้นๆ ตอนนี้เขายังมีอาการปวดศีรษะอยู่บ้าง
“แล้วเจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่นะ แค่ปวดหัวบ้าง ขอบใจมึงมาก พี่ตาลบอกว่ามึงมาหากูเกือบทุกวัน บางวันก็มากับแฟน”
“แฟนที่ไหนกูยังไม่มีแฟน”
“ก็พี่ตาลบอกกูอย่างนั้น”
“มึงก็เชื่อพี่ตาลเหรอ พี่ตาลแกล้งอำล่ะสิ คนที่กูพามาเป็นสาวข้างห้อง ที่กูเล่าให้มึงฟัง”
“คนที่ชอบพี่ชายมึงนะเหรอ”
“ใช่คนนั้นแหละ”
“แล้วทำไมมากับมึงได้ล่ะ”
“ก็พอสนิทกันบ้าง เขาวางเลยชวนมาด้วย”
“เขามาตีสนิทมึง เพื่อเข้าถึงตัวพี่ชายหรือเปล่า” กฤตพลตั้งข้อสงสัย
“ไม่หรอก กูนี่แหละไปตีสนิทกับเข้าเอง”
“อย่าบอกนะว่ามึงชอบเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาชอบพี่ชายมึง”
“อือ”
“รู้ว่าไม่มีหวังตั้งแต่แรกทำไมยังเอาตัวไปใกล้ชิด”
“กูก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน”
เขาตอบกฤตพลไปแบบนั้น แต่สำหรับตัวเขาเองนั้นรู้คำตอบเป็นอย่างดี เขาชอบเธอ เวลาอยู่ใกล้เธอแล้วเขามีความสุข เขาชอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอยิ่งเวลาที่เธอทำหน้าง้ำเพราะเขาไม่ยอมเรียกเธอว่าพี่นั้นก็ทำให้เขายิ่งอยากเขาใกล้เธอมากขึ้น เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่คนตัวโตอย่างเขาอยู่ใกล้และรู้สึกอยากปกป้อง แต่ผู้หญิงตัวเล็กกลับทำให้เขาอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้
เขาคุยกับเพื่อนจนหมดเวลาเยี่ยมจากนั้นก็รีบกลับมานั่งทำงานส่งอาจารย์ อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะเรียนจบแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มลังเลแล้วว่าจะไปเรียนต่อตามที่ได้คุยกับพี่ชายไว้หรือเปล่าเพราะมีรุ่นพี่ท่านหนึ่งบอกกับเขาไว้ว่างานวิศวกรซอฟต์แวร์ไม่ต้องเรียนปริญญาโทก็ได้ แต่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลาและตอนนี้เทคโนโลยีก็มาไวมากการเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวก็คงไม่พอ สิปปกรคิดว่าคงต้องคุยเรื่องนี้กับอาจารย์ที่ปรึกษาอีกครั้ง
ชายหนุ่มค่อยๆ แอบย่องออกมาจากห้องนอน เขาเดินผ่านความมืดแล้วเปิดประตูเบาๆ เพราะไม่อยากให้พี่ชายรู้ว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอก สิปปกรรีบลงไปยังที่จอดรถและขับออกไปโดยเร็วเมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงคืนแล้ว
แต่พอออกมาจากคอนโดมิเนียมเขาก็ยิ้มออกเพราะถนนในเวลานี้ค่อนข้างโล่ง ยังไงเขาก็ไปถึงก่อนเวลาอย่างแน่นอน เขาเลือกจอดรถใกล้กับประตูทางออกได้อย่างสบายๆ เพราะเวลาดึกแบบนี้คงไม่มีใครอยากมาใช้บริการที่นี่ถ้าไม่จำเป็น
สิปปกรเดินไปนั่งรอบริเวณเก้าอี้นั่งรอที่ตอนนี้ไม่มีใครนั่งอยู่เลยสักคน มือใหญ่ล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วกดส่งข้อความ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มที่แฝงมาด้วยความสงสัย แต่เขาเลือกที่จะไม่พิมพ์อะไรตอบเพราะอีกไม่กี่นาทีก็ได้คุยกันแล้ว
“เหนื่อยไหม” คำถามแรกที่ออกจากปากของเขาทำให้คนตัวเล็กที่เหนื่อยจนแทบจะเดินไม่ไหวมีรอยยิ้ม
“ที่สุดเลยล่ะ วันนี้น้องผู้ช่วยลาไปคนหนึ่ง คนไข้ก็เยอะกว่าทุกวัน”
“แล้วเอรินได้กินข้าวเย็นหรือยังครับ”
“กินแซนด์วิชไปชิ้นหนึ่ง นายล่ะ”
“ยังไม่ได้กินเลย”
“มัวทำอะไรอยู่ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”
“ก็ไปเยี่ยมไอ้เต้ แล้วกลับมาทำงานเพลินเลย ดูนาฬิกาอีกทีก็ใกล้ถึงเวลาเอรินเลิกงานเลยมาชวนไปกินก๋วยเตี๋ยว”
“ทำไมดูอารมณ์ดีจัง มีข่าวดีอะไรหรือเปล่า”
“ก็ไอ้เต้ฟื้นแล้ว”
“จริงเหรอ พี่ดีใจด้วย เดี๋ยว! ทำไมเดินไปทางนั้นรถพี่จอดอยู่ทางนี้” เธอรีบบอกเมื่อเห็นเขาเดินไปทางตรงกันข้ามกับด้านที่รถของเธอจอดอยู่
“วันนี้ผมเอารถมา เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาส่ง รีบไปกับเถอะ ผมหิวแล้ว” มือใหญ่คว้าหมับที่ข้อมือเล็กๆ จากนั้นออกแรงเพียงเล็กน้อยเธอก็เดินตามเขามา
พราววรินทร์พยายามแกะมือของเขาออกเพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นมาเห็น แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จจนกระทั่งเขาพาเธอเดินมาถึงรถของเขา ชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วดันให้เธอเข้าไปนั่งก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูแล้วรีบวิ่งอ้อมไปยังฝั่งคนขับจากนั้นก็ขับรถออกไป
“เอรินกินอะไรดี ร้านนี้อร่อยทุกอย่างเลย”
“บะหมี่ต้มยำหมูแดงค่ะ” เธอหันไปบอกเจ้าของร้านที่กำลังยืนรอว่าเธอจะสั่งอะไร ตอนนี้ทั้งร้านมีแค่เธอกับเขาที่เพียง 2 คน
“เล็กลูกชิ้นหมูแดงแห้ง 1 น้ำ 1 ครับ” เขารีบบอกเพราะตอนนี้เขาหิวจนจะกินช้างเข้าไปได้ทั้งตัวแล้ว
“หิวมากเลยใช่ไหม” เธอถามคนตัวโต
“อือ เดี๋ยวเอรินรอที่ร้านนี้ก่อนนะ ผมจะไปซื้อขนมปังสังขยาร้านนั้นมากินด้วย ท่าทางอร่อย” เขาไม่รอเธอตอบแต่เดินไปยังร้านที่อยู่ข้างๆ กันทันที
ขนมปังอุ่นๆ กับสังขยาสีเขียวใบเตยทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหยิบขนมปังขึ้นมาแล้วจิ้มไปยังสังขยาใบเตยก่อนส่งเข้าปาก
“อร่อยดีนะ ขนมปังนิ่มมากเลย” เธอบอกกับเขาแล้วหยิบขนมปังจิ้มสังขยาส่งให้ชายหนุ่ม
สิปปกรอ้าปากกว้างให้หญิงสาวส่งขนมปังชิ้นใหญ่เข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แค่ขนมปังชิ้นเดียวที่เธอป้อนเขานั้นทำให้หัวใจของสิปปกรอบอุ่นและอิ่มเอมใจจนอธิบายไม่ถูก ทั้งสองจ้องหน้ากันแล้วต่างคนต่างเงียบ
แล้วแม่ค้าก็เอาก๋วยเตี๋ยวมาวางตรงหน้า ทำให้ทั้งสองคนเลิกจ้องหน้ากันก่อนที่จะรีบหยิบช้อนและตะเกียบแล้วนั่งทานเพราะความหิวด้วยกันทั้งคู่